สวัสดีครับ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของผมบน Pantip โดยผมจะมารีวิวหูฟัง Bluetooth แบบ Full size ตัวท็อปจากค่าย Plantronics รุ่น Backbeat Pro 2
จริงๆ แล้วตอนแรกผมไม่ได้คิดจะซื้อหูฟังตัวนี้ เพียงรู้สึกอยากลองหูฟัง Bluetooth แบบ Full size ดู พอหาข้อมูลตามเวปไซต์ต่างประเทศไปเรื่อยๆ ก็พบว่าทาง Plantronics ได้ออกหูฟังรุ่นนี้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว โดยราคาเรียกได้ว่าเกือบครึ่งของหูฟังตัวท็อปใน Section เดียวกันอย่าง Bose QC35 หรือ Sony MDR-1000X และรีวิวของต่างประเทศทุกเวปไซต์ออกไปในเชิงบวกทั้งสิ้น อยู่มาวันหนึ่ง ผมนั่งเปิดเวปซื้อของออนไลน์ไปเรื่อยๆ แล้วก็มาเจอเวปไซต์หนึ่งขาย Backbeat Pro 2 ในราคาที่ถูกกว่าราคาหน้าร้าน อีกทั้งยังมีคูปองลดราคาให้อีกด้วย เลยหน้ามืดกดซื้อทันที แล้วหูฟังก็มาส่งในวันรุ่งขึ้น (- -“)
สำหรับในไทยนั้น Backbeat Pro 2 เพิ่งมีงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือน ก.พ. และเวปไซต์ในไทยยังมีรีวิวหูฟังรุ่นนี้ไม่มาก ผมเลยคิดว่าจะอยากจะลองรีวิวหูฟังตัวนี้ดูว่าใช้แล้วเป็นยังไง เผื่อจะช่วยในการตัดสินใจให้กับคนที่กำลังเล็งๆ อยู่
หากมีความผิดพลาดในการใช้ภาษา หรืออะไรก็ตามในกระทู้นี้ ก็ขออภัยไว้ล่วงหน้า และขอคำแนะนำเพื่อใช้ในกระทู้ต่อๆ ไปด้วยนะครับ
Unboxing
Design
Appearance
- Backbeat Pro 2 เป็นหูฟัง Bluetooth แบบ Full size รุ่นล่าสุดของ Plantronics ซึ่งมีอยู่ 2 รุ่น แต่รุ่นที่รีวิวจะเป็นรุ่นปกติ โดยตัวหูฟังจะเป็นสี Earth Tone เน้นไปที่สีน้ำตาลเข้ม ทั้งส่วนของโฟมตรง Support ของ Headband และ Earcup และตรงแผงควบคุมหูฟังทั้งซ้ายและขวา ทำออกมาเป็นลายไม้ (เหมือนจะคลาสสิคแต่จริงๆ ดูเชยซะมากกว่า) ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบรูปร่างภายนอกของ Backbeat Pro 2 ซักเท่าไร อยากให้เป็นสีดำล้วนและไม่ต้องลายไม้
ภาพจาก www.plantronics.com
- ส่วนของตัวเลื่อนปรับความยาวของหูฟัง จะเห็นว่ามีการทำสัญลักษณ์ไว้ให้ เพื่อจะได้รู้ว่าเราใช้ที่ความยาวเท่าไร ซึ่งช่วยให้จำความยาวที่เหมาะกับเราได้
- Headband ของ Backbeat Pro 2 นั้น จะแตกต่างจากหูฟัง Full size ยี่ห้ออื่น ตรงที่จะมีการบุโฟมตลอดทั้งเส้น ในขณะที่หูฟังหลายยี่ห้อจะบุโฟมเฉพาะส่วนตรงกลางที่จะสัมผัสกับหัวเท่านั้น
ภาพจาก www.plantronics.com
- ตัว Earcup บุด้วย Memory Foam ซึ่งช่วยให้ไม่เสียรูปและเข้าได้กับหูผู้ใช้ทุกคน ด้านในของ Earcup ก็บุด้วยโฟมนุ่มเช่นเดียวกัน และมีตัวอักษร L กับ R บอกไว้ด้วย สะดวกดี
- ด้วยน้ำหนัก 289 กรัม Backbeat Pro 2 (แต่ผมชั่งได้ 294 กรัม) ก็ไม่ถือว่าเป็นหูฟังที่หนัก แต่ก็ไม่เบา เมื่อเทียบกับตัวท็อปอย่าง Bose QC35 ซึ่งหนักแค่ 235 กรัม เท่านั้น
Controller Location
- การวางแยกซ้าย-ขวา ระหว่างการควบคุมการเล่นเพลง และการโทรศัพท์ ถือเป็นรูปแบบปกติของหูฟัง Bluetooth แบบ Full size อยู่แล้ว ซึ่ง Backbeat Pro 2 ก็ทำออกมาได้ดี ไม่สับสน
Accessories & Usage
- อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องมี สายชาร์จ USB, สาย 3.5mm, Manual ซึ่งเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ที่ให้มาในรุ่นก่อนหน้าอย่าง Backbeat Pro ทาง Plantronics ได้ตัดสาย 3.5mm สำหรับใช้กับอุปกรณ์ Apple ออกไป และสาย 3.5mm ที่ให้มาเป็นสายเปล่า ไม่มี In-line control
- การใช้งานโดยรวมของ Backbeat Pro 2 ส่วนใหญ่ก็จะเหมือนหูฟัง Bluetooth แบบ Full size ทั่วไป แต่ที่เป็นส่วนที่คนที่จะตัดสินใจซื้อควรให้ความสำคัญด้วยคือ Backbeat Pro 2 ไม่สามารถพับได้เหมือน Bose QC35 หรือ Sony MDR-1000X จึงทำให้ Backbeat Pro 2 อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ต้องการพกหูฟังที่ใช้พื้นที่น้อยๆ และตัว Earcup สามารถหมุนได้ 90 องศา (คล้ายหูฟังจำพวก Gaming) ทำให้ตอนเก็บหูฟังเข้าถุงผ้าก็ยังใหญ่อยู่ดี ซึ่งทำให้ตั้งข้อสังเกตุได้ว่า Plantronics น่าจะอยากให้ผู้ใช้ ใช้ Backbeat Pro 2 โดยการคล้องคอไปด้วยตลอด แทนที่จะเป็นการพับเก็บใส่กล่องทุกครั้งที่เลิกใช้ เนื่องจาก Plantronics ได้ใส่ฟังก์ชั่น Smart Sensor ไว้ในตัว Backbeat Pro 2 ด้วย แล้วการคล้องคอไว้ ผู้ใช้จะสามารถกลับมาฟังเพลงได้ทันทีที่สวมหูฟัง
Function
Driver
- Backbeat Pro 2 ใช้ Driver ขนาด 40 mm ซึ่งถือว่าเป็นขนาดมาตรฐานของหูฟัง Full Size เพราะจากที่เห็น Spec. ของหูฟัง Full Size ยี่ห้ออื่นๆ หลายรุ่นก็จะใช้ Driver ขนาด 40 mm
Battery
- ตาม Spec. ที่ทาง Plantronics เคลมไว้คือ สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 24 ชม. และ Standby ได้ 6 เดือน ในกรณีที่ลืมปิดหูฟัง ด้วยฟังก์ชั่น DeepSleep และใช้เวลา 3 ชม. ในการชาร์จแบตฯ ให้เต็ม 100%
จากการทดสอบใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน โดยเริ่มใช้งานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ (5 วัน) ใช้ฟังเพลงและคุยโทรศัพท์ เฉลี่ยวันละมากกว่า 3 ชม. โดยลักษณะการใช้งานคือ
• มีการปิด-เปิดฟังก์ชั่น Active Noise Canceling ตามสถานการณ์ ไม่ได้เปิดตลอดเวลา เช่น เวลาอยู่ในที่ที่ไม่มีเสียงรบกวนก็ปิดไว้
• ไม่ได้เปิดหูฟังไว้ตลอด หากต้องไปทำอะไรที่ไม่ได้ใช้หูฟังนานๆ ก็จะปิดหูฟังไว้ เช่น เวลากินข้าวกับเพื่อน หรือออกไปคุยงาน
สถานะแบตฯ หลังจากใช้งานตามที่กล่าวมา อยู่ที่ Medium ซึ่งสำหรับผมถือว่ายอดเยี่ยม เพราะนั่นหมายความว่าผมน่าจะใช้หูฟังนี้ไปได้อีกอย่างน้อย 2-3 วัน แน่ๆ ด้วยลักษณะการใช้งานแบบนี้ และจากที่เห็นตามรีวิวของเมืองนอก ทุกคนก็บอกว่าสามารถอยู่ได้อย่างน้อย 24 ชม. ตามที่เคลมไว้แน่นอน ถือว่าเหมาะมากสำหรับใช้ในการเดินทางไกลๆ เช่น เดินทางข้ามทวีปที่ต้องนั่งอยู่บนเครื่องบินมากกว่า 15 ชม. เพราะชาร์จครั้งเดียวก่อนเดินทาง แล้วไปชาร์จอีกทีที่ รร. ได้เลย
Connection
- Backbeat Pro 2 เชื่อมต่อ wireless ด้วย Bluetooth v4.0 Class 1 ทำให้ตาม Spec. แล้ว ตัวหูฟังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ไกลสุด 100 m (แนวตรงโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง)
ซึ่งจากการทดสอบในการใช้งานจริง โดยเชื่อมต่อหูฟังกับมือถือ Vivo V3 Max เมื่อออกห่างจากมือถือประมาณ 40 เมตร โดยมีสิ่งกีดขวางเพียงเล็กน้อย เช่น เสา เสียงยังชัดเจนดี แต่เมื่อเดินเข้าหลังกำแพง เสียงก็เริ่มขาดหายทันที และเมื่อลองทดสอบออกห่างจากมือถือโดยมีกำแพงกั้น 2 ชั้น (ความหนารวมประมาณ 60 cm) ที่ระยะ 15 m เสียงยังชัดเจนดี พอเริ่มเข้า 16 m เสียงก็เริ่มขาดหาย และ Disconnect ไปที่ 18 m
โดยรวมแล้วสำหรับผม ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากปกติแล้ว หากออกนอกบ้านแล้วใช้หูฟังเชื่อมต่อกับมือถือ คงไม่มีใครทิ้งมือถือห่างตัวเกิน 20-30 m (มั้ง) และในกรณีที่ใช้ในบ้าน โดยอ้างอิงจากขนาดของบ้าน 2 ชั้น บนพื้นที่ไม่เกิน 80 ตร.ว. หากวางมือถือไว้กลางบ้าน สามารถสวมหูฟังเดินรอบบ้านไม่ว่าจะชั้น 1 หรือ 2 ได้ โดยสัญญาณ Bluetooth น่าจะยังชัดเจนอยู่
- Backbeat Pro 2 สามารถใช้งานได้อีกแบบโดยการเชื่อมต่อผ่านสาย 3.5mm ซึ่งมีมาให้ใน Package โดยหากเสียบสาย 3.5mm เข้ากับหูฟังแล้ว หูฟังจะหยุดการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth อัตโนมัติ และเมื่อถอดสายออก หูฟังก็จะเชื่อมต่อ Bluetooth กลับอัตโนมัติเช่นกัน และการใช้งานผ่านสาย 3.5mm สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ เพื่อให้หูฟังยังสามารถใช้ได้ในกรณีแบตฯ หมด
- อีกหนึ่งช่อง Connection คือช่อง Mini USB ซึ่งทำหน้าที่สำหรับชาร์จแบตเตอรี่เท่านั้น
Active Noise Canceling + Open Mic
- ในส่วนของฟังก์ชั่น Active Noise Canceling นั้น ต้องบอกว่าผมเพิ่งเคยใช้หูฟังที่มีฟังก์ชั่นนี้ Backbeat Pro 2 เป็นชิ้นแรกในชีวิต ทำให้ผมไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเปรียบเทียบกับหูฟัง ANC ยี่ห้ออื่นได้เลย ซึ่งที่เห็นดังๆ ตามเวปไซต์ต่างประเทศจะเป็น Bose QC35 กับ Sony MDR-1000X ซึ่งทั้ง 2 ตัว ราคาไม่อาจเอื้อมจริงๆ ที่เคยผ่านหูมาจะเป็นแค่ Passive Noise Canceling ของ In-Ear Headphones เท่านั้น ซึ่งผมใช้ MEE Pinnacle P1 อยู่
สรุปจากการใช้งานจริงสำหรับผม ผมมีความคาดหวังกับ ANC มากกว่าที่ได้รับจาก Backbeat Pro 2 โดยสามารถแยกตามสถานการณ์การใช้งานได้ตามนี้
เปิด ANC + เปิดเพลง
• ในออฟฟิศทำงานในช่วงปกติที่ไม่มีใครคุยกัน หรือมีคนคุยกันเสียงดัง แต่ห่างจากตัวประมาณ 3-4 เมตร ระบบ ANC ทำงานได้ดี ผมไม่ได้ยินเสียงรอบข้างเลย ได้ยินแต่เพลงที่ฟังอยู่
• หากใกล้ๆ มีการคุยกันเสียงดัง จะมีเสียงคนพูดแทรกเข้ามาในหูฟังได้ แต่ถ้าเป็นการคุยกันเสียงปกติ จะมีแทรกเข้ามาบ้างแบบจับใจความไม่ได้
• การใช้งานในร้านกาแฟที่เสียงรอบข้างเป็นเสียงคนคุยกันแบบปกติ ANC ทำได้ดี แต่ถ้าข้างๆ เสียงดัง ก็ยังมีเสียงแทรกเข้ามาได้อยู่
• การใช้งานระหว่างการเดินไปตามที่สาธารณะต่างๆ ระบบ ANC ทำงานได้ดี เนื่องจากย่านเสียงเวลาอยู่ในที่เปิด ส่วนใหญ่จะเกิดการหักล้างกันเป็นความถี่โดยรวมรอบตัวใกล้เคียงกัน ทำให้ระบบ ANC สามารถจัดการได้ดี
เปิด ANC แต่ไม่ได้เปิดเพลง
• ในกรณีที่อยู่ในที่ปิด และไม่ได้เปิดเพลงแต่เปิด ANC จะได้ยินเสียงคนพูดเข้ามาในหูฟังได้ชัดพอสมควร ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ก็ไม่เคยลองของหูฟังยี่ห้ออื่นที่ได้รับคำชมว่าเป็นหูฟังที่มี ANC ที่ดีที่สุด
• ส่วนเสียงที่มี Frequency ต่ำ เช่น เสียงลม, เสียงแอร์, เสียงอื้ออึงรอบตัว ระบบ ANC สามารถจัดการได้อยู่หมัด ไม่ว่าจะเปิดเพลงหรือไม่เปิดเพลง
สรุปโดยส่วนตัว ผมค่อนข้างพอใจในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นประทับใจในการใช้ฟังก์ชั่น ANC เป็นครั้งแรก เพราะปกติเวลาฟังเพลงด้วย Pinnacle P1 มันสามารถบล็อกเสียงภายนอกได้ดี๊ดี เลยมีความคาดหวังกับ ANC อยู่พอสมควร โดยในความคิดผม ส่วนหนึ่งที่เสียงสามารถเข้ามาใน Backbeat Pro 2 ได้ น่าจะเป็นการบุโฟมของหูฟังที่ไม่ได้หนามาก ทำให้ Passive Noise Canceling ได้ไม่ดีพอ ซึ่งจริงๆ ถ้าทำได้ดีกว่านี้ น่าจะทำให้ ANC ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- อีกฟังก์ชั่นหนึ่งที่ให้มาคู่กับ ANC คือ Open Mic ซึ่งจุดประสงค์ของฟังก์ชั่นนี้คือการเปิดไมค์ของหูฟังเพื่อให้ได้ยินเสียงภายนอกผ่านไมค์ เช่น เสียงคนคุยกับเรา, เสียงประกาศในสนามบิน โดยที่ไม่ต้องยกหูฟังออกจากหู อันนี้ขอไม่รีวิว เพราะสำหรับผมคิดว่าไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ใช้แน่นอน
[CR] รีวิวหูฟัง Bluetooth แบบ Full size "Backbeat Pro 2" ตัวท็อปจาก Plantronics
จริงๆ แล้วตอนแรกผมไม่ได้คิดจะซื้อหูฟังตัวนี้ เพียงรู้สึกอยากลองหูฟัง Bluetooth แบบ Full size ดู พอหาข้อมูลตามเวปไซต์ต่างประเทศไปเรื่อยๆ ก็พบว่าทาง Plantronics ได้ออกหูฟังรุ่นนี้เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว โดยราคาเรียกได้ว่าเกือบครึ่งของหูฟังตัวท็อปใน Section เดียวกันอย่าง Bose QC35 หรือ Sony MDR-1000X และรีวิวของต่างประเทศทุกเวปไซต์ออกไปในเชิงบวกทั้งสิ้น อยู่มาวันหนึ่ง ผมนั่งเปิดเวปซื้อของออนไลน์ไปเรื่อยๆ แล้วก็มาเจอเวปไซต์หนึ่งขาย Backbeat Pro 2 ในราคาที่ถูกกว่าราคาหน้าร้าน อีกทั้งยังมีคูปองลดราคาให้อีกด้วย เลยหน้ามืดกดซื้อทันที แล้วหูฟังก็มาส่งในวันรุ่งขึ้น (- -“)
สำหรับในไทยนั้น Backbeat Pro 2 เพิ่งมีงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นเดือน ก.พ. และเวปไซต์ในไทยยังมีรีวิวหูฟังรุ่นนี้ไม่มาก ผมเลยคิดว่าจะอยากจะลองรีวิวหูฟังตัวนี้ดูว่าใช้แล้วเป็นยังไง เผื่อจะช่วยในการตัดสินใจให้กับคนที่กำลังเล็งๆ อยู่
หากมีความผิดพลาดในการใช้ภาษา หรืออะไรก็ตามในกระทู้นี้ ก็ขออภัยไว้ล่วงหน้า และขอคำแนะนำเพื่อใช้ในกระทู้ต่อๆ ไปด้วยนะครับ
Unboxing
Design
Appearance
- Backbeat Pro 2 เป็นหูฟัง Bluetooth แบบ Full size รุ่นล่าสุดของ Plantronics ซึ่งมีอยู่ 2 รุ่น แต่รุ่นที่รีวิวจะเป็นรุ่นปกติ โดยตัวหูฟังจะเป็นสี Earth Tone เน้นไปที่สีน้ำตาลเข้ม ทั้งส่วนของโฟมตรง Support ของ Headband และ Earcup และตรงแผงควบคุมหูฟังทั้งซ้ายและขวา ทำออกมาเป็นลายไม้ (เหมือนจะคลาสสิคแต่จริงๆ ดูเชยซะมากกว่า) ซึ่งส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบรูปร่างภายนอกของ Backbeat Pro 2 ซักเท่าไร อยากให้เป็นสีดำล้วนและไม่ต้องลายไม้
ภาพจาก www.plantronics.com
- ส่วนของตัวเลื่อนปรับความยาวของหูฟัง จะเห็นว่ามีการทำสัญลักษณ์ไว้ให้ เพื่อจะได้รู้ว่าเราใช้ที่ความยาวเท่าไร ซึ่งช่วยให้จำความยาวที่เหมาะกับเราได้
- Headband ของ Backbeat Pro 2 นั้น จะแตกต่างจากหูฟัง Full size ยี่ห้ออื่น ตรงที่จะมีการบุโฟมตลอดทั้งเส้น ในขณะที่หูฟังหลายยี่ห้อจะบุโฟมเฉพาะส่วนตรงกลางที่จะสัมผัสกับหัวเท่านั้น
ภาพจาก www.plantronics.com
- ตัว Earcup บุด้วย Memory Foam ซึ่งช่วยให้ไม่เสียรูปและเข้าได้กับหูผู้ใช้ทุกคน ด้านในของ Earcup ก็บุด้วยโฟมนุ่มเช่นเดียวกัน และมีตัวอักษร L กับ R บอกไว้ด้วย สะดวกดี
- ด้วยน้ำหนัก 289 กรัม Backbeat Pro 2 (แต่ผมชั่งได้ 294 กรัม) ก็ไม่ถือว่าเป็นหูฟังที่หนัก แต่ก็ไม่เบา เมื่อเทียบกับตัวท็อปอย่าง Bose QC35 ซึ่งหนักแค่ 235 กรัม เท่านั้น
Controller Location
- การวางแยกซ้าย-ขวา ระหว่างการควบคุมการเล่นเพลง และการโทรศัพท์ ถือเป็นรูปแบบปกติของหูฟัง Bluetooth แบบ Full size อยู่แล้ว ซึ่ง Backbeat Pro 2 ก็ทำออกมาได้ดี ไม่สับสน
Accessories & Usage
- อุปกรณ์ที่ให้มาในกล่องมี สายชาร์จ USB, สาย 3.5mm, Manual ซึ่งเมื่อเทียบกับอุปกรณ์ที่ให้มาในรุ่นก่อนหน้าอย่าง Backbeat Pro ทาง Plantronics ได้ตัดสาย 3.5mm สำหรับใช้กับอุปกรณ์ Apple ออกไป และสาย 3.5mm ที่ให้มาเป็นสายเปล่า ไม่มี In-line control
- การใช้งานโดยรวมของ Backbeat Pro 2 ส่วนใหญ่ก็จะเหมือนหูฟัง Bluetooth แบบ Full size ทั่วไป แต่ที่เป็นส่วนที่คนที่จะตัดสินใจซื้อควรให้ความสำคัญด้วยคือ Backbeat Pro 2 ไม่สามารถพับได้เหมือน Bose QC35 หรือ Sony MDR-1000X จึงทำให้ Backbeat Pro 2 อาจจะไม่เหมาะกับคนที่ต้องการพกหูฟังที่ใช้พื้นที่น้อยๆ และตัว Earcup สามารถหมุนได้ 90 องศา (คล้ายหูฟังจำพวก Gaming) ทำให้ตอนเก็บหูฟังเข้าถุงผ้าก็ยังใหญ่อยู่ดี ซึ่งทำให้ตั้งข้อสังเกตุได้ว่า Plantronics น่าจะอยากให้ผู้ใช้ ใช้ Backbeat Pro 2 โดยการคล้องคอไปด้วยตลอด แทนที่จะเป็นการพับเก็บใส่กล่องทุกครั้งที่เลิกใช้ เนื่องจาก Plantronics ได้ใส่ฟังก์ชั่น Smart Sensor ไว้ในตัว Backbeat Pro 2 ด้วย แล้วการคล้องคอไว้ ผู้ใช้จะสามารถกลับมาฟังเพลงได้ทันทีที่สวมหูฟัง
Function
Driver
- Backbeat Pro 2 ใช้ Driver ขนาด 40 mm ซึ่งถือว่าเป็นขนาดมาตรฐานของหูฟัง Full Size เพราะจากที่เห็น Spec. ของหูฟัง Full Size ยี่ห้ออื่นๆ หลายรุ่นก็จะใช้ Driver ขนาด 40 mm
Battery
- ตาม Spec. ที่ทาง Plantronics เคลมไว้คือ สามารถใช้งานต่อเนื่องได้ 24 ชม. และ Standby ได้ 6 เดือน ในกรณีที่ลืมปิดหูฟัง ด้วยฟังก์ชั่น DeepSleep และใช้เวลา 3 ชม. ในการชาร์จแบตฯ ให้เต็ม 100%
จากการทดสอบใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน โดยเริ่มใช้งานตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ (5 วัน) ใช้ฟังเพลงและคุยโทรศัพท์ เฉลี่ยวันละมากกว่า 3 ชม. โดยลักษณะการใช้งานคือ
• มีการปิด-เปิดฟังก์ชั่น Active Noise Canceling ตามสถานการณ์ ไม่ได้เปิดตลอดเวลา เช่น เวลาอยู่ในที่ที่ไม่มีเสียงรบกวนก็ปิดไว้
• ไม่ได้เปิดหูฟังไว้ตลอด หากต้องไปทำอะไรที่ไม่ได้ใช้หูฟังนานๆ ก็จะปิดหูฟังไว้ เช่น เวลากินข้าวกับเพื่อน หรือออกไปคุยงาน
สถานะแบตฯ หลังจากใช้งานตามที่กล่าวมา อยู่ที่ Medium ซึ่งสำหรับผมถือว่ายอดเยี่ยม เพราะนั่นหมายความว่าผมน่าจะใช้หูฟังนี้ไปได้อีกอย่างน้อย 2-3 วัน แน่ๆ ด้วยลักษณะการใช้งานแบบนี้ และจากที่เห็นตามรีวิวของเมืองนอก ทุกคนก็บอกว่าสามารถอยู่ได้อย่างน้อย 24 ชม. ตามที่เคลมไว้แน่นอน ถือว่าเหมาะมากสำหรับใช้ในการเดินทางไกลๆ เช่น เดินทางข้ามทวีปที่ต้องนั่งอยู่บนเครื่องบินมากกว่า 15 ชม. เพราะชาร์จครั้งเดียวก่อนเดินทาง แล้วไปชาร์จอีกทีที่ รร. ได้เลย
Connection
- Backbeat Pro 2 เชื่อมต่อ wireless ด้วย Bluetooth v4.0 Class 1 ทำให้ตาม Spec. แล้ว ตัวหูฟังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ไกลสุด 100 m (แนวตรงโดยไม่มีสิ่งกีดขวาง)
ซึ่งจากการทดสอบในการใช้งานจริง โดยเชื่อมต่อหูฟังกับมือถือ Vivo V3 Max เมื่อออกห่างจากมือถือประมาณ 40 เมตร โดยมีสิ่งกีดขวางเพียงเล็กน้อย เช่น เสา เสียงยังชัดเจนดี แต่เมื่อเดินเข้าหลังกำแพง เสียงก็เริ่มขาดหายทันที และเมื่อลองทดสอบออกห่างจากมือถือโดยมีกำแพงกั้น 2 ชั้น (ความหนารวมประมาณ 60 cm) ที่ระยะ 15 m เสียงยังชัดเจนดี พอเริ่มเข้า 16 m เสียงก็เริ่มขาดหาย และ Disconnect ไปที่ 18 m
โดยรวมแล้วสำหรับผม ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ เนื่องจากปกติแล้ว หากออกนอกบ้านแล้วใช้หูฟังเชื่อมต่อกับมือถือ คงไม่มีใครทิ้งมือถือห่างตัวเกิน 20-30 m (มั้ง) และในกรณีที่ใช้ในบ้าน โดยอ้างอิงจากขนาดของบ้าน 2 ชั้น บนพื้นที่ไม่เกิน 80 ตร.ว. หากวางมือถือไว้กลางบ้าน สามารถสวมหูฟังเดินรอบบ้านไม่ว่าจะชั้น 1 หรือ 2 ได้ โดยสัญญาณ Bluetooth น่าจะยังชัดเจนอยู่
- Backbeat Pro 2 สามารถใช้งานได้อีกแบบโดยการเชื่อมต่อผ่านสาย 3.5mm ซึ่งมีมาให้ใน Package โดยหากเสียบสาย 3.5mm เข้ากับหูฟังแล้ว หูฟังจะหยุดการเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth อัตโนมัติ และเมื่อถอดสายออก หูฟังก็จะเชื่อมต่อ Bluetooth กลับอัตโนมัติเช่นกัน และการใช้งานผ่านสาย 3.5mm สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องใช้แบตเตอรี่ เพื่อให้หูฟังยังสามารถใช้ได้ในกรณีแบตฯ หมด
- อีกหนึ่งช่อง Connection คือช่อง Mini USB ซึ่งทำหน้าที่สำหรับชาร์จแบตเตอรี่เท่านั้น
Active Noise Canceling + Open Mic
- ในส่วนของฟังก์ชั่น Active Noise Canceling นั้น ต้องบอกว่าผมเพิ่งเคยใช้หูฟังที่มีฟังก์ชั่นนี้ Backbeat Pro 2 เป็นชิ้นแรกในชีวิต ทำให้ผมไม่สามารถแสดงความคิดเห็นเปรียบเทียบกับหูฟัง ANC ยี่ห้ออื่นได้เลย ซึ่งที่เห็นดังๆ ตามเวปไซต์ต่างประเทศจะเป็น Bose QC35 กับ Sony MDR-1000X ซึ่งทั้ง 2 ตัว ราคาไม่อาจเอื้อมจริงๆ ที่เคยผ่านหูมาจะเป็นแค่ Passive Noise Canceling ของ In-Ear Headphones เท่านั้น ซึ่งผมใช้ MEE Pinnacle P1 อยู่
สรุปจากการใช้งานจริงสำหรับผม ผมมีความคาดหวังกับ ANC มากกว่าที่ได้รับจาก Backbeat Pro 2 โดยสามารถแยกตามสถานการณ์การใช้งานได้ตามนี้
เปิด ANC + เปิดเพลง
• ในออฟฟิศทำงานในช่วงปกติที่ไม่มีใครคุยกัน หรือมีคนคุยกันเสียงดัง แต่ห่างจากตัวประมาณ 3-4 เมตร ระบบ ANC ทำงานได้ดี ผมไม่ได้ยินเสียงรอบข้างเลย ได้ยินแต่เพลงที่ฟังอยู่
• หากใกล้ๆ มีการคุยกันเสียงดัง จะมีเสียงคนพูดแทรกเข้ามาในหูฟังได้ แต่ถ้าเป็นการคุยกันเสียงปกติ จะมีแทรกเข้ามาบ้างแบบจับใจความไม่ได้
• การใช้งานในร้านกาแฟที่เสียงรอบข้างเป็นเสียงคนคุยกันแบบปกติ ANC ทำได้ดี แต่ถ้าข้างๆ เสียงดัง ก็ยังมีเสียงแทรกเข้ามาได้อยู่
• การใช้งานระหว่างการเดินไปตามที่สาธารณะต่างๆ ระบบ ANC ทำงานได้ดี เนื่องจากย่านเสียงเวลาอยู่ในที่เปิด ส่วนใหญ่จะเกิดการหักล้างกันเป็นความถี่โดยรวมรอบตัวใกล้เคียงกัน ทำให้ระบบ ANC สามารถจัดการได้ดี
เปิด ANC แต่ไม่ได้เปิดเพลง
• ในกรณีที่อยู่ในที่ปิด และไม่ได้เปิดเพลงแต่เปิด ANC จะได้ยินเสียงคนพูดเข้ามาในหูฟังได้ชัดพอสมควร ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ แต่ก็ไม่เคยลองของหูฟังยี่ห้ออื่นที่ได้รับคำชมว่าเป็นหูฟังที่มี ANC ที่ดีที่สุด
• ส่วนเสียงที่มี Frequency ต่ำ เช่น เสียงลม, เสียงแอร์, เสียงอื้ออึงรอบตัว ระบบ ANC สามารถจัดการได้อยู่หมัด ไม่ว่าจะเปิดเพลงหรือไม่เปิดเพลง
สรุปโดยส่วนตัว ผมค่อนข้างพอใจในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงขั้นประทับใจในการใช้ฟังก์ชั่น ANC เป็นครั้งแรก เพราะปกติเวลาฟังเพลงด้วย Pinnacle P1 มันสามารถบล็อกเสียงภายนอกได้ดี๊ดี เลยมีความคาดหวังกับ ANC อยู่พอสมควร โดยในความคิดผม ส่วนหนึ่งที่เสียงสามารถเข้ามาใน Backbeat Pro 2 ได้ น่าจะเป็นการบุโฟมของหูฟังที่ไม่ได้หนามาก ทำให้ Passive Noise Canceling ได้ไม่ดีพอ ซึ่งจริงๆ ถ้าทำได้ดีกว่านี้ น่าจะทำให้ ANC ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- อีกฟังก์ชั่นหนึ่งที่ให้มาคู่กับ ANC คือ Open Mic ซึ่งจุดประสงค์ของฟังก์ชั่นนี้คือการเปิดไมค์ของหูฟังเพื่อให้ได้ยินเสียงภายนอกผ่านไมค์ เช่น เสียงคนคุยกับเรา, เสียงประกาศในสนามบิน โดยที่ไม่ต้องยกหูฟังออกจากหู อันนี้ขอไม่รีวิว เพราะสำหรับผมคิดว่าไม่มีประโยชน์ ไม่ได้ใช้แน่นอน