หรือนี่จะเป็น LAST EXIT ทางออกสุดท้าย ของ..ธัมมชโย และลัทธิธรรมกาย



ถ้าเป็นเครื่องบินที่กำลังลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า และมีอาการเหมือน "ท่านธัมมชโย" ในวันนี้ ก็เห็นทีต้องบอกว่า "สภาพอากาศเลวร้าย ทัศนวิสัยไม่เคลียร์ เครื่องยนต์ไม่ทำงาน และปีกหลุด" วัดจากสถานการณ์ล่าสุดที่คลองสาม นับตั้งแต่ รัฐบาล ออก ม.44 เมื่อกลางดึกวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา เหมือนตั้งกองกฐิน หลังจากนั้นก็มี "ผ้าป่าสมทบ" ตามมาติดๆ ทั้งปิดวัด แจ้งข้อหาเพิ่ม สั่งให้พระรองเจ้าอาวาส-ผู้ช่วยเจ้าอาวาส-โฆษกวัด และศิษย์คนสำคัญ "รายงานตัว" ต่อเจ้าหน้าที่ 1-2-3-4-5- ฯลฯ ใครไม่มาก็ออก "หมายจับ" จนต้องหลบลี้หนีหน้าไปทีละคนสองคน สำหรับท่านธัมมชโยก็โดนหมายจับเพิ่มเข้าไปอีกถึง 7 คดีด้วยกัน รวมกับของเก่าเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ รู้แต่ว่า "หนักขึ้นเรื่อยๆ" เมื่อวาน พระมหาเสถียร วัดพระธรรมกาย อุบลราชธานี ก็เหยียบกับดัก โดนยึดบัญชีเงินสดกลางตลาดคลองหลวงถึง 13 ล้าน ตกวันนี้ มีพระบรมราชโองการ "ถอดสมณศักดิ์" พระเทพญาณมหามุนี (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) ออก เหลือฐานะเพียง "พระธัมมชโย" เท่านั้น


พระมหาเสถียร วัดพระธรรมกาย อุบลราชธานี  พระเศรษฐี 13 ล้าน



ก่อนหน้านั้น พระธัมมชโย ทำที "ลาพัก" จากตำแหน่งเจ้าอาวาส โดยยกตัวเองสูงขึ้นเป็นถึง "เจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์" แล้วก็ตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสมากมายหลายรูป "หมุนเวียนกัน" เข้ามาเล่นเก้าอี้ดนตรี เพื่อหลอกตาเจ้าหน้าที่รัฐ นับตั้งแต่ เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย นครซิดนีย์ ออสเตรเลีย จนกระทั่ง เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ถูกเรียกตัวเข้ามารับหน้าเสื่อช่วยเหลือหลวงพ่อหมด



แต่วันนี้ เมื่อพระธัมมชโย ถูกพระบรมราชโองการ "ถอดสมณศักดิ์" ก็เท่ากับว่า "หมดเนื้อหมดตัว" แล้ว ทั้งยศถาบรรดาศักดิ์ ตำแหน่งแห่งหน เหลือสิ่งสุดท้ายก็คือ "ศรัทธา" ในใจชาวธรรมกาย ซึ่งยังคงเชื่อมั่นไม่เสื่อมคลาย




ถามว่า ต่อจากนี้ไป พระธัมมชโย จะอยู่อย่างไร ?

คำตอบที่คำนวนได้ก็คือ อยู่ไม่ได้ เพราะรัฐบาล คสช. ไม่ยอมให้มี "รัฐอิสระ" ในเขตประเทศไทย และไม่ยอมซูเอี๋ย ไม่งั้นคงไม่สั่งถอดยศพระธัมมชโยหรอก บอกได้คำเดียวว่า นี่คือสัญญาณสุดท้ายแล้ว ถ้าเป็นเครื่องบินที่ตรวจพบว่า เครื่องยนต์ไม่ทำงาน และปีกหลุด กัปตันที่ฉลาด มีสติ และมีความรับผิดชอบต่อผู้โดยสาร และทรัพย์สิน (รวมทั้งตัวเครื่องบิน) ก็ต้องรีบหาทาง ประคองเครื่อง เพื่อลงจอดฉุกเฉิน ณ สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ถึงมิใช่สนามบินก็ตาม



ดังนั้น จึงเชื่อว่า พระธัมมชโย พร้อมด้วยบริวาร ต้องเตรียมการ "ถอย" ออกไปตั้งหลักในต่างประเทศ ซึ่งมีวัดสาขาอยู่มากมายทุกมุมโลก สามารถเป็นที่รองรับได้สบาย และต้องรีบทำ ซึ่งเชื่อด้วยว่า ถ้าพระธัมมชโย เจรจา "ขอออกนอกประเทศ" ทางรัฐบาล คสช. ก็คงยินยอม "เปิดทาง" เพราะไม่อยากเสียเลือดเสียเนื้อคนไทยซึ่งเป็นชาวพุทธด้วยกัน การลี้ภัยในต่างประเทศนั้น จะทำให้พระธัมมชโย สามารถอยู่ได้อย่างสง่างาม เพราะ


1. นานาชาติยอมรับความแตกต่างทางด้านลัทธิศาสนา ถ้าไม่ไปยุ่งการเมืองในบ้านเขา ดังนั้น จะสอนว่า "พระนิพพานเป็นอัตตา" ก็ไม่มีใครว่าแล้ว เพราะแยกลัทธินิกายไปแล้ว หรือจะสอนว่า สตีฟ จ็อปส์ ไปเกิดเป็นอะไร ก็ไม่มีใครว่าอุตริ เพราะเป็นลัทธินิกายใหม่แล้ว ถ้าเชื่อและจะอุปถัมภ์ก็ทำไป ไม่มีใครเดือดร้อนด้วย

2. กรณีการดึง "องค์กรนานาชาติ รวมทั้งนักสิทธิมนุษยชน" มาช่วยนั้น จะช่วยได้ก็ในการไปต่างประเทศนี่แหละ แต่ถ้าเป็นในประเทศ ต่อให้โวยวายหนวกหูอย่างไรก็ไม่มีทาง ดูแต่ที่ประเทศพม่า ถามว่าช่วยได้ไหม กรณีธรรมกายก็เช่นกัน ถึงนักสิทธิมนุษยชนจะจ้องตาเป็นมัน แต่ก็คงได้แค่..แลดู ไม่มีอำนาจอะไรเข้าไปช่วยเหลือ เผลอๆ นะ ถ้าตาย ก็อาจจะแค่ "ฟ้องโลก" เท่านั้น ดังนั้น การลี้ภัยไปต่างประเทศ จึงเป็นการ "เข้าสู่อ้อมอก" ของนานาชาติอย่างแท้จริง

3. วัดพระธรรมกาย "เลือก" ที่จะไม่มอบตัวหลวงพ่อธัมมชโยและพระผู้ใหญ่ในวัดให้แก่ทางการ แถมยังตั้งค่ายคูประตูรบ พร้อมสำหรับแตกหัก ประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่า "ขอตายในวัด" บ้าง "ขอตายหน้าวัด" บ้าง เป็นการ "ปิดทางออก" สำหรับตัวเอง ถ้าจะอยู่ก็มีทางเดียว คือ สู้จนชนะ หรือไม่ก็แพ้ แต่ถามว่า มีทางชนะไหม ? ถ้าไม่ชนะ ก็แสดงว่า ชาวธรรมกาย "เลือก" ที่จะย้ายออกไปตั้งถิ่นฐานใหม่ให้แก่นิกายของตัวเอง แม้จะมิได้มีนิตินัย แต่ทางพฤตินัยมันเป็นไปแล้วจริงๆ

4. ไม่สูญเสียศรัทธาที่อยู่ในใจชาววัดพระธรรมกาย ซ้ำอาจจะเพิ่มมากขึ้น เพราะสงสารหลวงพ่อ ต่อให้หลวงพ่อไปอยู่แห่งไหนในโลก พวกเขาก็จะตามไปไม่ทอดทิ้ง ไปแบบนี้ยิ่งใหญ่กว่าอาจารย์ยันตระเห็นๆ แบบว่าไปถึงก็เปิดตัวประกาศนิกายใหม่ได้เลย ไม่ต้องเคอะเขิน

5. ยอมเสียศูนย์ใหญ่ไป แต่ได้ศูนย์ต่างประเทศไว้ "ทั่วโลก" เพราะใครๆ ก็รู้ว่า บรรดาศูนย์วัดพระธรรมกายทั่วโลกนั้น "ขึ้นตรง" ต่อพระธัมมชโย มิได้ขึ้นตรงต่อมหาเถรสมาคม เมื่อพระธัมมชโยออก พวกเขาก็ยินยอมพร้อมใจและสมัครใจออก ซึ่งข้อนี้ เป็นไปตามหลักของท่านประธาน "เหมา เจ๋อ ตุง" ที่วางไว้ว่า "เสียที่เหลือคน คน-ที่ ล้วนอยู่ เสียคนเหลือที่ เสียทั้งที่ เสียทั้งคน" คนระดับธัมมชโย ซึ่งว่ากันว่าอัจฉริยะมากที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทยในรอบ 200 ปี คงไม่ยอม "เสียทั้งที่ เสียทั้งคน" นอกจากคน "เสียจริต" คือ บ้า !

6. ปิดทางแห่งความแตกหักและสูญเสียหนัก ทั้งชีวิตและทรัพย์สินของพระภิกษุสามเณรและญาติธรรม เพราะสุดท้ายแล้ว รัฐบาลก็ต้องยึดวัดพระธรรมกายอยู่วันยังค่ำ ไม่มีทางปล่อยให้เป็นรัฐอิสระ ขืนดันทุรังอยู่ก็ต้องสู้กันสถานเดียว แต่ถามว่า คุ้มหรือไม่ที่จะเดินหน้าต่อหลังจากนี้ (หลังจากมีพระบรมราชโองการถอดยศผู้นำสูงสุด)

7. ถ้ายอมถอนตัวออกนอกประเทศไทยตั้งศูนย์ธรรมกายใหม่ในต่างประเทศ ก็แสดงว่า "ชาวธรรมกายยังคงมีสติปัญญา" สามารถประคองตัวเอาไว้ได้ ไม่ศรัทธาบ้าบิ่นเหมือนดังที่สังคมสงสัยเรื่อยมา ถือได้ว่าเป็นการปรับดุลไม่ให้เสียการทรงตัวไปมากกว่านี้

8. เชื่อว่า ชาวธรรมกายทุกท่านทุกคน ทั้งพระเณรและญาติธรรม ไม่มีใครอยากเห็นพระธัมมชโยต้องถูกจับสึกและติดคุก ซึ่งเป็นสภาพที่อเน็จอนาจทนดูและทำใจไม่ได้แน่ และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจะหาทางออกอย่างไรที่ไม่ต้องเสียน้ำตาและฆ่าตัวตาย ศิษยานุศิษย์ในท่านธัมมชโยนั้นมีอยู่มากมาย ทั้งที่ฐานะดี มียศตำแหน่ง ทั้งในและต่างประเทศ สามารถจะช่วยเหลือหลวงพ่อได้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนในโลก แต่สภาพวัดพระธรรมกายภายใต้ ม.44 ที่เห็นตรงหน้านี้ ไม่มีทางช่วยได้เลย มีแต่รอวันตายเพียงประการเดียวเท่านั้น ดังนั้น ถ้าให้ทุกคนลงความเห็น ก็คงไม่มีใครอยากให้หลวงพ่ออยู่ที่เดิมอีกต่อไป เพราะถามใครๆ ก็บอกว่า "หลวงพ่ออยู่ในใจพวกเราเสมอ" แต่ที่ลำบากกันทุกวันนี้ ก็เพราะมิใช่หลวงพ่ออยู่ในใจเท่านั้น แต่เพราะท่านอยู่ในวัดด้วย

และนี่คือ "หัวใจ" ของวิกฤติการณ์ตรงหน้า ไม่มีเวลาแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ "ห้าเสือ" ต้องตัดสินใจ สละเรือใหญ่ ลงเรือเล็ก ดังนั้น จึงเชื่อว่า การขอลี้ภัยในต่างประเทศ จะเป็นคำตอบสุดท้าย ของท่านธัมมชโยและธรรมกาย

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่