สวัสดีค่ะ ^^... ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนนะคะว่าเป็นการรีวิวครั้งแรก โดยใช้ไอดีของแฟน ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยนะคร้า


ทริปนี้เกิดขึ้นจากการที่สายการบิน Thai Lion air จัดโปรเชียงใหม่-สุราษฎร์ ได้มาในราคาที่น่าสนใจ (ไป-กลับ 3,600/2คน) ซึ่งเราจองไว้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 และเดินทางช่วงต้นเดือนมีนาคม 2560 ค่ะ ประกอบกับที่เราอยากไปเขื่อนเชียวหลานด้วยแหละ พอโปรมาเลยจัดเลย อิอิ
หลายคนก็บอกว่าแถวภาคเหนือบ้านเราเขื่อนเยอะแยะทำไมไปใต้ไม่เที่ยวทะเล เหยยยยยเกร... เราว่ามันไม่เหมือนกันน้าาาา เนื่องจากปีที่แล้วเราไปเที่ยวทะเลกระบี่มาแล้วรู้สึกว่าภูเขาที่ภาคใต้มันเขียวอุดมสมบูรณ์ดีจัง อีกอย่างคือภูเขาที่ภาคใต้เป็นภูเขาหินปูนซึ่งไม่เหมือนที่ภาคเหนือ(ที่คุ้นตา) ซึ่งมันก็สวยคนละแบบ ฉะนั้นจะรอช้าอยู่ใย ไปกันโล้ดดดด
วันแรก : เราออกจากสนามบินเชียงใหม่เวลาบ่ายโมง ไปถึงสนามบินสุราษฏร์ประมาณ 15.00 น. จากการที่ทำการบ้านมานั้นรู้ว่าสนามบินสุราษฏร์นั้นอยู่ห่างจากสถานที่ที่เราจะไปมาก ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ครั้นจะเหมารถก็ไม่น่าจะคุ้มเพราะไปกันแค่ 2 คน จะขึ้นรถประจำทางก็กลัวไปไม่ถูก 555+ จึงตัดสินใจจองคูปองจากเวปเช่ารถไว้ ครั้งนี้เราเลือกใช้บริการของ Thai rent a car ค่ะ พอถึงสนามบินก็ไปรับรถที่หน้าประตูขาออกได้เลย
... ออกจากสนามบินได้เปิด GPS นำทางไปเลยจ้าาาา ตามแพลนคือ คืนแรกเราจะหาที่พักที่ไม่ไกลจากเขื่อนมากนัก เพราะวันรุ่งขึ้นต้องเดินทางไปพักแพในเขื่อน ซึ่งทางแพได้นัดเวลาขึ้นเรือ 10.30 น. ถ้าพักไกลเกรงว่าจะมาไม่ทัน (เพราะถ้าตกเรือได้เหมาเรือเข้าไปในเขื่อนเองค่อนข้างแพง 55)
ถึงแล้วววววว... คืนแรก พักที่ ริเวอร์วิว รีสอร์ท แอท เชี่ยวหลาน (River View Resort At Chaewlan) ค่ะ ที่นี่มีพักหลายแบบ เราเลือกแบบแคปซูล พนักงานบอกว่าเป็นแบบที่นักท่องเที่ยวนิยม

ภายในห้อง... ให้อารมณ์แนวอบอุ่น

ด้านหน้าห้องเป็นระแบียงยื่นออกมาสามารถนั่งชมวิวมองเห็นคลองแสง พร้อมฟังเสียงน้ำไหล แต่วันที่เราไปพนักงานบอกว่าก่อนที่เราจะไปถึงมีฝนตก ทำให้ตรงระเบียงยังเปียกน้ำอยู่ โชคดีวันที่เราเข้าพักเป็นวันธรรมดา พนักงานเลยบอกว่าเลือกห้องได้ตามใจชอบ 555+

บรรยากาศรอบๆบริเวณรีสอร์ทจะเป็นสวนผลไม้ และติดแม่น้ำซึ่งเป็นทางผ่านของคลองแสง พนักงานบอกว่าลงเล่นน้ำได้นะคะ แต่ขอให้อยู่ในบริเวณทุ่นที่ทางรีสอร์ททำไว้ให้ เพราะน้ำจะสูงขึ้นมากช่วงที่เขื่อนปล่อยน้ำมา แต่เราก็ยังไม่ลงเล่นน้ำเพราะฝนเพิ่งหยุดตก อากาศเย็นด้วยแหละ อิอิ


ตกเย็นท้องร้องจ๊อกๆ ถึงเวลากิน 555+ ในรีสอร์ทมีร้านอาการบริการ บรรยากาศดีติดวิวคลองแสง แต่เสียดายโต๊ะที่ติดวิวแม่น้ำที่เป็นเอาท์ดอร์เปียกฝน T.T ร้านอาการที่นี่นอกจากนักท่องเที่ยวที่มาพักแล้ว ยังมีคนจากภายนอกมากินด้วย เพราะอาหารอร่อย และราคาก็ไม่แพงมากนะคะ แต่ไม่ค่อยได้ถ่ายอาหารมาให้ดู เพราะพอาหารมาถึงก็กินเลย อีกอย่างตอนค่ำยุงเริ่มเยอะด้วยคะ 555+ ทันถ่ายมาแค่ 2 อย่าง คือ ใบเหลียงผัดไข่ (ชอบมาก มาใต้ทีไรต้องสั่งคะ) กับ ยำยอดมะพร้าวอ่อน(อันนี้แฟนชอบมากค่ะ)
วันที่ 2 : หลังจากเชคเอาท์จากรีสอร์ทแล้วเราก็เดินทางประมาณ 15 นาที ไปที่ท่าเรือเทศบาลบ้านเชี่ยวหลานเพื่อที่จะเข้าไปพักแพในเขื่อน ที่ท่าเรือจะมีที่รับฝากรถ 80 บาท (ค้างคืน) โดยแพที่เราจองแพคเกท 2 วัน 1 คืน ไว้คือแพของ "ภูผาวารี" ซึ่งเป็นแพของเอกชนมีห้องน้ำส่วนตัว
10.30 น. ก็มีเจ้าหน้าที่ของแพมารับที่ท่าเรือ ตามแพคเกทจะเป็นเรือแบบจอยกรุ๊ป ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากท่าเรือเพื่อไปยังแพ ระหว่างนั้นก็ดื่มด่ำกับธรรมชาติระหว่างทางไปค่ะ อากาศค่อนข้างเย็นสบายถึงแม้จะมีแดด ขณะนั่งเรือน้านนน... จะมีน้ำกระเซ็นเข้ามาในเรือเป็นระยะๆ จะมีหัวเปียกบ้าง

ใครที่แต่งหน้าแล้วถ้ากลัวคิ้วหายอาจจะต้องใช้เครื่องสำอางแบบกันน้ำนะคะ อิอิ



ก่อนถึงแพคนขับเรือจะพาไปชมไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ "กุ้ยหลินเมืองไทย" หรือ "เขาสามเกลอ" วันที่เราไปน้ำขึ้นสูงเนื่องจากวันก่อนฝนตก เราเลยเห็นเทือกเขาหินปูนต่ำ ... แต่ก็ยังสวยอยู่ดีค่ะ ^^

ถึงแล้วววววว ... ที่พักของเรา"แพภูผาวารี" แอบตื่นเต้นๆ ซึ่งห้องพักจะมีทั้งห้องแอร์และพัดลมนะคะ


เมื่อถึงที่พักแล้วเราก็รีบเอาของไปเก็บเข้าที่พักแล้วออกมาทานอาหารกลางวัน(ในแพคเกทรวมอาหาร3มื้อแล้วนะคะ) ในทริปนี้ต้องขออภัยที่ไม่มีรูปอาหารอีกแล้ว เพราะเมื่ออาหารมาถึงก็ลืมถ่ายรูปไปเลยจ้าาาา 555+ แต่ขอบอกว่าอาหารจัดเต็มทุกมื้อ อร่อยทุกอย่าง มีอาหาร 3-4 อย่างต่อ 1 มื้อ ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูปลา สามารถเติมได้ทุกอย่าง ชอบตรงที่เขาจัดแยกโต๊ะให้ ไม่ต้องไปอึดอัดร่วมโต๊ะกับคนที่เราไม่รู้จัก กินได้เต็มที่ พนักงานบริการดีมากค่ะ พอทานเสร็จก็ไปซื้อข้าวโพดมาให้อาหารปลาต่อ และต่อด้วยพายเรือคายักที่มีอยู่หน้าห้องทุกห้อง (มีค่ามัดจำไม้พายอันละ 500) เราสามารถพายไปไกลแค่ไหนก็ได้ แต่ขอให้กลับมาเองด้วยนะคะ 555+ บอกเลยว่าพายเรือไปเองได้ฟิลกู๊ดมากๆๆๆ




พอตอนเย็นทางแพจะขับเรือพาเราไปดูพระอาทิตย์ตกดินค่ะ


วันที่ 3 : เราตื่นแต่เช้า เพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอน 6 โมงเช้า อากาศตอนเช้าเย็นสบายมาก มีหมอกจางๆด้วยยย หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วกลับมาทานอาหารเช้าและเก็บของเตรียมกลับ เหมือนเวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ



หลังจากขึ้นฝั่งแล้ว,,, เรายังมีเวลาเหลือก่อนขึ้นเครื่องกลับเชียงใหม่ จึงแวะไปถ่ายรูปที่เขื่อน และสะพานแขวนเขาพัง ที่เห็นภูเขารูปหัวใจด้วย

ก่อนจะกลับจริงจริ๊งงงงง ขอแวะเข้าไปชมเมืองสุราษฏร์สักหน่อย ,, และพลาดไม่ได้ที่จะแวะไปชิมขนมจีนเส้นสด หน้าเรือนจำ เจ้าดังของสุราษฏร์ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ อร่อยดี ชอบน้ำแกงไตปลาที่สุด ^^ แต่แอบเผ็ดไปนิสสส (สำหรับคนเหนือที่ไม่ค่อยทานเผ็ด)

ปล. หากใครสนใจหรือลังเลที่อยากไปเที่ยว สำหรับเราแนะนำนะคะ บรรยากาศจริงสวยกว่าในรูปอีกน้าาา


สรุปค่าใช้จ่าย 2 คืน 3 วัน (2คน): เครื่องบิน ไป-กลับ 2 คน = 3,600
รถเช่า 2 วัน = 1,650
ค่าน้ำมันรถ = 500
พักรีสอร์ท 1 คืน = 1,500
แพจเกทนอนที่แพ คนละ 2,800/คน = 5,600
*******
รวม = 12,850 (ไม่รวมค่าอาหารจิปาถะและของฝากนะคะ) ********
ชื่อสินค้า: เขื่อนรัชชประภา เขื่อนเชียวหลาน กุ้ยหลินเมืองไทย
[CR] รีวิว : ทริป 2 คืน 3 วัน ล่องใต้เที่ยวสุราษฏร์ (เขื่อนเชี่ยวหลาน)
ทริปนี้เกิดขึ้นจากการที่สายการบิน Thai Lion air จัดโปรเชียงใหม่-สุราษฎร์ ได้มาในราคาที่น่าสนใจ (ไป-กลับ 3,600/2คน) ซึ่งเราจองไว้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 และเดินทางช่วงต้นเดือนมีนาคม 2560 ค่ะ ประกอบกับที่เราอยากไปเขื่อนเชียวหลานด้วยแหละ พอโปรมาเลยจัดเลย อิอิ
หลายคนก็บอกว่าแถวภาคเหนือบ้านเราเขื่อนเยอะแยะทำไมไปใต้ไม่เที่ยวทะเล เหยยยยยเกร... เราว่ามันไม่เหมือนกันน้าาาา เนื่องจากปีที่แล้วเราไปเที่ยวทะเลกระบี่มาแล้วรู้สึกว่าภูเขาที่ภาคใต้มันเขียวอุดมสมบูรณ์ดีจัง อีกอย่างคือภูเขาที่ภาคใต้เป็นภูเขาหินปูนซึ่งไม่เหมือนที่ภาคเหนือ(ที่คุ้นตา) ซึ่งมันก็สวยคนละแบบ ฉะนั้นจะรอช้าอยู่ใย ไปกันโล้ดดดด
วันแรก : เราออกจากสนามบินเชียงใหม่เวลาบ่ายโมง ไปถึงสนามบินสุราษฏร์ประมาณ 15.00 น. จากการที่ทำการบ้านมานั้นรู้ว่าสนามบินสุราษฏร์นั้นอยู่ห่างจากสถานที่ที่เราจะไปมาก ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ครั้นจะเหมารถก็ไม่น่าจะคุ้มเพราะไปกันแค่ 2 คน จะขึ้นรถประจำทางก็กลัวไปไม่ถูก 555+ จึงตัดสินใจจองคูปองจากเวปเช่ารถไว้ ครั้งนี้เราเลือกใช้บริการของ Thai rent a car ค่ะ พอถึงสนามบินก็ไปรับรถที่หน้าประตูขาออกได้เลย
... ออกจากสนามบินได้เปิด GPS นำทางไปเลยจ้าาาา ตามแพลนคือ คืนแรกเราจะหาที่พักที่ไม่ไกลจากเขื่อนมากนัก เพราะวันรุ่งขึ้นต้องเดินทางไปพักแพในเขื่อน ซึ่งทางแพได้นัดเวลาขึ้นเรือ 10.30 น. ถ้าพักไกลเกรงว่าจะมาไม่ทัน (เพราะถ้าตกเรือได้เหมาเรือเข้าไปในเขื่อนเองค่อนข้างแพง 55)
ถึงแล้วววววว... คืนแรก พักที่ ริเวอร์วิว รีสอร์ท แอท เชี่ยวหลาน (River View Resort At Chaewlan) ค่ะ ที่นี่มีพักหลายแบบ เราเลือกแบบแคปซูล พนักงานบอกว่าเป็นแบบที่นักท่องเที่ยวนิยม
ภายในห้อง... ให้อารมณ์แนวอบอุ่น
ด้านหน้าห้องเป็นระแบียงยื่นออกมาสามารถนั่งชมวิวมองเห็นคลองแสง พร้อมฟังเสียงน้ำไหล แต่วันที่เราไปพนักงานบอกว่าก่อนที่เราจะไปถึงมีฝนตก ทำให้ตรงระเบียงยังเปียกน้ำอยู่ โชคดีวันที่เราเข้าพักเป็นวันธรรมดา พนักงานเลยบอกว่าเลือกห้องได้ตามใจชอบ 555+
บรรยากาศรอบๆบริเวณรีสอร์ทจะเป็นสวนผลไม้ และติดแม่น้ำซึ่งเป็นทางผ่านของคลองแสง พนักงานบอกว่าลงเล่นน้ำได้นะคะ แต่ขอให้อยู่ในบริเวณทุ่นที่ทางรีสอร์ททำไว้ให้ เพราะน้ำจะสูงขึ้นมากช่วงที่เขื่อนปล่อยน้ำมา แต่เราก็ยังไม่ลงเล่นน้ำเพราะฝนเพิ่งหยุดตก อากาศเย็นด้วยแหละ อิอิ
ตกเย็นท้องร้องจ๊อกๆ ถึงเวลากิน 555+ ในรีสอร์ทมีร้านอาการบริการ บรรยากาศดีติดวิวคลองแสง แต่เสียดายโต๊ะที่ติดวิวแม่น้ำที่เป็นเอาท์ดอร์เปียกฝน T.T ร้านอาการที่นี่นอกจากนักท่องเที่ยวที่มาพักแล้ว ยังมีคนจากภายนอกมากินด้วย เพราะอาหารอร่อย และราคาก็ไม่แพงมากนะคะ แต่ไม่ค่อยได้ถ่ายอาหารมาให้ดู เพราะพอาหารมาถึงก็กินเลย อีกอย่างตอนค่ำยุงเริ่มเยอะด้วยคะ 555+ ทันถ่ายมาแค่ 2 อย่าง คือ ใบเหลียงผัดไข่ (ชอบมาก มาใต้ทีไรต้องสั่งคะ) กับ ยำยอดมะพร้าวอ่อน(อันนี้แฟนชอบมากค่ะ)
วันที่ 2 : หลังจากเชคเอาท์จากรีสอร์ทแล้วเราก็เดินทางประมาณ 15 นาที ไปที่ท่าเรือเทศบาลบ้านเชี่ยวหลานเพื่อที่จะเข้าไปพักแพในเขื่อน ที่ท่าเรือจะมีที่รับฝากรถ 80 บาท (ค้างคืน) โดยแพที่เราจองแพคเกท 2 วัน 1 คืน ไว้คือแพของ "ภูผาวารี" ซึ่งเป็นแพของเอกชนมีห้องน้ำส่วนตัว
10.30 น. ก็มีเจ้าหน้าที่ของแพมารับที่ท่าเรือ ตามแพคเกทจะเป็นเรือแบบจอยกรุ๊ป ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากท่าเรือเพื่อไปยังแพ ระหว่างนั้นก็ดื่มด่ำกับธรรมชาติระหว่างทางไปค่ะ อากาศค่อนข้างเย็นสบายถึงแม้จะมีแดด ขณะนั่งเรือน้านนน... จะมีน้ำกระเซ็นเข้ามาในเรือเป็นระยะๆ จะมีหัวเปียกบ้าง
ก่อนถึงแพคนขับเรือจะพาไปชมไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ "กุ้ยหลินเมืองไทย" หรือ "เขาสามเกลอ" วันที่เราไปน้ำขึ้นสูงเนื่องจากวันก่อนฝนตก เราเลยเห็นเทือกเขาหินปูนต่ำ ... แต่ก็ยังสวยอยู่ดีค่ะ ^^
ถึงแล้วววววว ... ที่พักของเรา"แพภูผาวารี" แอบตื่นเต้นๆ ซึ่งห้องพักจะมีทั้งห้องแอร์และพัดลมนะคะ
เมื่อถึงที่พักแล้วเราก็รีบเอาของไปเก็บเข้าที่พักแล้วออกมาทานอาหารกลางวัน(ในแพคเกทรวมอาหาร3มื้อแล้วนะคะ) ในทริปนี้ต้องขออภัยที่ไม่มีรูปอาหารอีกแล้ว เพราะเมื่ออาหารมาถึงก็ลืมถ่ายรูปไปเลยจ้าาาา 555+ แต่ขอบอกว่าอาหารจัดเต็มทุกมื้อ อร่อยทุกอย่าง มีอาหาร 3-4 อย่างต่อ 1 มื้อ ส่วนใหญ่จะเป็นเมนูปลา สามารถเติมได้ทุกอย่าง ชอบตรงที่เขาจัดแยกโต๊ะให้ ไม่ต้องไปอึดอัดร่วมโต๊ะกับคนที่เราไม่รู้จัก กินได้เต็มที่ พนักงานบริการดีมากค่ะ พอทานเสร็จก็ไปซื้อข้าวโพดมาให้อาหารปลาต่อ และต่อด้วยพายเรือคายักที่มีอยู่หน้าห้องทุกห้อง (มีค่ามัดจำไม้พายอันละ 500) เราสามารถพายไปไกลแค่ไหนก็ได้ แต่ขอให้กลับมาเองด้วยนะคะ 555+ บอกเลยว่าพายเรือไปเองได้ฟิลกู๊ดมากๆๆๆ
พอตอนเย็นทางแพจะขับเรือพาเราไปดูพระอาทิตย์ตกดินค่ะ
วันที่ 3 : เราตื่นแต่เช้า เพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นตอน 6 โมงเช้า อากาศตอนเช้าเย็นสบายมาก มีหมอกจางๆด้วยยย หลังจากดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้วกลับมาทานอาหารเช้าและเก็บของเตรียมกลับ เหมือนเวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ
หลังจากขึ้นฝั่งแล้ว,,, เรายังมีเวลาเหลือก่อนขึ้นเครื่องกลับเชียงใหม่ จึงแวะไปถ่ายรูปที่เขื่อน และสะพานแขวนเขาพัง ที่เห็นภูเขารูปหัวใจด้วย
ก่อนจะกลับจริงจริ๊งงงงง ขอแวะเข้าไปชมเมืองสุราษฏร์สักหน่อย ,, และพลาดไม่ได้ที่จะแวะไปชิมขนมจีนเส้นสด หน้าเรือนจำ เจ้าดังของสุราษฏร์ ซึ่งก็ไม่ผิดหวังจริงๆค่ะ อร่อยดี ชอบน้ำแกงไตปลาที่สุด ^^ แต่แอบเผ็ดไปนิสสส (สำหรับคนเหนือที่ไม่ค่อยทานเผ็ด)
ปล. หากใครสนใจหรือลังเลที่อยากไปเที่ยว สำหรับเราแนะนำนะคะ บรรยากาศจริงสวยกว่าในรูปอีกน้าาา
สรุปค่าใช้จ่าย 2 คืน 3 วัน (2คน): เครื่องบิน ไป-กลับ 2 คน = 3,600
รถเช่า 2 วัน = 1,650
ค่าน้ำมันรถ = 500
พักรีสอร์ท 1 คืน = 1,500
แพจเกทนอนที่แพ คนละ 2,800/คน = 5,600
******* รวม = 12,850 (ไม่รวมค่าอาหารจิปาถะและของฝากนะคะ) ********