+ + + + เศรษฐกิจไม่ค่อยดี๊ ไม่ค่อยดี (Pechnamnil) + + + +

กระทู้คำถาม


คืนก่อนเศรษฐกิจดี๊ดี ก็พากันไปลั้ลลานั่งกินข้าวชมแสงจันทร์ที่ร้านอาหารริมฝั่งแม่น้ำฟังเพลงซึ้งๆ โอ้โห โรมานซ์ซะจริง หัวใจ

แต่พอเมื่อวานขับรถไปตากอากาศแถวๆสระบุรี หลานชายจอมเฮี้ยวกลับชวนไปดูลิเกเฉยเลย... โอ้ชีวิต




ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า ดิฉันไม่เคยดูลิเกเลยเพราะไม่ใช่คนภาคกลาง แต่แม้กระทั่งหมอลำนี่ก็ไม่ถนัดจริงๆ

ตอนเด็กแม่เคยพาไปดูหมอลำ แต่ดูเท่าไหร่ก็ดูไม่รู้เรื่องไม่รู้เค้าพูดอะไรกัน ก็เลยไม่ชอบตั้งแต่นั้นมา

แต่ถ้าเป็นหนังกลางแปลงนี่ของโปรดเลยนะ  ตอนเด็กเค้ามีหนังล้อมผ้าเก็บเงินคนเข้าดู ราคาตั๋วผู้ใหญ่ 10 บาท เด็ก 5 บาท

แต่ไม่มีตังค์ 5 บาทจ่ายเค้า ดิฉันก็ทำเนียนเกาะผู้ใหญ่อาศัยช่วงชุนลมุนวิ่งเข้าข้างในไปเลย พอเข้าไปแล้วจ้างให้เค้าก็จับไม่ได้

เข้าฟรีไม่เข้าเปล่านะ แอบไปเปิดผ้าตรงที่มืดๆให้เพื่อนๆที่รออยู่ข้างนอกมุดผ้าเข้ามาด้วย !!


พูดถึงลิเกเมื่อคืน ...

คณะเค้าไปเปิดวิกอยู่ลานดิน หลานชายเห็นเค้ากางเวทีตั้งแต่ตอนเย็นๆ ก็มาชวนให้พาไปดู ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจหรอก แต่ได้ยิน

คนแถวนั้นเค้าพูดว่า "ลิเกขอทาน" ดิฉันก็เลยสนใจขึ้นมา

"ลิเกขอทาน" ฟังดูแล้วหดหู่ใจจัง ทำไมต้องใช้คำนี้ ?

พอตอนซักสองทุ่มคณะลิเกก็เปิดม่าน คนดูมีไม่ถึง 30 คน เรื่องราวก็คงเป็นแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงนี่แหละ แล้วก็มีเจ้าเมือง

กับน้องชายเจ้าเมือง เล่นไปซักพักก็มีนักแสดงถือกระป๋องเดินลงมาจากเวที มาอ้อนให้ผู้ชมควักตังค์ใส่กระป๋องตามแต่ศรัทธา

ให้ก็ได้ไม่ให้ก็ไม่เอา ดิฉันมองดูในกระป๋องเห็นมีตังค์แบงค์ยี่สิบอยู่สามสี่ใบ ก็ควักตังค์ในกระเป๋าใส่ไปอีกร้อยหนึ่ง

แล้วเค้าก็เดินกลับขึ้นเวทีเพื่อแสดงต่อ แต่อีกซักพักหนึ่งเค้าก็เบรค เหมือนพักยก แล้วพระเอกของเรื่องก็ออกมาร้องเพลง

เพลงที่ร้องชื่อ "สุโขทัยระทม"  อืมมม เพราะมากๆๆ  

อีกละ ตอนเด็กๆดิฉันก็ไม่ค่อยถนัดเพลงลูกทุ่งซักเท่าไหร่ (แต่ตอนนี้ร้องได้แทบทุกเพลงเลยนะ) ก็เลยคลิ๊กกับเพลงนี้มากๆ

กลับถึงบ้านรีบเปิดยูทูปฟังเลยล่ะ


ดูทรงผมนางซะก่อน สั่งช่างตัดเองเลยนะนั่น

ตอนเค้าร้องเพลง นางเอกของเรื่องก็เดินลงมาขายพวงมาลัย พวงละยี่สิบบาท ดิฉันก็ซื้อไปอีกห้าพวง ให้หลานชายเอาไปให้

คนร้องหน้าเวที เจ้ากรรม หลานชายอายุเพิ่งจะ 5 ขวบตัวเล็กๆ ยื่นให้ไม่ถึง ดิฉันเลยต้องกลายเป็นแม่ยก

หอบพวงมาลัยไปให้พระเอกลิเก  .... พอคล้องพวงมาลัยให้พระเอกลิเกเสร็จดิฉันก็จูงมือหลานชายขึ้นรถกลับบ้าน

กลับมาถึงบ้านแล้ว มานั่งคิดรวมเงินในกระป๋องกับพวงมาลัยที่คล้องคอพระเอกลิเกนั้น น่าจะไม่ถึง 500 บาท

พอคิดถึงตรงนี้แล้ว ดิฉันก็ใจหาย เค้าจะอยู่กันได้ยังไงน้อ กี่ชีวิตที่ต้องดูแลกัน

นับดูคนแสดงบนเวทียังมากกว่าท่านผู้ชมที่นั่งดูอยู่ข้างล่างซะอีก .... แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินกันต่อไป ดิ้นรนกันไป

ขอให้กำลังใจกับผู้ที่ทำมาหากินโดยสุจริตทุกท่านค่ะ สู้ๆ


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 8
คุณนิด...

ทางอีสานก็มี "หมอลำขอข้าว" นะครับ   มีทั้งเดี่ยวและคณะ   ที่เป็นคณะ   ก็จะทำการแสดงลำเรื่องต่อกลอนจนสว่าง  รุ่งเช้าคณะหมอลำทั้งนางเอกพระเอก ฯลฯ จะสะพายถุงกระสอบตระเวณไปขอข้าวสาร ข้าวเปลือก อะไรก็ได้    เป็นการต่อสู้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำ   เวทีการแสดงก็จะเป็นที่วัด   อาศัยนอนวัด   กินข้าวก้นบาตรจากพระเอา    บางคนก็แต่งรถเข็นติดลำโพงร้องเพลงหมอลำตระเวณไปตามซอกซอยในหมู่บ้าน  ชาวบ้านก็จะนำข้าวสารขันสองขันมาช่วยเหลือกันเป็นสินน้ำใจตอบแทน

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ


ผมยอมใจคนอีสานก็ตรงนี้ล่ะครับ   เศรษฐกิจตกต่ำจะเดือดร้อนตกยากขนาดไหน...เรื่องจะไปแบมือขอรัฐบาลช่วยนั้นเป็นไม่มี    ในฐานะคนอีสานก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันนะที่ถูกเขามองว่าคนอีสานเห็นแก่เงินที่เขาให้มาร้อยสองร้อยเพื่อซื้อเสียง (เข้าการเมืองเฉยเลย)     ในช่วงที่เศรษกิจถึงยุคข้าวยากหมากแพงในรัฐบาลของจอมพลป.   จอมพลป. ออกปราศัยเรื่องการประหยัดและให้ช่วยเหลือตัวเอง   โดยยกคนอีสานให้เป็นตัวอย่างว่าแม้เศรษฐกิจจะตกต่ำ   แต่จะกระทบคนอีสานไม่มากเท่าภาคอื่นๆ เพราะคนอีสานรู้จักปรับตัว  เรื่องข้าวปลาอาหารก็ไม่ลำบาก  เสื้อผ้าอาภรณ์ก็สานก็ทอจากธรรมชาติมาใช้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่