คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ปกติแล้วเขาไม่ใช้หุ้นเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกัน เพราะสาเหตุนี้ครับ
สมมตินะครับ ว่าหลักทรัพย์ค้ำประกันมันด้อยค่าลง ถ้าผู้ให้กู้อยากเรียกหลักทรัพย์เพิ่มก็ได้ แต่ถ้าไม่เรียก และผู้กู้จ่ายหนี้คืนสม่ำเสมอ ในแง่การทำธุรกิจมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ เรียกเพิ่ม มันก็แค่สบายใจขึ้นหน่อย
ส่วนเรื่องตั้งสำรอง มันตั้งสำรองแค่ 1-2% ของลูกหนี้ปกติ หักหลักค้ำประกันออก ถ้าหลักค้ำประกันเกินก็ไม่ต้องตั้งสำรอง มันจะมาเยอะตอนเริ่มเป็นหนี้ที้เริ่มค้างชำระ ต้องตั้งสำรอง 20% ของมูลค่าหนี้ลบด้วยหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ยกตัวอย่างของบริษัทที่เป็นข่าวอยู่ก็ได้ สมมติว่ามีหนี้อยู่ 100 มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเกิน 100 ก็ไม่ต้องตั้งสำรอง สมมติว่าหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นมันด้อยค่าลง 50% มีหลักทรัพย์อื่น 60% แปลว่าหลักทรัพย์เหลือแค่ 80 ก็ต้องตั้งสำรอง 2% ของ 20 หรือร้อยละ 0.4 ครับ สมมติว่ากลายเป็นหนี้ทำท่าจะสูญ ก็ต้องตั้งสำรอง 20% ของ 20 หรือประมาณร้อยละ 4 ครับ
สมมตินะครับ ว่าหลักทรัพย์ค้ำประกันมันด้อยค่าลง ถ้าผู้ให้กู้อยากเรียกหลักทรัพย์เพิ่มก็ได้ แต่ถ้าไม่เรียก และผู้กู้จ่ายหนี้คืนสม่ำเสมอ ในแง่การทำธุรกิจมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ เรียกเพิ่ม มันก็แค่สบายใจขึ้นหน่อย
ส่วนเรื่องตั้งสำรอง มันตั้งสำรองแค่ 1-2% ของลูกหนี้ปกติ หักหลักค้ำประกันออก ถ้าหลักค้ำประกันเกินก็ไม่ต้องตั้งสำรอง มันจะมาเยอะตอนเริ่มเป็นหนี้ที้เริ่มค้างชำระ ต้องตั้งสำรอง 20% ของมูลค่าหนี้ลบด้วยหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ยกตัวอย่างของบริษัทที่เป็นข่าวอยู่ก็ได้ สมมติว่ามีหนี้อยู่ 100 มีหลักทรัพย์ค้ำประกันเกิน 100 ก็ไม่ต้องตั้งสำรอง สมมติว่าหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นมันด้อยค่าลง 50% มีหลักทรัพย์อื่น 60% แปลว่าหลักทรัพย์เหลือแค่ 80 ก็ต้องตั้งสำรอง 2% ของ 20 หรือร้อยละ 0.4 ครับ สมมติว่ากลายเป็นหนี้ทำท่าจะสูญ ก็ต้องตั้งสำรอง 20% ของ 20 หรือประมาณร้อยละ 4 ครับ
แสดงความคิดเห็น
การบันทึกด้อยค่าเงินลงทุน. คือไร ครับ
เมื่อราคาหุ้นที่ใช้ค้ำประกันตกลงมา.
มูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันจะหายไปด้วยไหมครับ
ในขณะที่ยอดเงินกู้ คงที่ ตลอกเวลา. ดอกเบี้ยรับเท่าเดิม
ถ้า มูลค่าหลักทรัพย์ค้ำประกันลดลง. บ. ที่ให้กู้ควรทำงัย