สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 24
หลักธรรมที่สอนกันมา ไม่ว่าจะโดยพระภิกษุหรืออาจารย์หรือในหนังสือตำรา ควรเลือกมาปฏิบัติตามความเหมาะสมของแต่ละคน แตกต่างกันไป อย่างผู้ครองเรือนซึ่งไม่สามารถปฏิบัติให้ถึงขั้นดับทุกข์ ก็ปฏิบัติในหลักธรรมของผู้ครองเรือน ส่วนผู้ที่ปรารถนาจะพ้นทุกข์ ก็ปฏิบัติหลักธรรมที่นำไปสู่ความดับทุกข์ ซึ่งยากลำบากมาก ปัจจุบันชาวพุทธส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจถึงสถานะของตน ว่าสามารถปฏิบัติได้หรือไม่ พระสงฆ์บางส่วนแม้แต่หลักธรรมของผู้ครองเรือน ยังปฏิบัติได้ไม่ครบถ้วน
หลักปฏิบัติสำหรับผู้ครองเรือน
๑. อกุศลกรรมบถ 10
- การกระทำดีทางกาย 3 ประการ
1.เจตนาเว้นจากการทำลายชีวิต (ปาณาติปาตา เวรมณี)
2.เจตนาเว้นจากการยึดเอาสิ่งที่เขาไม่ได้ให้ (อทินนาทานา เวรมณี)
3.เจตนาเว้นจากการประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร เวรมณี)
- การกระทำดีทางวาจา 4 ประการ
1.เจตนาเว้นจากการพูดเท็จ (มุสาวาทา เวรมณี)
2.เจตนาเว้นจากการพูดส่อเสียด (ปิสุณวาจา เวรมณี)
3.เจตนาเว้นจากการพูดคำหยาบ (ผรุสวาจา เวรมณี)
4.เจตนาเว้นจากกาสพูดเพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปะ เวรมณี)
- การกระทำดีทางใจ 3 ประการ
1.เจตนาเว้นจากการคิดเพ่งเล็งอยากได้ของเขา (อนภิชฺฌา)
2.เจตนาเว้นจากการคิดร้ายต่อผู้อื่น (อพฺยาปาท)
3.เจตนาเว้นจากการคิดเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม (สัมมาทิฏฐิ)
๒. บุญกิริยาวัตถุ 10
1.การให้ทาน (ทานมัย)
2.การรักษาศีล (สีลมัย)
3.การภาวนา (ภาวนามัย)
4.การอ่อนน้อมต่อผู้อื่น (อปจายนมัย)
5.การขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่นในทางที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย)
6.การอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้อื่น (ปัตติทานมัย)
7.การอนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นทำ (ปัตตานุโมทนามัย)
8.การฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย)
9.การแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย)
10.การทำความเห็นให้ถูกต้อง (ทิฏฐุชุกัมม์)
หลักธรรมทั้งสองอย่างนี้ เป็นหลักธรรมสำหรับผู้ครองเรือน เป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุขระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่หนทางแห่งความดับทุกข์ ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร พระบางรูปบางวัดอาจเน้นสอนเฉพาะหลักธรรมลักษณะนี้ก็ได้ การทำบุญตามหลักพุทธศาสนา สำหรับผู้ครองเรือนที่นิยมมาก คือ บุญกิริยาวัตถุ 10 ส่วนใหญ่จะทำในข้อ 1 ทานมัย การให้ทาน เป็นการทำบุญเบื้องต้นในทางพุทธ บางท่านชอบพูดว่า การทำบุญไม่ใช่ต้องให้ทาน ทำวิธีอื่นอาจได้บุญมากกว่า ก็ถูก อีก 9 ข้อ สูงกว่าทั้งนั้น จะทำแบบไหน ก็ตามความสะดวก แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีเวลา หรือไม่สะดวก ในการบุญลักษณะอื่นที่สูงกว่า ง่ายๆ เลยทำข้อแรกเป็นหลัก ซึ่งการให้ทาน กุศลสูงสุดของหมวดทาน ที่จะได้รับ คือ กามวจรภูมิชั้นต้น
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์นี่แหละ เป็นการไปสู่สุขคติของพวกเทวดา"
ข้อปฏิบัติสำหรับ ผู้ไม่ต้องการเวียนว่ายในสังสารวัฏ คือต้องการดับทุกข์
๑. เจริญสมถกัมมัฏฐาน
กสิณ 10 , อสุภ 10 , อนุสสติ 10 , พรหมวิหาร 4 , อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 , จตุธาตุววัตถาน 1
๒. เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน การพิจารณาเห็นความจริงของสรรพสิ่งที่เป็น รู้เท่าทันโลกและสรรพสิ่ง ว่าล้วนตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์
- กฎไตรลักษณ์
อนิจจัง สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง เกิดขึ้นเพราะเหตุ ดับไปเพราะเหตุ
ทุกขัง สรรพสิ่งล้วนเป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ ต้องถูกบีบคั้นให้เปลี่ยนแปลงสภาพเดิมไป
อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน บังคับให้เป็นไปตามอำนาจไม่ได้
- การเจริญสติปัฏฐาน 4
1.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณากาย เพื่อให้มีสติรู้เท่าทันกาย
2.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเวทนา เพื่อให้มีสติรู้เท่าทันเวทนา
3.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาจิต เพื่อให้มีสติรู้เท่าทันจิต
4.ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาธรรมะ เพื่อให้มีสติรู้เท่าทันสภาวะธรรม
การเลือกสมถกรรมฐาน วิธีใดก็ได้ใน 40 วิธี ที่เหมาะกับตนเอง ปฏิบัติจนเกิดสมาธิแน่วแน่เป็นอารมณ์เดียว จนบรรลุฌาณสมาบัติ ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา พิจารณาสรรพสิ่งทั้งหลาย ล้วนตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ จนจิตเกิดปัญญารู้แจ้งในอริยสัจสี่ รู้ทุกข์ ละสมุทัย(เหตุแห่งทุกข์) ทำนิโรธ(ความดับทุกข์)ให้แจ้ง เจริญอริยมรรคมีองค์ 8 มุ่งสู่ทางดับทุกข์ ดับกิเลส ตัดสังสารวัฏ เข้าสู่บรมสุข
ภาวนา(สมถกัมมัฏฐาน,วิปัสสนากัมมัฏฐาน) หลักสูงสุดในการปฏิบัติ เป็นหนทางแห่งความดับทุกข์ เมื่อเข้าถึงก็คือปัญญา เข้าสู่โลกุตรภูมิ คือ ภูมิพ้นวัฏสงสาร จนถึงนิพพาน ความดับทุกข์
ทั้งหมดที่พิมพ์มา เป็นความรู้ที่ศึกษามา อาจไม่ตรงทั้งหมดตามพระไตรปิฎก ทุกท่านก็ใช้หลักกาลามสูตรวิเคราะห์ ว่าจริงหรือไม่ แล้วอาจนำไปปฏิบัติเพื่อความสุข ของตนเองและครอบครัว
หลักปฏิบัติสำหรับผู้ครองเรือน
๑. อกุศลกรรมบถ 10
- การกระทำดีทางกาย 3 ประการ
1.เจตนาเว้นจากการทำลายชีวิต (ปาณาติปาตา เวรมณี)
2.เจตนาเว้นจากการยึดเอาสิ่งที่เขาไม่ได้ให้ (อทินนาทานา เวรมณี)
3.เจตนาเว้นจากการประพฤติผิดในกาม (กาเมสุมิจฉาจาร เวรมณี)
- การกระทำดีทางวาจา 4 ประการ
1.เจตนาเว้นจากการพูดเท็จ (มุสาวาทา เวรมณี)
2.เจตนาเว้นจากการพูดส่อเสียด (ปิสุณวาจา เวรมณี)
3.เจตนาเว้นจากการพูดคำหยาบ (ผรุสวาจา เวรมณี)
4.เจตนาเว้นจากกาสพูดเพ้อเจ้อ (สัมผัปปลาปะ เวรมณี)
- การกระทำดีทางใจ 3 ประการ
1.เจตนาเว้นจากการคิดเพ่งเล็งอยากได้ของเขา (อนภิชฺฌา)
2.เจตนาเว้นจากการคิดร้ายต่อผู้อื่น (อพฺยาปาท)
3.เจตนาเว้นจากการคิดเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม (สัมมาทิฏฐิ)
๒. บุญกิริยาวัตถุ 10
1.การให้ทาน (ทานมัย)
2.การรักษาศีล (สีลมัย)
3.การภาวนา (ภาวนามัย)
4.การอ่อนน้อมต่อผู้อื่น (อปจายนมัย)
5.การขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่นในทางที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย)
6.การอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้อื่น (ปัตติทานมัย)
7.การอนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นทำ (ปัตตานุโมทนามัย)
8.การฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย)
9.การแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย)
10.การทำความเห็นให้ถูกต้อง (ทิฏฐุชุกัมม์)
หลักธรรมทั้งสองอย่างนี้ เป็นหลักธรรมสำหรับผู้ครองเรือน เป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุขระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่หนทางแห่งความดับทุกข์ ยังเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร พระบางรูปบางวัดอาจเน้นสอนเฉพาะหลักธรรมลักษณะนี้ก็ได้ การทำบุญตามหลักพุทธศาสนา สำหรับผู้ครองเรือนที่นิยมมาก คือ บุญกิริยาวัตถุ 10 ส่วนใหญ่จะทำในข้อ 1 ทานมัย การให้ทาน เป็นการทำบุญเบื้องต้นในทางพุทธ บางท่านชอบพูดว่า การทำบุญไม่ใช่ต้องให้ทาน ทำวิธีอื่นอาจได้บุญมากกว่า ก็ถูก อีก 9 ข้อ สูงกว่าทั้งนั้น จะทำแบบไหน ก็ตามความสะดวก แต่ส่วนใหญ่จะไม่มีเวลา หรือไม่สะดวก ในการบุญลักษณะอื่นที่สูงกว่า ง่ายๆ เลยทำข้อแรกเป็นหลัก ซึ่งการให้ทาน กุศลสูงสุดของหมวดทาน ที่จะได้รับ คือ กามวจรภูมิชั้นต้น
พระพุทธองค์ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ความเป็นมนุษย์นี่แหละ เป็นการไปสู่สุขคติของพวกเทวดา"
ข้อปฏิบัติสำหรับ ผู้ไม่ต้องการเวียนว่ายในสังสารวัฏ คือต้องการดับทุกข์
๑. เจริญสมถกัมมัฏฐาน
กสิณ 10 , อสุภ 10 , อนุสสติ 10 , พรหมวิหาร 4 , อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 , จตุธาตุววัตถาน 1
๒. เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐาน การพิจารณาเห็นความจริงของสรรพสิ่งที่เป็น รู้เท่าทันโลกและสรรพสิ่ง ว่าล้วนตกอยู่ภายใต้กฎไตรลักษณ์
- กฎไตรลักษณ์
อนิจจัง สรรพสิ่งล้วนไม่เที่ยง เกิดขึ้นเพราะเหตุ ดับไปเพราะเหตุ
ทุกขัง สรรพสิ่งล้วนเป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ ต้องถูกบีบคั้นให้เปลี่ยนแปลงสภาพเดิมไป
อนัตตา ไม่ใช่ตัวตน บังคับให้เป็นไปตามอำนาจไม่ได้
- การเจริญสติปัฏฐาน 4
1.กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณากาย เพื่อให้มีสติรู้เท่าทันกาย
2.เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาเวทนา เพื่อให้มีสติรู้เท่าทันเวทนา
3.จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาจิต เพื่อให้มีสติรู้เท่าทันจิต
4.ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน การพิจารณาธรรมะ เพื่อให้มีสติรู้เท่าทันสภาวะธรรม
การเลือกสมถกรรมฐาน วิธีใดก็ได้ใน 40 วิธี ที่เหมาะกับตนเอง ปฏิบัติจนเกิดสมาธิแน่วแน่เป็นอารมณ์เดียว จนบรรลุฌาณสมาบัติ ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา พิจารณาสรรพสิ่งทั้งหลาย ล้วนตกอยู่ในกฎไตรลักษณ์ จนจิตเกิดปัญญารู้แจ้งในอริยสัจสี่ รู้ทุกข์ ละสมุทัย(เหตุแห่งทุกข์) ทำนิโรธ(ความดับทุกข์)ให้แจ้ง เจริญอริยมรรคมีองค์ 8 มุ่งสู่ทางดับทุกข์ ดับกิเลส ตัดสังสารวัฏ เข้าสู่บรมสุข
ภาวนา(สมถกัมมัฏฐาน,วิปัสสนากัมมัฏฐาน) หลักสูงสุดในการปฏิบัติ เป็นหนทางแห่งความดับทุกข์ เมื่อเข้าถึงก็คือปัญญา เข้าสู่โลกุตรภูมิ คือ ภูมิพ้นวัฏสงสาร จนถึงนิพพาน ความดับทุกข์
ทั้งหมดที่พิมพ์มา เป็นความรู้ที่ศึกษามา อาจไม่ตรงทั้งหมดตามพระไตรปิฎก ทุกท่านก็ใช้หลักกาลามสูตรวิเคราะห์ ว่าจริงหรือไม่ แล้วอาจนำไปปฏิบัติเพื่อความสุข ของตนเองและครอบครัว
ความคิดเห็นที่ 13
ในอดีตเคยมีพระเถระชั้นผู้ใหญ่ถูกใส่ร้ายโดยพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่เหมือนกัน นั่นคือ
"พระพิมลธรรม"
พระพิมลธรรม ถูกใส่ร้ายทั้งข้อหา เสพเมถุน กับ ข้อหา คอมมูนิสต์
ต้องสู้คดีถึง 20 กว่าปี จึงพ้นมลทิน
เรื่องนี้สังฆราชที่เกี่ยวข้องในการปรักปรำ พระพิมลธรรม 2 องค์ สิ้นพระชนม์อย่างผิดธรรมชาติ
องค์หนึ่ง เส้นโลหิตในสมองแตก อีกองค์เกิดอุบัติเหตุรถชน
จอมพลสฤษดิ์ นายกขณะนั้นก็ป่วยตาย
แม้กระทั่ง จนท ที่กระชากจีวรให้สึก ภายหลังก็เกิดอุบัติเหตุมือขาด
ป.ล อยากให้ทุกฝ่ายมีสติ ทางแก้ที่เป็นสันติวิธียังมีอีกมาก ใช้ปัญญานำหน้า
ใช้เรื่องราวในอดีต มาเป็นบทเรียน และ วิธีแก้ปัญหา
cnck
"พระพิมลธรรม"
พระพิมลธรรม ถูกใส่ร้ายทั้งข้อหา เสพเมถุน กับ ข้อหา คอมมูนิสต์
ต้องสู้คดีถึง 20 กว่าปี จึงพ้นมลทิน
เรื่องนี้สังฆราชที่เกี่ยวข้องในการปรักปรำ พระพิมลธรรม 2 องค์ สิ้นพระชนม์อย่างผิดธรรมชาติ
องค์หนึ่ง เส้นโลหิตในสมองแตก อีกองค์เกิดอุบัติเหตุรถชน
จอมพลสฤษดิ์ นายกขณะนั้นก็ป่วยตาย
แม้กระทั่ง จนท ที่กระชากจีวรให้สึก ภายหลังก็เกิดอุบัติเหตุมือขาด
ป.ล อยากให้ทุกฝ่ายมีสติ ทางแก้ที่เป็นสันติวิธียังมีอีกมาก ใช้ปัญญานำหน้า
ใช้เรื่องราวในอดีต มาเป็นบทเรียน และ วิธีแก้ปัญหา
cnck
ความคิดเห็นที่ 36
หค 8.>>>>".....ระวังความปรารถนาดี จะกลายเป็นการเพิ่มกำลังแก่ภิกษุเช่นพระเทวทัต..."
ผมว่าแรงไปนิดนะครับ.....คนเขาไปทำบุญ แม้จะเป็นพระเณรในวัดและเจ้าอาวาสที่ตัวเองไม่ชอบ ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีก็ไม่ควรจะหมิ่นน้ำใจและศรัทธาคนอื่นว่ากำลังจะเป็นการเพิ่มกำลังแก่พระภิกษุเช่นพระเทวทัต.... ทำอุเบกขาเสีย ไม่อ่านให้จบเสียก็ได้
ในพระไตรปิฏกมีการระบุแน่ชัดว่าพระเทวทัตได้กระทำอนันตริยกรรม คือกลิ้งลูกหินจากผาหวังจะปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า แม้ไม่ถูกพระองค์แต่สะเก็ดหินทำให้พระบาทของพระองค์ห้อเลือด เป็นหลักฐานชัดเจนว่าทำอนันติรยกรรม นี่ยังไม่รวมถึงการจ้างนายธนูไปลอบยิงพระองค์ หรือปล่อยช้างนาฬาคีรีหวังไปทำร้ายพระองค์นะครับ การกระทำของพระเทวทัตพระพุทธองค์ทรงตรัสพยากรณ์โดยพระองค์เองว่าบาปปหนักและต้องตกนรกหลายอสงไขย
ส่วนธัมมี่....เขาปาราชิกจริงหรือไม่จริงยังไม่รู้ใครจะตัดสิน?? เรื่องพระลิขิตนั้นที่เอามาอ้างนั้น....สำหรับผมฟังไม่ขึ้นไม่ว่าจะลิขิตจริงหรือปลอม
อนึ่ง การทำบุญของจขกท. นั้นน่าอนุโมทนาสาธุมากกว่าที่จะมาจ้องส่อเสียดของการกระทำครับ ผมเข้าใจนะ...ว่าเกลียดธัมมี่ แต่ก็ควรจะแยกแยะบ้าง ซึ่งผมอยากจะลองเสนอวิธีแยกแยะให้พิจารณา ขอยกเอาเรื่องพระเทวทัตนี่ก็แล้วกัน และตั้งสมมุติฐานแบบเอาใจคห.8 สุดๆ ไปเลยว่า พระธัมมี่ต้องบาปหนักถึงขั้นขาดจากความเป็นพระ เอาเป็นว่าบาปหนักเท่าพระเทวทัตก็แล้วกัน อยากถามให้คิดว่า การไปทำบุญกับลูกศิษย์พระธัมมี่เป็นเรื่องเสียหายไหม? ได้บาปหรือบุญ?
ที่ต้องถามเช่นนี้ก็เพราะว่า ลูกศิษย์ของพระเทวทัตก็มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นพระก็จำนวนห้าร้อยรูปขึ้น รวมถึงพระเจ้าอาชาตศรัตรูด้วย ตอนพระเทวทัตนำพระภิกษุจำนวนห้าร้อยรูปออกจากสำนักของพระพุทธเจ้า(เหมือนไปตั้งลัทธิใหม่) ก็ยังมีญาติโยมใส่บาตรพระเหล่านั้นอยู่ แม้พระเทวทัตมาสำนึกได้ในภายหลัง แล้วนำพระจำนวนห้าร้อยรูปกลับมาสำนักของพระพุทธเจ้า(ตัวพระเทวทัตเองถูกหามแคร่กลับมา) พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตำหนิ ไม่ได้กล่าวอาบัติของพระลูกศิษย์เทวทัตเลยนะครับ เช่นกันถึงแม้ธัมมี่จะบาปหนักเท่าพระเทวทัต(ตามที่ผมสมมุติเพื่อเอาใจคห.8) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไปทำบุญกับลูกศิษย์ธัมมี่จะไม่ได้บุญไม่ได้อานิสงส์อะไรนี่ครับ.....หรือท่านคห.8 เห็นต่าง?
ผมว่าแรงไปนิดนะครับ.....คนเขาไปทำบุญ แม้จะเป็นพระเณรในวัดและเจ้าอาวาสที่ตัวเองไม่ชอบ ถ้าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีก็ไม่ควรจะหมิ่นน้ำใจและศรัทธาคนอื่นว่ากำลังจะเป็นการเพิ่มกำลังแก่พระภิกษุเช่นพระเทวทัต.... ทำอุเบกขาเสีย ไม่อ่านให้จบเสียก็ได้
ในพระไตรปิฏกมีการระบุแน่ชัดว่าพระเทวทัตได้กระทำอนันตริยกรรม คือกลิ้งลูกหินจากผาหวังจะปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า แม้ไม่ถูกพระองค์แต่สะเก็ดหินทำให้พระบาทของพระองค์ห้อเลือด เป็นหลักฐานชัดเจนว่าทำอนันติรยกรรม นี่ยังไม่รวมถึงการจ้างนายธนูไปลอบยิงพระองค์ หรือปล่อยช้างนาฬาคีรีหวังไปทำร้ายพระองค์นะครับ การกระทำของพระเทวทัตพระพุทธองค์ทรงตรัสพยากรณ์โดยพระองค์เองว่าบาปปหนักและต้องตกนรกหลายอสงไขย
ส่วนธัมมี่....เขาปาราชิกจริงหรือไม่จริงยังไม่รู้ใครจะตัดสิน?? เรื่องพระลิขิตนั้นที่เอามาอ้างนั้น....สำหรับผมฟังไม่ขึ้นไม่ว่าจะลิขิตจริงหรือปลอม
อนึ่ง การทำบุญของจขกท. นั้นน่าอนุโมทนาสาธุมากกว่าที่จะมาจ้องส่อเสียดของการกระทำครับ ผมเข้าใจนะ...ว่าเกลียดธัมมี่ แต่ก็ควรจะแยกแยะบ้าง ซึ่งผมอยากจะลองเสนอวิธีแยกแยะให้พิจารณา ขอยกเอาเรื่องพระเทวทัตนี่ก็แล้วกัน และตั้งสมมุติฐานแบบเอาใจคห.8 สุดๆ ไปเลยว่า พระธัมมี่ต้องบาปหนักถึงขั้นขาดจากความเป็นพระ เอาเป็นว่าบาปหนักเท่าพระเทวทัตก็แล้วกัน อยากถามให้คิดว่า การไปทำบุญกับลูกศิษย์พระธัมมี่เป็นเรื่องเสียหายไหม? ได้บาปหรือบุญ?
ที่ต้องถามเช่นนี้ก็เพราะว่า ลูกศิษย์ของพระเทวทัตก็มีจำนวนไม่น้อยที่เป็นพระก็จำนวนห้าร้อยรูปขึ้น รวมถึงพระเจ้าอาชาตศรัตรูด้วย ตอนพระเทวทัตนำพระภิกษุจำนวนห้าร้อยรูปออกจากสำนักของพระพุทธเจ้า(เหมือนไปตั้งลัทธิใหม่) ก็ยังมีญาติโยมใส่บาตรพระเหล่านั้นอยู่ แม้พระเทวทัตมาสำนึกได้ในภายหลัง แล้วนำพระจำนวนห้าร้อยรูปกลับมาสำนักของพระพุทธเจ้า(ตัวพระเทวทัตเองถูกหามแคร่กลับมา) พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตำหนิ ไม่ได้กล่าวอาบัติของพระลูกศิษย์เทวทัตเลยนะครับ เช่นกันถึงแม้ธัมมี่จะบาปหนักเท่าพระเทวทัต(ตามที่ผมสมมุติเพื่อเอาใจคห.8) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไปทำบุญกับลูกศิษย์ธัมมี่จะไม่ได้บุญไม่ได้อานิสงส์อะไรนี่ครับ.....หรือท่านคห.8 เห็นต่าง?
ความคิดเห็นที่ 2
อนุโมทนาบุญด้วย ไม่ว่าใครจะศรัทธาหรือไม่ศรัทธา อย่างน้อยๆเมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วย แค่ในฐานะเพื่อนร่วมโลกก็เพียงพอแล้วสำหรับการที่คิดจะช่วยเหลือกัน ทำบุญกับหมากับแมว ปล่อยนกปล่อยปลาปล่อยเต่ายังทำกันได้ อย่าให้สรรพสัตว์เหล่านั้นมองว่ามนุษย์กัดกินพวกเดียวกันเอง เห็นใจทั้ง จนท เห็นใจทั้งพระและญาติโยม อยากให้ทุกฝ่ายถอยกันคนละก้าวแล้วออกมาทบทวนหาข้อสรุป หาทางออกกันใหม่ที่ดีกว่ามานั่งประชันหน้าวัดความอึดกันอยู่แบบนี้ สงสารชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องๆนี้ด้วย ตั้งสติกันนะครับทุกๆฝ่าย
ความคิดเห็นที่ 16
ขอโทษนะคะ คุณ คห.15
ถอดสมณศักดิ์ก็ส่วนคำสั่งค่ะ แต่คงไม่ใช่ว่าพระทั้งวัดจะต้องปราชิก และห้ามไม่ให้ใครไปทำบุญ จงคิดรู้จักแยกแยะให้ออกค่ะไม่ใช่ใช้อคติเป็นที่ตั้งเกทารวมไปเสียทุกเรื่อง หากเห็นพระไม่ใช่พระก็เพียงแค่มองเป็นเพื่อนมนุษย์ก็ได้ค่ะ เมื่อยามเจ็บป่วย เมื่อยามลำบากหากผู้คนจะช่วยเหลือกันผ่านการทำบุญก็อย่าได้มาติเตียนกันค่ะ ไม่เช่นนั้นคุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่คุณกำลังติเตียนอยู่และขอให้ระวังว่าสักวันหนึ่งคุณจะต้องลำบากเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาบ้างค่ะ
ถอดสมณศักดิ์ก็ส่วนคำสั่งค่ะ แต่คงไม่ใช่ว่าพระทั้งวัดจะต้องปราชิก และห้ามไม่ให้ใครไปทำบุญ จงคิดรู้จักแยกแยะให้ออกค่ะไม่ใช่ใช้อคติเป็นที่ตั้งเกทารวมไปเสียทุกเรื่อง หากเห็นพระไม่ใช่พระก็เพียงแค่มองเป็นเพื่อนมนุษย์ก็ได้ค่ะ เมื่อยามเจ็บป่วย เมื่อยามลำบากหากผู้คนจะช่วยเหลือกันผ่านการทำบุญก็อย่าได้มาติเตียนกันค่ะ ไม่เช่นนั้นคุณเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนที่คุณกำลังติเตียนอยู่และขอให้ระวังว่าสักวันหนึ่งคุณจะต้องลำบากเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาบ้างค่ะ
แสดงความคิดเห็น
** ครั้งหนึ่งในชีวิตกับความรู้สึกนี้: ไปทำบุญวัดพระธรรมกายมา ขอเป็นกำลังใจให้พระ เณร สาธุชน และเจ้าหน้าที่ ** (ชุนเทียน)
คิดหนักอีกแล้ว จะตั้งกระทู้นี้ดีไหม ตั้งใจว่าเขียนกระทู้เสร็จก็จะอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนกดส่งกระทู้ ไม่ได้กลัวกระทู้ปลิว เพราะมันคงเป็นเรื่องปกติในภาวะไม่ปกติแบบนี้ไปเสียแล้วกับการถูกลบเมื่อพูดความจริง
แต่อยากจะขอให้กระทู้นี้คงอยู่ เพราะไม่มีเจตนาอะไรนอกเหนือจากการเล่าประสบการณ์ ความรู้สึกที่พบเจอมากับตัว และอยากขอให้หลายฝ่ายทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ แยกแยะ จะได้ไม่เกิดเรื่องที่สร้างบาดแผลในใจพุทธศาสนิกชนในวันหน้า อีกทั้งจุดมุ่งหมายสำคัญสุดของกระทู้คือ เชิญผู้มีจิตศรัทธาอนุโมทนาสาธุกับที่ได้ไปทำบุญมา และขอเป็นกำลังใจให้กับพระ เณร ทุกรูป สาธุชน และเจ้าหน้าที่ทุกท่าน
จะเล่าเรื่องไปทำบุญวัดพระธรรมกายมาค่ะ ปกติก็จะทำบุญทุกวัดตามโอกาส ไม่เจาะจง แต่ครั้งนี้ได้ประสบการณ์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน
เมื่อวานนี้ (7 มี.ค.) อยู่ๆ ก็นึกถึงพี่คนหนึ่งที่รู้จักไม่ได้คุยกันหลายปี จึงโทรไปถามไถ่ข่าวคราว เมื่อได้คุยกันแล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่า อยากจะไปให้กำลังใจ ไปร่วมทำบุญ ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง อยากเห็นบรรยากาศจริงๆ ไม่ใช่แค่อ่านหรือดูภาพจากคนอื่น เลยตัดสินใจเดินทางไปวัดพระธรรมกาย
สิ่งที่เตรียมไปก็แค่เล็กๆ น้อยๆ ตามกำลัง เพราะการทำบุญนั้นสำคัญคือสิ่งนั้นได้มาโดยบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ และความศรัทธา ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ
แค่มาม่า 2 ห่อ ยาแก้ไข้ ยาแก้ไอ และช็อกโกแลต แล้วตั้งใจว่าจะแวะซื้อพวกเครื่องดื่มสำเร็จรูปผงๆ ที่ชงเพิ่มเติม กะจะฝากพี่เขาตักบาตรให้ในวันถัดๆ ไป เพราะเราเองคงไม่มีโอกาสได้ไปตักบาตรด้วยตัวเอง
ออกจากบ้าน 5 โมงเย็นกว่าๆ รถติดมากๆ ก็ค่อยๆ ไป เอ่อ จำทางไม่ได้ เพราะเคยไปไม่กี่ครั้งและครั้งสุดท้ายไปมานานมากแล้ว ก็โทรถามเส้นทางเอา พี่เขาแนะนำว่าให้จอดรถไว้ใกล้ๆ แล้วนั่งมอเตอร์ไซด์ไปจะสะดวกกว่า บอกว่าไป "ตลาดคลองแอน"
เราก็จอดรถไว้โลตัสก่อนถึงวัด ไปถึงก็มืดแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เข้าไปซื้อของเพิ่มเล็กน้อย กาแฟนั่นมีพี่อีกท่านฝากร่วมบุญมา สาธุค่ะ
เราก็หิ้วของ ไปหามอเตอร์ไซด์รับจ้าง แต่ไม่มี ก็เดินไปเรื่อยๆ ไกลทีเดียว กว่าจะเรียกแท๊กซี่ได้ แท๊กซี่ก็ไปไม่ค่อยถูก ผู้โดยสารก็ไปไม่ถูก เจริญละ ก็ค่อยๆ ขับเลยวัดมาหน่อย เจอเต๊นท์ตำรวจ ก็เลยลง เจ้าหน้าที่นั่งกับเพียบ เป็นแถวๆ หลายสิบคน
เราก็เลยเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่ว่า "ขอเข้าไปแป๊บนึงค่ะ จะเอาของไปให้พี่" เจ้าหน้าที่ก็ตอบอย่างใจดีว่า "เข้าไม่ได้ วัดตอนนี้ห้ามเข้า" ไม่ว่าจะอ้อนวอนยังไง เจ้าหน้าที่ก็รักษากฎดีมาก และบอกว่า ต้องไปเข้าที่ประตู 7
จขกท.ก็ถามว่า "แล้วประตู 7 อยู่ไหนคะ ไปไม่เป็น" เจ้าหน้าที่ใจดีหันไปถามไถ่เพื่อนๆ ก็ไม่มีใครรู้จัก เจ้าหน้าที่บอกให้ จขกท. โทรให้คนออกมารับของ จขกท. ก็บอกว่า "โทรไม่ติดค่ะ ก็ตัดสัญญาณโทรศัพท์" แล้วก็ขอบคุณเจ้าหน้าที่ พร้อมทั้งเดินออกมา น้ำตาเริ่มซึม ไม่ใช่อะไร กลัวจะมาเสียเที่ยว เดี๋ยวไม่ได้ฝากของทำบุญ
จขกท. เดินถามร้านค้าแถวนั้น ก็เลยได้ความว่า อ๋อ ตลาดคลองแอนที่ชาวบ้านเขานั่งสวดมนต์กันน่ะ อยู่อีกฝั่ง ต้องข้ามถนนไป โห ดีใจมากๆ รีบขอบคุณและข้ามถนนไปทันที นี่เป็นความโง่ของเราเองล้วนๆ ไม่โทษใคร ไปผิดฝั่งเอง
ข้ามถนนเสร็จ จะเข้าไปเต๊นท์สาธุชนที่กำลังสวดมนต์กันอยู่ ก็ต้องให้พี่ทหารตรวจกระเป๋าก่อน
เราเข้าไปเขาก็สวดมนต์ นั่งสมาธิกัน เสร็จแล้วเราก็ฝากของให้พี่สาวท่านนั้นช่วยใส่บาตรให้ พร้อมเงินทำบุญ 1000 บาทแล้วแต่จะไปใช้กับบุญใดก็ได้ นั่งคุยกันสักพัก ญาติโยมก็เริ่มกางมุ้ง ทากันยุง ปูเสื่อ เตรียมนอน จขกท.กางมุ้งไม่เป็น ก็ช่วยประกอบพัดลมแทนแล้วกัน ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร แต่ตั้งใจช่วย
แล้วก็กลับ ตอนเดินออก จขกท.ยังหันไปยิ้มหวานให้ทหารที่ยืนเฝ้าแล้วบอกว่า "กลับแล้วค่ะ" เขาคงงงๆ เราคิดเพียงว่า เจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็คงเหนื่อยกายเหนื่อยใจเช่นกัน คงไม่มีใครอยากทำหน้าที่นี้ ที่ต้องควบคุมทำให้การทำบุญของสาธุชนเป็นไปด้วยความลำบาก
ขากลับ เรียกรถยากอีก กว่าจะไปถึงโลตัสที่จอดรถไว้ ไฟที่จอดรถก็ดับพรึ่บ เพราะดึกแล้ว ห้างปิด จขกท. ก็รีบวิ่งขึ้นรถ ขับตัวปลิวกลับบ้าน
น้ำตาซึม ในใจคิดว่า นี่เราเพียงแค่อยากมาทำบุญตามประสาชาวพุทธ ณ วัดใจกลางเมือง ต้องลำบากเพียงนี้เชียวหรือ อารมณ์เหมือนกำลังไปทำบุญอยู่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นึกเห็นใจทั้งพระและฆราวาสที่นั่นมากๆ
เช้าวันนี้ 8 มี.ค. ได้ทราบว่า จากแต่เดิม ประกาศ ม.44 เฉพาะที่วัด แต่มาวันนี้ มีการประกาศ ม.44 บริเวณเต๊นท์ที่ญาติโยมสวดมนต์ ปฏิบัติธรรมกันแล้ว
วันก่อนนั้น ญาติโยมได้ล้อมพระไว้จากเจ้าหน้าที่ พร้อมเปล่งเสียงอาราธนาขอให้ปล่อยพวกท่านเป็นเนื้อนาบุญต่อไปเถิด
วันนี้ พระล้อมญาติโยมไว้จากเจ้าหน้าที่ DSI ที่กระชับพื้นที่
ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่าน ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ไม่ให้มีความรุนแรงเกิดขึ้น
นี่คือเต๊นท์ญาติโยม ผ้าใบสีม่วงเขียนว่า "พวกเราไม่สู้ ไม่หนี ทำดีกันเรื่อยไป อภัยให้ทุกความเข้าใจผิด ไม่คิดจองเวร"
วันนี้มีพระป่วยกันหลายรูป พรุ่งนี้ญาติโยมจะตักบาตรผลไม้สด พี่สาวที่น่ารักจึงได้นำปัจจัยที่ จขกท. ฝากทำบุญ ไปซื้อชมพู่ (ฝากเงินไว้ 1000 บาท ซื้อชมพู่ 1008 บาท) เพื่อเตรียมใส่บาตรวันพรุ่งนี้
จขกท. อยากเชิญชวนเพื่อนผู้มีจิตศรัทธา ร่วมอนุโมทนาสาธุบุญร่วมกัน ขอให้อานิสงส์ผลบุญที่ได้ทำมาคุ้มครองให้ทุกคนและครอบครัว สุขภาพแข็งแรง อายุขัยยืนยาว มีโอกาสได้ทำบุญสร้างบารมีเพื่อให้เข้าถึงธรรมโดยง่าย แคล้วคลาดปลอดภัย มีแต่ความสุขสดชื่นตลอดไปค่ะ ขอให้ปัญหาต่างๆ คลี่คลายไปด้วยดี พระพุทธศาสนาคงอยู่ยั่งยืนสืบไป