ลดบทบาท ช่อง 3 ช่อง7 คนดูหาย 20% มองเป็นเซกเมนต์มีเดียแทน ดันสื่อออนไลน์ฉุดไม่อยู่ เฟซบุคไลฟ์โอกาสทองปีนี้ “เดอะมาร์คซิงเกอร์” ปิดการขายซีซันสองเรียบร้อยพร้อมชูโซเชียลออนไลน์เพิ่มรายได้ มีอึ้ง!"อีเจี๊ยบเลียบด่วน" ฟาดเรียบโพสต์โฆษณาครั้งละแสนสูงสุดในกลุ่มแฟนเพจ
นายภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ สายการวางแผน และกลยุทธ์สื่อโฆษณา บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือ MI เปิดเผยว่า ภาพรวมโฆษณาปี2560นี้มองว่าทั้งปีน่าจะทรงตัวหรือโตได้มากสุดไม่เกิน 5-10% ขณะที่ในช่วงหน้าร้อนปีนี้พบว่า อากาศร้อนมาเร็ว ทำให้สินค้าหน้าร้อนรุกมาทำตลาดตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ใช้มากขึ้นจาก 7,000-8,000 ล้านบาท มาเป็น 10,000 ล้านบาทในปีนี้
ส่งผลให้มองว่าตลอด4เดือนนี้ ตั้งแต่มี.ค.-พ.ค. เม็ดเงินโฆษณาจะมีมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท โตขึ้น 12-13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 35,000 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินโฆษณาหน้าร้อนปีนี้คิดเป็น 40% ของเม็ดเงินโฆษณารวมทั้งปี ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ใช้เงินมากสุดในช่วงนี้ 5 อันดับแรก คือ เครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ รถยนต์ ผลิตภัณฑ์กันแดด การสื่อสาร และสินค้าบริโภคอย่างโยเกิร์ตและนม เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามพบว่าปีนี้แมสมีเดียกำลังเปลี่ยนแปลงไป และลดบาทบาทมาเป็นเซ็กเม้นท์มีเดียแทน จำเป็นต้องวางกลยุทธ์การสื่อสารให้ดี โดยเลือกใช้ มีเดียมิกซ์ที่เหมาะสม และคำนึงถึงการใช้ Multiple Platforms จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เข้าถึงคอนเท้นท์หลากหลายขึ้น รวมถึงสื่อเองมีเพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่น ทีวีเดิมมี 3-4 ช่องหลัก ปัจจุบันเป็น 20 กว่าช่อง จากเดิมเป็นสื่อแมสเข้าถึงกลุ่มคนจำนวนมาก
ปัจจุบันแต่ละช่องมีความเป็นนีช มีกลุ่มผู้ชมเฉพาะ คอนเท้นท์ต่างๆจึงเป็นเซกเม้นท์สำหรับผู้ชมมากขึ้น ซึ่งพบว่าช่อง3และช่อง7 จากเดิมเป็นสื่อหลักเช้าถึงผู้ชมกว่า 40% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ปัจจุบันยอดผู้ชมหายไปเฉลี่ย 20% และกลุ่มที่หายไปจะหันไปดูคอนเท้นท์จากช่องทีวีดิจิตอลเกิดใหม่ที่มีเรตติ้ง อย่าง ช่องเวิร์คพ้อยท์ทีวี, ช่องวัน ช่องโมโน29 รวมถึงช่องทางออนไลน์ โดยกลุ่มผู้ชมเหล่านี้มีความเป็นเซกเม้นท์มากขึ้นในการรับชมคอนเท้นท์ต่างๆ เช่น ละครช่อง3เป็นกลุ่มคนกรุงเทพฯ ส่วนละคนช่อง7 จะเป็นคนหัวเมืองใหญ่ ขณะที่ช่องเวิร์คพ้อยท์จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ เป็นต้น
“การเปลี่ยนแปลงของสื่อทีวีที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ช่อง3และช่อง7 หยุดขึ้นราคาโฆษณา 3 ปีที่ผ่านมา โดยช่วงละครไพร์มไทม์ตรึงราคาอยู่ที่ 3.5-4 แสนบาท/นาที แม้ว่าจะขายได้หมดหรือไม่ก็ตาม ส่วนช่วงเวลาอื่นๆแม้จะไม่ได้ปรับราคาขึ้นแต่มีการทำโปรโมชั่นลดแลกตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่กลุ่มทีวีดิจิตอลที่มีเรตติ้งนั้น เฉลี่ยยังมีเรตโฆษณาต่ำกว่า 2 ช่องหลักนี้อยู่ราว 1-2 เท่าตัว หรือในบางรายการอยู่ในเรตราคาเดียวกัน เช่น เดอะมาร์คซิงเกอร์ ราคาโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 3-3.5 แสนบาท/นาที จากเรตติ้งที่สูงมากยังส่งผลให้ซีซันสองปิดการขายโฆษณาเรียบร้อยแล้วในราคาใกล้เคียงกันอีกด้วย แต่รูปแบบโฆษณามีความหลากหลายเน้นสื่อออนไลน์มากขึ้น ขณะที่ภาพรวมทั้งช่องของเวิร์คพ้อยท์ทีวี ที่ขึ้นเป็นอันดับ3 ของทีวีรวม ทำให้ปีนี้เฉลี่ยมีการปรับโฆษณาขึ้นทั้งช่องประมาณ 10%”
จากความสำคัญของสื่อมีเดียกำลังเปลี่ยนไป สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทสูงขึ้น จากปกติลูกค้าจะใช้งบโฆษณากับสื่อออนไลน์ราว 15% และ85% เป็นสื่อหลัก แต่ปีนี้สัดส่วนสื่อออนไลน์เพิ่มเป็น 30% มีแนวโน้มเพิ่มเป็น 50%ได้ใน3-5ปีข้างหน้า โดยมองว่าภาพยนตร์โฆษณาที่ลงในสื่อทีวีมีความสำคัญน้อยลง และจากเดิมต้องใช้งบลงทุนสูง ปัจจุบันสื่อออนไลน์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า และเข้าถึงได้ถึงทุกโซเชียลมีเดีย อีกทั้งมีต้นทุนการผลิตต่ำ ทำให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากกว่า โดยพบว่า 3 สื่อออนไลน์ ที่ลูกค้าสนใจลงโฆษณามากสุด คือ เฟสบุค ยูทูป และไลน์ โดยเฉพาะในเฟสบุคนั้น บริการใหม่อย่าง “เฟสบุคไลฟ์” ถือเป็นโอกาสในปีนี้ ส่วนในกลุ่มแฟนเพจถือเป็นอีกกลุ่มที่ลูกค้านิยมลงโฆษณาสูง ซึ่งปัจจุบันพบว่า เพจ “อีเจี๊ยบเลียบด่วน” เป็นเพจที่มีราคาโฆษณาสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1 แสนบาท/โพสต์
cr. manageronline
ช่อง3 ช่อง7 เหนื่อยคนดูลดฮวบ 20% โฆษณาเพจอีเจี๊ยบฯพุ่ง1แสน
นายภวัต เรืองเดชวรชัย ผู้อำนวยการธุรกิจ สายการวางแผน และกลยุทธ์สื่อโฆษณา บริษัท มีเดียอินเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือ MI เปิดเผยว่า ภาพรวมโฆษณาปี2560นี้มองว่าทั้งปีน่าจะทรงตัวหรือโตได้มากสุดไม่เกิน 5-10% ขณะที่ในช่วงหน้าร้อนปีนี้พบว่า อากาศร้อนมาเร็ว ทำให้สินค้าหน้าร้อนรุกมาทำตลาดตั้งแต่เดือนก.พ.ที่ใช้มากขึ้นจาก 7,000-8,000 ล้านบาท มาเป็น 10,000 ล้านบาทในปีนี้
ส่งผลให้มองว่าตลอด4เดือนนี้ ตั้งแต่มี.ค.-พ.ค. เม็ดเงินโฆษณาจะมีมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท โตขึ้น 12-13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 35,000 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินโฆษณาหน้าร้อนปีนี้คิดเป็น 40% ของเม็ดเงินโฆษณารวมทั้งปี ขณะที่กลุ่มสินค้าที่ใช้เงินมากสุดในช่วงนี้ 5 อันดับแรก คือ เครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ รถยนต์ ผลิตภัณฑ์กันแดด การสื่อสาร และสินค้าบริโภคอย่างโยเกิร์ตและนม เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามพบว่าปีนี้แมสมีเดียกำลังเปลี่ยนแปลงไป และลดบาทบาทมาเป็นเซ็กเม้นท์มีเดียแทน จำเป็นต้องวางกลยุทธ์การสื่อสารให้ดี โดยเลือกใช้ มีเดียมิกซ์ที่เหมาะสม และคำนึงถึงการใช้ Multiple Platforms จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เข้าถึงคอนเท้นท์หลากหลายขึ้น รวมถึงสื่อเองมีเพิ่มขึ้นเช่นกัน เช่น ทีวีเดิมมี 3-4 ช่องหลัก ปัจจุบันเป็น 20 กว่าช่อง จากเดิมเป็นสื่อแมสเข้าถึงกลุ่มคนจำนวนมาก
ปัจจุบันแต่ละช่องมีความเป็นนีช มีกลุ่มผู้ชมเฉพาะ คอนเท้นท์ต่างๆจึงเป็นเซกเม้นท์สำหรับผู้ชมมากขึ้น ซึ่งพบว่าช่อง3และช่อง7 จากเดิมเป็นสื่อหลักเช้าถึงผู้ชมกว่า 40% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ปัจจุบันยอดผู้ชมหายไปเฉลี่ย 20% และกลุ่มที่หายไปจะหันไปดูคอนเท้นท์จากช่องทีวีดิจิตอลเกิดใหม่ที่มีเรตติ้ง อย่าง ช่องเวิร์คพ้อยท์ทีวี, ช่องวัน ช่องโมโน29 รวมถึงช่องทางออนไลน์ โดยกลุ่มผู้ชมเหล่านี้มีความเป็นเซกเม้นท์มากขึ้นในการรับชมคอนเท้นท์ต่างๆ เช่น ละครช่อง3เป็นกลุ่มคนกรุงเทพฯ ส่วนละคนช่อง7 จะเป็นคนหัวเมืองใหญ่ ขณะที่ช่องเวิร์คพ้อยท์จะเป็นกลุ่มวัยรุ่นหรือคนรุ่นใหม่ เป็นต้น
“การเปลี่ยนแปลงของสื่อทีวีที่เกิดขึ้น ส่งผลให้ช่อง3และช่อง7 หยุดขึ้นราคาโฆษณา 3 ปีที่ผ่านมา โดยช่วงละครไพร์มไทม์ตรึงราคาอยู่ที่ 3.5-4 แสนบาท/นาที แม้ว่าจะขายได้หมดหรือไม่ก็ตาม ส่วนช่วงเวลาอื่นๆแม้จะไม่ได้ปรับราคาขึ้นแต่มีการทำโปรโมชั่นลดแลกตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่กลุ่มทีวีดิจิตอลที่มีเรตติ้งนั้น เฉลี่ยยังมีเรตโฆษณาต่ำกว่า 2 ช่องหลักนี้อยู่ราว 1-2 เท่าตัว หรือในบางรายการอยู่ในเรตราคาเดียวกัน เช่น เดอะมาร์คซิงเกอร์ ราคาโฆษณาอยู่ที่ประมาณ 3-3.5 แสนบาท/นาที จากเรตติ้งที่สูงมากยังส่งผลให้ซีซันสองปิดการขายโฆษณาเรียบร้อยแล้วในราคาใกล้เคียงกันอีกด้วย แต่รูปแบบโฆษณามีความหลากหลายเน้นสื่อออนไลน์มากขึ้น ขณะที่ภาพรวมทั้งช่องของเวิร์คพ้อยท์ทีวี ที่ขึ้นเป็นอันดับ3 ของทีวีรวม ทำให้ปีนี้เฉลี่ยมีการปรับโฆษณาขึ้นทั้งช่องประมาณ 10%”
จากความสำคัญของสื่อมีเดียกำลังเปลี่ยนไป สื่อออนไลน์เข้ามามีบทบาทสูงขึ้น จากปกติลูกค้าจะใช้งบโฆษณากับสื่อออนไลน์ราว 15% และ85% เป็นสื่อหลัก แต่ปีนี้สัดส่วนสื่อออนไลน์เพิ่มเป็น 30% มีแนวโน้มเพิ่มเป็น 50%ได้ใน3-5ปีข้างหน้า โดยมองว่าภาพยนตร์โฆษณาที่ลงในสื่อทีวีมีความสำคัญน้อยลง และจากเดิมต้องใช้งบลงทุนสูง ปัจจุบันสื่อออนไลน์สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีกว่า และเข้าถึงได้ถึงทุกโซเชียลมีเดีย อีกทั้งมีต้นทุนการผลิตต่ำ ทำให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากกว่า โดยพบว่า 3 สื่อออนไลน์ ที่ลูกค้าสนใจลงโฆษณามากสุด คือ เฟสบุค ยูทูป และไลน์ โดยเฉพาะในเฟสบุคนั้น บริการใหม่อย่าง “เฟสบุคไลฟ์” ถือเป็นโอกาสในปีนี้ ส่วนในกลุ่มแฟนเพจถือเป็นอีกกลุ่มที่ลูกค้านิยมลงโฆษณาสูง ซึ่งปัจจุบันพบว่า เพจ “อีเจี๊ยบเลียบด่วน” เป็นเพจที่มีราคาโฆษณาสูงสุดอยู่ที่ประมาณ 1 แสนบาท/โพสต์
cr. manageronline