คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
คุณนิด...
ทางอีสานก็มี "หมอลำขอข้าว" นะครับ มีทั้งเดี่ยวและคณะ ที่เป็นคณะ ก็จะทำการแสดงลำเรื่องต่อกลอนจนสว่าง รุ่งเช้าคณะหมอลำทั้งนางเอกพระเอก ฯลฯ จะสะพายถุงกระสอบตระเวณไปขอข้าวสาร ข้าวเปลือก อะไรก็ได้ เป็นการต่อสู้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ เวทีการแสดงก็จะเป็นที่วัด อาศัยนอนวัด กินข้าวก้นบาตรจากพระเอา บางคนก็แต่งรถเข็นติดลำโพงร้องเพลงหมอลำตระเวณไปตามซอกซอยในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็จะนำข้าวสารขันสองขันมาช่วยเหลือกันเป็นสินน้ำใจตอบแทน
ผมยอมใจคนอีสานก็ตรงนี้ล่ะครับ เศรษฐกิจตกต่ำจะเดือดร้อนตกยากขนาดไหน...เรื่องจะไปแบมือขอรัฐบาลช่วยนั้นเป็นไม่มี ในฐานะคนอีสานก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันนะที่ถูกเขามองว่าคนอีสานเห็นแก่เงินที่เขาให้มาร้อยสองร้อยเพื่อซื้อเสียง (เข้าการเมืองเฉยเลย) ในช่วงที่เศรษกิจถึงยุคข้าวยากหมากแพงในรัฐบาลของจอมพลป. จอมพลป. ออกปราศัยเรื่องการประหยัดและให้ช่วยเหลือตัวเอง โดยยกคนอีสานให้เป็นตัวอย่างว่าแม้เศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่จะกระทบคนอีสานไม่มากเท่าภาคอื่นๆ เพราะคนอีสานรู้จักปรับตัว เรื่องข้าวปลาอาหารก็ไม่ลำบาก เสื้อผ้าอาภรณ์ก็สานก็ทอจากธรรมชาติมาใช้
ทางอีสานก็มี "หมอลำขอข้าว" นะครับ มีทั้งเดี่ยวและคณะ ที่เป็นคณะ ก็จะทำการแสดงลำเรื่องต่อกลอนจนสว่าง รุ่งเช้าคณะหมอลำทั้งนางเอกพระเอก ฯลฯ จะสะพายถุงกระสอบตระเวณไปขอข้าวสาร ข้าวเปลือก อะไรก็ได้ เป็นการต่อสู้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ เวทีการแสดงก็จะเป็นที่วัด อาศัยนอนวัด กินข้าวก้นบาตรจากพระเอา บางคนก็แต่งรถเข็นติดลำโพงร้องเพลงหมอลำตระเวณไปตามซอกซอยในหมู่บ้าน ชาวบ้านก็จะนำข้าวสารขันสองขันมาช่วยเหลือกันเป็นสินน้ำใจตอบแทน
ผมยอมใจคนอีสานก็ตรงนี้ล่ะครับ เศรษฐกิจตกต่ำจะเดือดร้อนตกยากขนาดไหน...เรื่องจะไปแบมือขอรัฐบาลช่วยนั้นเป็นไม่มี ในฐานะคนอีสานก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันนะที่ถูกเขามองว่าคนอีสานเห็นแก่เงินที่เขาให้มาร้อยสองร้อยเพื่อซื้อเสียง (เข้าการเมืองเฉยเลย) ในช่วงที่เศรษกิจถึงยุคข้าวยากหมากแพงในรัฐบาลของจอมพลป. จอมพลป. ออกปราศัยเรื่องการประหยัดและให้ช่วยเหลือตัวเอง โดยยกคนอีสานให้เป็นตัวอย่างว่าแม้เศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่จะกระทบคนอีสานไม่มากเท่าภาคอื่นๆ เพราะคนอีสานรู้จักปรับตัว เรื่องข้าวปลาอาหารก็ไม่ลำบาก เสื้อผ้าอาภรณ์ก็สานก็ทอจากธรรมชาติมาใช้
แสดงความคิดเห็น
+ + + + เศรษฐกิจไม่ค่อยดี๊ ไม่ค่อยดี (Pechnamnil) + + + +
คืนก่อนเศรษฐกิจดี๊ดี ก็พากันไปลั้ลลานั่งกินข้าวชมแสงจันทร์ที่ร้านอาหารริมฝั่งแม่น้ำฟังเพลงซึ้งๆ โอ้โห โรมานซ์ซะจริง
แต่พอเมื่อวานขับรถไปตากอากาศแถวๆสระบุรี หลานชายจอมเฮี้ยวกลับชวนไปดูลิเกเฉยเลย... โอ้ชีวิต
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า ดิฉันไม่เคยดูลิเกเลยเพราะไม่ใช่คนภาคกลาง แต่แม้กระทั่งหมอลำนี่ก็ไม่ถนัดจริงๆ
ตอนเด็กแม่เคยพาไปดูหมอลำ แต่ดูเท่าไหร่ก็ดูไม่รู้เรื่องไม่รู้เค้าพูดอะไรกัน ก็เลยไม่ชอบตั้งแต่นั้นมา
แต่ถ้าเป็นหนังกลางแปลงนี่ของโปรดเลยนะ ตอนเด็กเค้ามีหนังล้อมผ้าเก็บเงินคนเข้าดู ราคาตั๋วผู้ใหญ่ 10 บาท เด็ก 5 บาท
แต่ไม่มีตังค์ 5 บาทจ่ายเค้า ดิฉันก็ทำเนียนเกาะผู้ใหญ่อาศัยช่วงชุนลมุนวิ่งเข้าข้างในไปเลย พอเข้าไปแล้วจ้างให้เค้าก็จับไม่ได้
เข้าฟรีไม่เข้าเปล่านะ แอบไปเปิดผ้าตรงที่มืดๆให้เพื่อนๆที่รออยู่ข้างนอกมุดผ้าเข้ามาด้วย !!
พูดถึงลิเกเมื่อคืน ...
คณะเค้าไปเปิดวิกอยู่ลานดิน หลานชายเห็นเค้ากางเวทีตั้งแต่ตอนเย็นๆ ก็มาชวนให้พาไปดู ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจหรอก แต่ได้ยิน
คนแถวนั้นเค้าพูดว่า "ลิเกขอทาน" ดิฉันก็เลยสนใจขึ้นมา
"ลิเกขอทาน" ฟังดูแล้วหดหู่ใจจัง ทำไมต้องใช้คำนี้ ?
พอตอนซักสองทุ่มคณะลิเกก็เปิดม่าน คนดูมีไม่ถึง 30 คน เรื่องราวก็คงเป็นแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงนี่แหละ แล้วก็มีเจ้าเมือง
กับน้องชายเจ้าเมือง เล่นไปซักพักก็มีนักแสดงถือกระป๋องเดินลงมาจากเวที มาอ้อนให้ผู้ชมควักตังค์ใส่กระป๋องตามแต่ศรัทธา
ให้ก็ได้ไม่ให้ก็ไม่เอา ดิฉันมองดูในกระป๋องเห็นมีตังค์แบงค์ยี่สิบอยู่สามสี่ใบ ก็ควักตังค์ในกระเป๋าใส่ไปอีกร้อยหนึ่ง
แล้วเค้าก็เดินกลับขึ้นเวทีเพื่อแสดงต่อ แต่อีกซักพักหนึ่งเค้าก็เบรค เหมือนพักยก แล้วพระเอกของเรื่องก็ออกมาร้องเพลง
เพลงที่ร้องชื่อ "สุโขทัยระทม" อืมมม เพราะมากๆๆ
อีกละ ตอนเด็กๆดิฉันก็ไม่ค่อยถนัดเพลงลูกทุ่งซักเท่าไหร่ (แต่ตอนนี้ร้องได้แทบทุกเพลงเลยนะ) ก็เลยคลิ๊กกับเพลงนี้มากๆ
กลับถึงบ้านรีบเปิดยูทูปฟังเลยล่ะ
ดูทรงผมนางซะก่อน สั่งช่างตัดเองเลยนะนั่น
ตอนเค้าร้องเพลง นางเอกของเรื่องก็เดินลงมาขายพวงมาลัย พวงละยี่สิบบาท ดิฉันก็ซื้อไปอีกห้าพวง ให้หลานชายเอาไปให้
คนร้องหน้าเวที เจ้ากรรม หลานชายอายุเพิ่งจะ 5 ขวบตัวเล็กๆ ยื่นให้ไม่ถึง ดิฉันเลยต้องกลายเป็นแม่ยก
หอบพวงมาลัยไปให้พระเอกลิเก .... พอคล้องพวงมาลัยให้พระเอกลิเกเสร็จดิฉันก็จูงมือหลานชายขึ้นรถกลับบ้าน
กลับมาถึงบ้านแล้ว มานั่งคิดรวมเงินในกระป๋องกับพวงมาลัยที่คล้องคอพระเอกลิเกนั้น น่าจะไม่ถึง 500 บาท
พอคิดถึงตรงนี้แล้ว ดิฉันก็ใจหาย เค้าจะอยู่กันได้ยังไงน้อ กี่ชีวิตที่ต้องดูแลกัน
นับดูคนแสดงบนเวทียังมากกว่าท่านผู้ชมที่นั่งดูอยู่ข้างล่างซะอีก .... แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินกันต่อไป ดิ้นรนกันไป
ขอให้กำลังใจกับผู้ที่ทำมาหากินโดยสุจริตทุกท่านค่ะ สู้ๆ