คือเราเป็นคนที่ต้องไปสถานที่ ที่เป็นลักษณะ Café อยู่บ่อยๆ เพราะตอนนี้เรียนต่อโทอยู่ เดี๋ยวๆก็มีงานกลุ่ม เดี๋ยวๆก็ต้องสอบ ก็เลยต้องนัดเพื่อนติวหนังสือถี่เลย
แต่ก่อนจะพากันไปสิงอยู่ตามร้าน McDonald หรือไม่ก็ Starbucks พอไปแต่ร้านเดิมๆ เพื่อนที่อยู่ไกล ก็ต้องเดินทางลำบากอยู่อย่างนั้น เลยหาร้านอื่นติวกันบ้าง
เสิร์ชไปเสิร์ชมาก็มาเจอร้านนี้ “The Rabbit Hub” อยู่ใกล้ BTS พญาไท มีที่จอดรถด้วย เห็นเค้าบอกมีค่าสถานที่ แต่คำนวณแล้วก็คุ้มเราก็เลยมากัน
มากับเพื่อนครั้งแรกรู้สึกชอบอ่ะ มันสะดวกหลายอย่างที่ร้าน Café ตามห้างไม่มี พอนัดกันมารอบ 2 เราก็เลยถือโอกาสรีวิวไปด้วยซะเลย
เอาพิกัดไปก่อนละกัน ร้านนี้ชื่อ “The Rabbit Hub” อยู่ใกล้ๆกับ BTS พญาไท เดินทางสะดวกดี
พอถึง BTS พญาไท ให้ออกประตู 2 แล้วเดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆเลย (น่าจะประมาณ 200-300 เมตรได้)
สักพักก็จะเจอกับ “โครงการปทุมวันรีสอร์ท” (ลืมเดินไปถ่ายชื่อโครงการชัดๆ) แต่ถ้าเห็นหน้าตาแบบนี้ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลยจ้า
จะบอกว่าทางเข้าอาจดูธรรมดาไปหน่อย แต่ว่าสไตล์การตกแต่งร้านเค้าน่ารักใช้ได้เลย
เลยป้อมยามมานิดเดียวก็เจอแล้ว “The Rabbit Hub”
ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็น Rabbit แต่ที่รู้คือที่นี่เค้าเป็น Co-Working Space ก็คือสถานที่เอาไว้พบปะพูดคุยกันทั้งเรื่องงาน
หรือจะนั่งติวหนังสืออย่างที่เรามากัน หรือจะจัด Workshop จัด Event ก็ได้นะ
ส่วนตู้ที่เห็นนี้เป็นป๊อปคอร์น 10 บาทเอง ซื้อขึ้นไปกินด้วยได้จ๊า
ที่นี่เค้าเปิด 10 โมงถึง 4 ทุ่ม (เสาร์ อาทิตย์เปิด 7 โมง) อาจจะปิดเร็วไปสักหน่อยถ้าเทียบกับ McDonald หรือ Starbucks เพราะสาขาที่เราไปเปิด 24 ชั่วโมง
ที่นี่เค้าแบ่งการให้บริการออกเป็น Size S, M, L, XL, XXL ไม่ได้ขายเสื้อนะแจ๊ะ! แต่หมายถึงขนาดคนเข้าใช้งาน
ตามภาพนี้เลย (อันนี้ไปส่องเพจของร้านเลยขอยืมของเค้ามาให้ดู)
พอเดินเข้ามาในร้านก็บอกพนักงานได้เลยว่า อยากจองโซนไหน มากี่คน ส่วนเรามากัน 4 คนก็Size M จ้า อ้อ...ต้องแลกบัตรประชาชนไว้นะ จากนั้นก็จะได้กระต่ายกับรหัส Wi-Fi มา น้องพนักงานเค้าก็จะบอกว่าต้องนั่งชั้นไหน (มี 5 ชั้น) เราก็ไปนั่งตามโซนได้เลย
เอาล่ะ... เดี๋ยวจะให้ดูรูปเป็นโซนๆไป ส่วนนี้เป็นหน้าร้าน ระหว่างรอกาแฟก็แอบถ่ายรูปมาฝาก
มีอาหาร เครื่องดื่ม ขนมทานเล่นเป็น Option เสริม ราคาเป็นมิตรไม่แพง
ดูก็รู้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัยไหน
กลุ่มลูกค้าที่มาจัด Workshop ก็เยอะแฮะ
โต๊ะหน้าเคาน์เตอร์ตอนแรกนึกว่าเอาไว้ให้ลูกค้ารอเครื่องดื่มเฉยๆ มารู้ทีหลังว่าเป็น Free Zone ด้วยอ่ะ ร้านนี้แอบใจดีเบาๆ
ถัดจากเคาน์เตอร์หน้าร้านเข้ามาก็จะมีโซฟาเล็กๆ มีบอร์ดผลงานให้ลูกค้าที่เป็น Freelance เอาไว้ประชาสัมพันธ์ หรือฝากผลงานได้
ชั้น 1 นี้จำได้ว่าเป็นโซนของ Size S สำหรับมาคนเดียว หรือคนที่ต้องการความเงียบ แต่วันนี้เห็นมีฉากกั้นรู้สึกจะมี Event ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา
ขึ้นไปชั้น 2 ปกติเป็นโซน Size M ขนาด 1 - 4 คน แต่วันนี้มี Event เลยกั้นฉากอย่างที่เห็น (ลูกค้าเค้าเยอะแฮะ)
ส่วนอีกฝั่งของชั้น 2 เป็นห้อง Size XL แอบเห็นอุปกรณ์พร้อมมาก มีจอฉาย Projector มีไมค์ มีกระดานไวท์บอร์ด มีห้องน้ำในตัวด้วย
ขึ้นไปชั้น 3 เป็นโซนของ Size L คือเป็นห้องทั้งชั้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่สำหรับเราแค่มาติวหนังสือเราว่าแพงไป แต่ถ้าเป็นติวเตอร์นะเราว่าห้อง Size L แบบนี้เหมาะเลย ถ้ามีนักเรียนเยอะๆติวเป็นกลุ่มก็คุ้ม นั่งได้ทั้งวัน ไม่เสียงดัง มีกระดงการดานอะไรอย่างนี้ คือสถานที่ดูพร้อมอ่ะ
เท่าที่สังเกตลูกค้าที่นี่จะเป็นนักเรียนนักศึกษาจับกลุ่มกันมาอ่านหนังสือมาติวกันเอง เพราะดูจากหน้าตาแล้วอายุราวๆนี้แหละ ป้าๆอย่างเรานี่กระชุ่มกระชวยหัวจายยย 555 และลูกค้าอีกกลุ่มจะเป็นคอร์สสัมมนา อย่างคอร์สหุ้นนี่เห็นทุกอาทิตย์
เอาล่ะไปชั้น 4,5 กัน แต่ชั้น 5 (Size XXL) มี Workshop เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา
เราว่า 2 ชั้นนี้เค้าออกแบบได้ดีนะ คือชั้น 5 จะมีระเบียงมองลงมาเห็นชั้น 4 แล้วผนังชั้น 5 ก็ทำเป็นกระจกบานใหญ่รับแสงอาทิตย์ส่องถึงชั้น 4 ทำให้ได้แสงจากธรรมชาติ ทั้งประหยัดค่าไฟและคนนั่งก็ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะได้เห็นแสงจากภายนอก
และให้เดาว่าเรานั่งชั้นไหน...
แน่นอนว่าต้องชั้น 4 จ๊า เพราะเด็กเยอะ 555
ม่ายช่าย!! เพราะว่าชั้น 4 ก็เป็นห้องSize M อีกชั้นนึง พวกเรามากันเป็นกลุ่มก็เลือกSize M นี่แหละ ท่ามกลางเด็กน้อย ป้าๆป.โทโต๊ะนี้นั่งเนียนไป ^^!
จากประสบการณ์ส่วนตัว ถ้าให้เทียบ The Rabbit Hub กับ ร้าน Café ที่เราเคยไป เราว่ามีจุดเด่นอยู่หลายอย่าง
อย่างแรกเลยคือเป็นที่นั่งทำงานจริงๆ แต่นั่งนานๆแอบหนาว แอร์เย็นมากกกก (เอาเสื้อคลุมมาด้วย)
มีห้องน้ำในตัว ความปลอดภัยจึงตามมาจ้า จะไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง (โดยเฉพาะถ้ามาคนเดียว)
Wi-Fi Free + แรงด้วย อันนี้ชอบมาก
ข้อดีอีกอย่างคือเค้าอนุญาตให้นำอาหารเข้ามาทานด้วยนะ เราก็เลยเอามาด้วยทั้งน้ำ ขนม ไม่เว้นแม้แต่ “ถั่วต้ม” 555
แล้วก็มีที่นั่งเยอะ ถ้าไปร้านกาแฟบางทีก็ต้องทำใจนะ ถ้าลูกค้าเค้าเยอะก็อาจจะหาโต๊ะยากหน่อย ถ้ายังหาโต๊ะไม่ได้ก็เดินวนไปซัก 2-3 รอบ 555
ที่ชอบอีกอย่างหนึ่งคืออุปกรณ์เค้าพร้อมมาก อย่างที่เห็นในรูปแหละ
อ้อ...มีบริการ Print และถ่ายเอกสารด้วยนะ ถ้าอยากจะปริ้นก็ติดต่อน้องพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ได้
อีกอย่างคือเค้ารองรับลูกค้าได้หลายขนาด ห้องส่วนตัวก็มี สถานที่ก็ออกแบบได้ดี ถ้ามี Event ก็ Adapt เปลี่ยนขนาดห้องได้หมด
__________________
สรุปคือโอเคเลยกับ The Rabbit Hub ถึงมีค่าใช้จ่ายแต่ก็ถือว่าคุ้ม
ส่วนใครที่กำลังหาสถานที่ทำงานใหม่ๆก็ลองไปดูนะจ๊ะ
รีวิวนี้อาจจะยาวสักหน่อย หากผิดพลาดประการใดก็ขอโทษด้วยน๊า
ถ้าใครสนใจเดี๋ยวแปะลิ้งค์เพจไว้ให้
https://www.facebook.com/therabbithubbkk/
[CR] ในที่สุดก็หาเจอ! “ Co-Working Space” ที่นั่งติว + นั่งทำงานราคาไม่แพง (ใกล้ BTS พญาไท)
แต่ก่อนจะพากันไปสิงอยู่ตามร้าน McDonald หรือไม่ก็ Starbucks พอไปแต่ร้านเดิมๆ เพื่อนที่อยู่ไกล ก็ต้องเดินทางลำบากอยู่อย่างนั้น เลยหาร้านอื่นติวกันบ้าง
เสิร์ชไปเสิร์ชมาก็มาเจอร้านนี้ “The Rabbit Hub” อยู่ใกล้ BTS พญาไท มีที่จอดรถด้วย เห็นเค้าบอกมีค่าสถานที่ แต่คำนวณแล้วก็คุ้มเราก็เลยมากัน
มากับเพื่อนครั้งแรกรู้สึกชอบอ่ะ มันสะดวกหลายอย่างที่ร้าน Café ตามห้างไม่มี พอนัดกันมารอบ 2 เราก็เลยถือโอกาสรีวิวไปด้วยซะเลย
เอาพิกัดไปก่อนละกัน ร้านนี้ชื่อ “The Rabbit Hub” อยู่ใกล้ๆกับ BTS พญาไท เดินทางสะดวกดี
พอถึง BTS พญาไท ให้ออกประตู 2 แล้วเดินตรงขึ้นไปเรื่อยๆเลย (น่าจะประมาณ 200-300 เมตรได้)
สักพักก็จะเจอกับ “โครงการปทุมวันรีสอร์ท” (ลืมเดินไปถ่ายชื่อโครงการชัดๆ) แต่ถ้าเห็นหน้าตาแบบนี้ก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปเลยจ้า
จะบอกว่าทางเข้าอาจดูธรรมดาไปหน่อย แต่ว่าสไตล์การตกแต่งร้านเค้าน่ารักใช้ได้เลย
เลยป้อมยามมานิดเดียวก็เจอแล้ว “The Rabbit Hub”
ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็น Rabbit แต่ที่รู้คือที่นี่เค้าเป็น Co-Working Space ก็คือสถานที่เอาไว้พบปะพูดคุยกันทั้งเรื่องงาน
หรือจะนั่งติวหนังสืออย่างที่เรามากัน หรือจะจัด Workshop จัด Event ก็ได้นะ
ส่วนตู้ที่เห็นนี้เป็นป๊อปคอร์น 10 บาทเอง ซื้อขึ้นไปกินด้วยได้จ๊า
ที่นี่เค้าเปิด 10 โมงถึง 4 ทุ่ม (เสาร์ อาทิตย์เปิด 7 โมง) อาจจะปิดเร็วไปสักหน่อยถ้าเทียบกับ McDonald หรือ Starbucks เพราะสาขาที่เราไปเปิด 24 ชั่วโมง
ที่นี่เค้าแบ่งการให้บริการออกเป็น Size S, M, L, XL, XXL ไม่ได้ขายเสื้อนะแจ๊ะ! แต่หมายถึงขนาดคนเข้าใช้งาน
ตามภาพนี้เลย (อันนี้ไปส่องเพจของร้านเลยขอยืมของเค้ามาให้ดู)
พอเดินเข้ามาในร้านก็บอกพนักงานได้เลยว่า อยากจองโซนไหน มากี่คน ส่วนเรามากัน 4 คนก็Size M จ้า อ้อ...ต้องแลกบัตรประชาชนไว้นะ จากนั้นก็จะได้กระต่ายกับรหัส Wi-Fi มา น้องพนักงานเค้าก็จะบอกว่าต้องนั่งชั้นไหน (มี 5 ชั้น) เราก็ไปนั่งตามโซนได้เลย
เอาล่ะ... เดี๋ยวจะให้ดูรูปเป็นโซนๆไป ส่วนนี้เป็นหน้าร้าน ระหว่างรอกาแฟก็แอบถ่ายรูปมาฝาก
มีอาหาร เครื่องดื่ม ขนมทานเล่นเป็น Option เสริม ราคาเป็นมิตรไม่แพง
ดูก็รู้ว่าลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัยไหน
กลุ่มลูกค้าที่มาจัด Workshop ก็เยอะแฮะ
โต๊ะหน้าเคาน์เตอร์ตอนแรกนึกว่าเอาไว้ให้ลูกค้ารอเครื่องดื่มเฉยๆ มารู้ทีหลังว่าเป็น Free Zone ด้วยอ่ะ ร้านนี้แอบใจดีเบาๆ
ถัดจากเคาน์เตอร์หน้าร้านเข้ามาก็จะมีโซฟาเล็กๆ มีบอร์ดผลงานให้ลูกค้าที่เป็น Freelance เอาไว้ประชาสัมพันธ์ หรือฝากผลงานได้
ชั้น 1 นี้จำได้ว่าเป็นโซนของ Size S สำหรับมาคนเดียว หรือคนที่ต้องการความเงียบ แต่วันนี้เห็นมีฉากกั้นรู้สึกจะมี Event ก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา
ขึ้นไปชั้น 2 ปกติเป็นโซน Size M ขนาด 1 - 4 คน แต่วันนี้มี Event เลยกั้นฉากอย่างที่เห็น (ลูกค้าเค้าเยอะแฮะ)
ส่วนอีกฝั่งของชั้น 2 เป็นห้อง Size XL แอบเห็นอุปกรณ์พร้อมมาก มีจอฉาย Projector มีไมค์ มีกระดานไวท์บอร์ด มีห้องน้ำในตัวด้วย
ขึ้นไปชั้น 3 เป็นโซนของ Size L คือเป็นห้องทั้งชั้น เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่สำหรับเราแค่มาติวหนังสือเราว่าแพงไป แต่ถ้าเป็นติวเตอร์นะเราว่าห้อง Size L แบบนี้เหมาะเลย ถ้ามีนักเรียนเยอะๆติวเป็นกลุ่มก็คุ้ม นั่งได้ทั้งวัน ไม่เสียงดัง มีกระดงการดานอะไรอย่างนี้ คือสถานที่ดูพร้อมอ่ะ
เท่าที่สังเกตลูกค้าที่นี่จะเป็นนักเรียนนักศึกษาจับกลุ่มกันมาอ่านหนังสือมาติวกันเอง เพราะดูจากหน้าตาแล้วอายุราวๆนี้แหละ ป้าๆอย่างเรานี่กระชุ่มกระชวยหัวจายยย 555 และลูกค้าอีกกลุ่มจะเป็นคอร์สสัมมนา อย่างคอร์สหุ้นนี่เห็นทุกอาทิตย์
เอาล่ะไปชั้น 4,5 กัน แต่ชั้น 5 (Size XXL) มี Workshop เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา
เราว่า 2 ชั้นนี้เค้าออกแบบได้ดีนะ คือชั้น 5 จะมีระเบียงมองลงมาเห็นชั้น 4 แล้วผนังชั้น 5 ก็ทำเป็นกระจกบานใหญ่รับแสงอาทิตย์ส่องถึงชั้น 4 ทำให้ได้แสงจากธรรมชาติ ทั้งประหยัดค่าไฟและคนนั่งก็ไม่รู้สึกอึดอัดเพราะได้เห็นแสงจากภายนอก
และให้เดาว่าเรานั่งชั้นไหน...
แน่นอนว่าต้องชั้น 4 จ๊า เพราะเด็กเยอะ 555
ม่ายช่าย!! เพราะว่าชั้น 4 ก็เป็นห้องSize M อีกชั้นนึง พวกเรามากันเป็นกลุ่มก็เลือกSize M นี่แหละ ท่ามกลางเด็กน้อย ป้าๆป.โทโต๊ะนี้นั่งเนียนไป ^^!
จากประสบการณ์ส่วนตัว ถ้าให้เทียบ The Rabbit Hub กับ ร้าน Café ที่เราเคยไป เราว่ามีจุดเด่นอยู่หลายอย่าง
อย่างแรกเลยคือเป็นที่นั่งทำงานจริงๆ แต่นั่งนานๆแอบหนาว แอร์เย็นมากกกก (เอาเสื้อคลุมมาด้วย)
มีห้องน้ำในตัว ความปลอดภัยจึงตามมาจ้า จะไปเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง (โดยเฉพาะถ้ามาคนเดียว)
Wi-Fi Free + แรงด้วย อันนี้ชอบมาก
ข้อดีอีกอย่างคือเค้าอนุญาตให้นำอาหารเข้ามาทานด้วยนะ เราก็เลยเอามาด้วยทั้งน้ำ ขนม ไม่เว้นแม้แต่ “ถั่วต้ม” 555
แล้วก็มีที่นั่งเยอะ ถ้าไปร้านกาแฟบางทีก็ต้องทำใจนะ ถ้าลูกค้าเค้าเยอะก็อาจจะหาโต๊ะยากหน่อย ถ้ายังหาโต๊ะไม่ได้ก็เดินวนไปซัก 2-3 รอบ 555
ที่ชอบอีกอย่างหนึ่งคืออุปกรณ์เค้าพร้อมมาก อย่างที่เห็นในรูปแหละ
อ้อ...มีบริการ Print และถ่ายเอกสารด้วยนะ ถ้าอยากจะปริ้นก็ติดต่อน้องพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ได้
อีกอย่างคือเค้ารองรับลูกค้าได้หลายขนาด ห้องส่วนตัวก็มี สถานที่ก็ออกแบบได้ดี ถ้ามี Event ก็ Adapt เปลี่ยนขนาดห้องได้หมด
สรุปคือโอเคเลยกับ The Rabbit Hub ถึงมีค่าใช้จ่ายแต่ก็ถือว่าคุ้ม
ส่วนใครที่กำลังหาสถานที่ทำงานใหม่ๆก็ลองไปดูนะจ๊ะ
รีวิวนี้อาจจะยาวสักหน่อย หากผิดพลาดประการใดก็ขอโทษด้วยน๊า
ถ้าใครสนใจเดี๋ยวแปะลิ้งค์เพจไว้ให้ https://www.facebook.com/therabbithubbkk/