Pre Arrival
สวัสดีค่ะๆเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ทุกๆคน วันนี้เฟียสมาทำกระทู้ ‘เรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ ทำยังไงบ้าง??’ จะเขียนไว้ทุกขั้นตอนตั้งแต่เตรียมตัวเรื่องเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด การ Apply มหาวิทยาลัย เลือกมหาวิทยาลัย ส่งใบสมัครให้ทางมหาวิทยาลัย การสอบ IELTS การเขียน State of Purpose การทำVisa ไปจนถึงการเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังมาถึงประเทศอังกฤษค่ะ
หวังว่าการรีวิวจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย สำหรับใครที่กำลังเล็งว่าจะมาเรียนต่อดีรึเปล่าหรือกำลังจะมาเรียนต่อแน่ๆ บางขั้นตอนเฟียสจำได้ไม่ทั้งหมด อาจมีผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนบ้างก็ช่วยกันแสดงความคิดเห็นและแก้ไขด้วยนะคะ จะได้เป็นข้อมูลที่สำคัญให้กับน้องๆรุ่นต่อไปที่จะมาเรียนต่อ ซึ่งขอบอกว่าในกระทู้นี้ส่วนใหญ่จะอธิบาย Process ในการเข้าและสภาพความเป็นอยู่ของ 'University of Southampton' นะคะ ดังนั้นไม่สามารถใช้อธิบายร้อยเปอร์เซ็นกับมหาวิทยาลัยอื่นได้ทั้งหมด
Part1 Before Apply
Step 1 - เตรียมตัว เตรียมใจและเตรียมเกรดให้พร้อมกับการเรียนต่อ
ในสายตาของมหาวิทาลาลัยต่างชาตินะคะ สิ่งที่เราต้องเตรียมตัวเนิ่นๆก่อนจะเริ่มสมัคร (ยกเว้น IELTS นะคะเพราะส่งทีหลังได้ แต่คะแนนต้องถึงตามที่เค้ากำหนด) หลักๆมีสองอย่างเลยคือ
1.เกรดเฉลี่ยจากมหาวิทยาลัย ซึ่งหากช่วงมหาวิทยาลัยพลาดแล้ว เค้าไม่รับฟังนะคะว่าเกรดน้อยเพราะอะไร วิชาไหน เค้ารู้แต่คะแนนรวมมันออกมาไม่ประทับใจ ก็มีสิทธิ์ที่จะถูก Reject จากมหาวิทยาลัยเพราะเกรดน้อยได้เหมือนกันและภาษีจากมหาวิทยาลัยต่างๆมีความแตกต่างกันค่ะ หากเป็นมหาวิทยาลัยที่มี Partner ในต่าประเทศ ทางมหาวิทยาลัยในอังกฤาเค้าจะรู้จักมหาวิทยาลัยนั้นๆมาก่อนแล้ว ที่สำคัญบางมหาวิทยาลัยทั้งเอกชนและรัฐ ต่างมี Education Partner ที่แตกต่างกันค่ะ ในที่นี้ หากคุณสนใจ Partner ของมหาวิทยาลัยของคุณอยู่แล้ว มันจะช่วยทำให้การพิจารณาใบสมัครของเราง่ายขึ้น (แต่ไม่ได้ง่ายเลยนะคะ แค่ง่ายขึ้น) ที่สำคัญคือบางสาขานั้น Require เรื่อง Bachelor deree แบเฉพาะเจาะจง ก็ต้องพิจารณา Condition ของมหาวิทยาด้วยค่ะ แต่ในเคสของเฟียส เฟียสเรียนจบ สังคมสงเคราะห์ ธรรมศาสตร์มาตอนปริญญาตรีค่ะ แต่สมัครเข้าเรียนชั้นปริญญาโท สาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ ซึ่งใน Condition ของคณะเฟียสเค้าไม่ได้ Require ว่าต้องจบอะไรมาค่ะ
2.ประสบการณ์ทำงานหรือประสบการณ์เฉพาะด้าน บางคณะและสาขา Require ประสบการณ์ทำงานบ้างค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MBA ถ้าจำไม่ผิดจะต้องมีประสบการณ์การทำงานในด้านที่เรียนมากกว่า 2 ปีขึ้นไป บางคณะก็ไม่มีประสบการณ์ทำงานขั้นต่ำค่ะ แต่มีเพื่อนเฟียสหลายคนที่โดน Reject จากบางมหาวิทยาลัย เนื่องจากให้เหตุผลว่าไม่มีประสบการณ์ทำงานด้านนั้นเพียงพอ แต่พอไปสมัครสาขาแบบเดียวกัน อีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง เค้าก็รับ แบบนี้ก็มีเหมือนกันค่ะ
Step 2 - IELTS TEST
พอเกรดเราพร้อม ประสบการณ์ทำงานพร้อม อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากกกกกกก ที่มหาวิทยาลัยจะดูคือคะแนน IELTS Test ค่ะ ซึ่งตอนนี้ทางประเทศอังกฤษ Require แล้วว่าการจะมาเรียนต่อที่นี่ ต้องใช้ IELTS ประเภท UKVI เท่านั้น ซึ่งการสอบหนึ่งครั้งจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณหนึ่งหมื่นบาทค่ะ หลายๆคนจึงพยายามทำข้อสอบและเตรียมพร้อมสำหรับการสอบเพราะว่าสอบครั้งนึงก็ไม่ได้จะถูกเลยจริงไหมค่ะ ซึ่งหลายๆคนก็ยอมจ่ายค่าเรียนพิเศษเพื่อให้อาจารย์ชาวต่างชาติเป็นผู้สอนเทคนิคต่างๆ เฟียสก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เรียนตามสถาบันสอนพิเศษ (แต่เรียนแค่ 2คอร์สแล้วสอบเลย ครั้งเดียวพอคะแนนผ่านเกณฑ์เบื้องต้นแล้ว ก็ไม่สอบแล้วค่ะ เหนื่อย 5555)
IELTS จะประกอบด้วยทักษะทั้งสี่ ฟัง พูด อ่าน เขียน รายละเอียดอื่นๆสามารถหาอ่านได้ตาม Website นะคะเพราะคิดว่ามีคนมารีวิวข้อสอบ IELTS เยอะมากและส่วนใหญ่แล้วรุปแบบของข้อสอบจะจะไม่หนีรูปแบบเดิมๆ แต่จะปรับเปลี่ยนทริค เรื่องราวและเนื้อหาค่ะ
เราต้องมาดูก่อนว่า มหาวิทยาลัยที่เราจะไปนั้นเค้า Require IELTS score ที่เท่าไหร่ ของเฟียส เค้า เอาที่ Overall 6.5- Speaking&Listening 6 และ Writing&Reading 6.5 สำหรับ Uncondition Offer (หมายถึง Offer จากมหาวิทยาลัยที่ไม่ต้องมาเรียนเพิ่มเติมก่อน Course จะเริ่ม) ของเฟียสนั้นสอบครั้งแรกได้ Overall 5.5 ก็หยุดที่ตรงนั้นเลยค่ะ 55555555 และยอมรับเงื่อนไขของ Condition Offer คือ ก่อนเริ่มเรียนต่อโท ต้องมาเรียน Pre-sessiional corse แบบ 11 weeks+Online 5 weeks ซึ่งการจะเรียนมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับคะแนน IELTS ค่ะ ซึ่งคะแนนเราถือว่าไม่ได้เก่งอะไร แต่ไม่ย่ำแย่ติดดิน ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเรียน Presessional ต้องจ่ายเพิ่มต่างหากจากค่าเรียนโทประมาณ 4,300 ปอนด์ หรือประมาณ สองแสนกว่าบาทค่ะ ค่าเรียนนี้รวมไปถึงหอพักของมหาวิทยาลัยระหว่างที่เรียน Pre ระยะเวลาเกือบสามเดือนทั้งหมด หากมาถึงที่นี่ ช่วงตอนเรียน Pre ก็ไม่ต้องจ่ายค่าอะไรเพิ่มเติมแล้วค่ะเพราะได้รวมอยู่ในเงินจำนวนสองแสนบาทอยู่แล้ว
เคยอ่านมาจากกระทู้สมัยก่อนจะมีคนมาโต้เถียงว่า คะแนนผ่านแล้ว ควรเรียนพรีดีไหมหรือไม่เรียนดี สำหรับความคิดของเฟียสนะคะ เฟียสแนะนำว่าควรเรียนค่ะ แต่จะเรียน 11 weeks หรือ 6 weeks ก็แล้วแต่กำลังทรัพย์เลยค่ะ หากไม่ได้เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก เฟียสว่าการเลือกเรียนพรีระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่งก็ถือว่าเป็นการปรับตัวที่ดีค่ะ เพราะการเขียนงานที่นี่ก็ค่อนข้างต่างจากบ้านเรา ที่นี่เค้าซีเรียสเรื่อง Plagiarism หรือการลอกงานชาวบ้านมามากๆค่ะ ทุกครั้งที่เขียนงาน ‘จำเป็นต้อง’ เปลี่ยน wording ด้วยการ Summarize ทุกครั้งและต้องใส่ที่มาเสมอว่าเอามาจากที่ไหน แม้แต่งานเขียน 200-500 words แค่หน้ากระดาาเอสี่ ก็จำเป็นต้องอ้างอิงทุกครั้งที่หยิบงานคนอื่นมาเขียนค่ะ และเรื่องอื่นๆๆทั้งการเขียน การฟัง วัฒนธรรม การ Presentation และ Discussion อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญของการเรียนพรีคือ เพื่อนค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคนจีน คนไทย คนตะวันออกหลาง คนญี่ปุ่น โคลอมเบีย สเปน มีเพื่อนเยอะแยะเต็มไปหมด การเรียนพรีทำให้ได้เพื่อนเยอะมากกกกก เพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะค่อยๆฝึกภาษาไปพร้อมๆกันด้วยค่ะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว การมาเรียนต่อ ชีวิตไม่ได้สถิตอยู่แค่ หอ ห้องสมุด โรงอาหารและมหาวิทยลัยนะคะ สังคมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เราจะได้รับอะไรมากขึ้น ทั้งข้อมูลต่างๆในการใช้ชีวิต เพื่อนช่วยจำเวลามีข้อสอบ งาน การบ้านหรือเทศกาลพิเศษต่างๆ รวมถึงการเรียนรู้วัฒนาธรรมอื่นๆซึ่งนำมาซึ่งความเข้าใจความแตกต่างของบุคคล เฟียสว่านี่คือประโยชน์หลักๆของการเรียน Presessional ค่ะ
Step 3 - SEARCHING UNIVERSITY and State of Purpose (SOP)
พอเราพร้อมสำหรับสมรภูมินี้แล้วนั้น สิ่งที่จำเป็๋นลำดับต่อมาก็คือ เรียนรู้ตัวเองค่ะ ว่าชอบอะไรไป ชอบในสาบงานไหน แล้วอยากจะศึกษาต่อสายงานไหน เพื่อนที่มาเรียนที่นี่ตอนนี้หลายๆคนทำงานก่อนแล้วค่อยมาและอีกหลายคนที่เรียนจบแล้วมาเรียนต่อโทเลย เอาแบบที่เฟียสแนะนำนะคะ ควรจะ ย้ำนะ แค่ ‘ ควรจะ’ มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนซักครึ่งปีถึงหนึ่งปีขึ้นไปค่ะ เพราะเราจะได้เรียนรู้ตัวเองว่าวายงานที่เราจะจ่ายเงินเป็นล้านๆไปเรียนเนี่ย เราชอบมันจริงๆรึเปล่า หรือแค่เรียนเอาฆ่าเวลาไม่มีอะไรทำ ตามกระแสนิยม ที่นี่ส่วนใหญ่คนไทยจีน จะเลือกเรียนสาย Business กันเยอะมาก โดยเฉพาะ Marketing, Digital Marketing, Finance, Banking, Management, International Management และอื่นๆ ส่วนคนที่เรียนในสาขาอื่นๆ ก็แยกกันไปตามสาขาที่ตนเองสนใจค่ะ แต่ประเด็นสำคัญของตรงนี้คือ รู้ตัวเองก่อนว่าอยากจะเรียนอะไร แล้วไอ้ที่เรียนจบโทจากที่นี่จะเอาไปต่อยอดยังไงได้บ้าง
ความชอบในสาขานี้เอง บวกกับประสาบการณ์ทำงาน จะทำให้เกิด SOP (Statement of Putpose) หรือเรียงความการแนะนำตนเองเพื่อส่งไปยังคณะสาขาที่ตนเองสนใจ เพื่อให้คณะรับเราพิจารณาเข้าศึกษาต่อ SOP นั้นสำคัญฉไน?? มันเหมือนเป็นใบปะหน้าค่ะ ว่าเราสนใจอะไร ความคิดเราเป็นยังไง เรามีความอยากเข้ามหาลัยนั้นๆมากน้อยแค่ไหนและเราจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยเค้าได้รึเปล่า ส่วนเกณฑ์การคัดเนี่ย เฟียสไม่สามารถทราบได้จริงๆเพราะอยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละมหาวิทยาลัย แต่ก็เชื่อว่าแต่ละมหาวิทยาลัยมีลักษณ์การคัดกรองเด็กเข้ามาที่แตกต่างกันค่ะ
เมื่อได้ SOP คร่าวๆแล้ว สิ่งหนึ่งที่น่าจะต้องมาพร้อมกันคือ รายชื่อคณะ สาขา และมหาวิทยาที่ตัวเองสนใจค่ะ อย่างเฟียสเองก็สนใจในสาขา Marketing ซึ่งตัวการตลาดเนี่ย มันมีทั้งแบบ MM (Marketing Management) และแตกแยกย่อยไปอีกในหลายๆสาขา ตอนแรกเฟียสก็อยากเรียน Luxury Marketing แตเพราะเป็นความชอบส่วนตัวด้วย แต่ไปๆมาๆ คิดได้ว่า ถ้าเรียนเฉพาะไป แล้วกลับไปทำงานมันจะทำให้บริษัทที่เราทำงานด้วยมีไม่กว้างเท่ากับเรียน MM ปกติ จึงเลือกเรียนการจัดการการตลาด ค่ะ ในส่วนของมหาวิทยาลัยนั้น การเลือกค่อนข้างสำคัญมากกกกกก นะคะ เพราะนอกจากมหาลัยที่มีชื่อเสียงด้านต่างในแต่ละสาขาหรือตัวมหาวิทยาลัยแล้ว สภาพแวดล้อม การเป็นอยู่ ค่าครองชีพ บุคลกร การบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก อากาศและอื่นๆ ก็สำคัญมากในการเลือกมหาวิทยาลัย หลักๆตอนเฟียสเลือกคือ เป็นมหาวิทยาลัยฝั่ง South เนื่องด้วยเรื่องของอากาศและความใกล้เมืองหลวงอย่างลอนดอน เผื่อต้องไปทำเอกสารกับสถานทูตทั้งไทยและประเทศอื่นๆหรือติดต่อธุระต่างๆ ตอนนั้นมีตัวเลือกเป็น Exeter, Southampton, Portsmouth,East Anglia และ London ไปครั้งนี้เฟียสเลือกให้เอเจนซี่ช่วยค่ะ ซึ่งเค้าไม่คิดค่าใช้จ่ายและก็ให้คำปรึกษาเลือกมหาลัยได้ดีมากกก (และตามใจเรามากเช่นกัน อิอิ) ขอบคุณพี่กุ้ง เอเจนซี่ที่น่ารักของเฟียสมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
พอเราได้เราชื่อมหาลัยแล้ว จากนั้นเราก็มาทำความรู้จักว่าแต่ละเมืองเป็นยังไง มีอัตราอาชญากรรมมากน้อยแค่ไหน อากาศ การขนส่งเป็นยังไงบ้าง ส่วนใหญ่ระบบขนส่งที่นี่หลักๆคือรถไฟและรถโค้ชค่ะ รถโค้ชจะถูกกว่าแต่ก็แลกมากับเวลาเดินทางที่มากกว่าด้วยเช่นกัน
มีต่อใน Comment 1 ค่ะ
Comment 1 - Part 2 After Apply
- การทำ Visa สำหรับ Pre-sessional course
Comment 2 - สรุปค่าใช้จ่ายก่อนบินเบื้องต้น
Comment 10 - การเลือกจองตั๋วเครื่องบินสำหรับนักเรียน
Comment 13 - การจัดกระเป๋าก่อนบิน หิ้วอะไรไปบ้าง ไม่ต้องหิ้วอะไรไป Part1
Comment 15 - การจัดกระเป๋าก่อนบิน หิ้วอะไรไปบ้าง ไม่ต้องหิ้วอะไรไป Part2
[CR] How to เรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ [Pre-arrival part]
สวัสดีค่ะๆเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ทุกๆคน วันนี้เฟียสมาทำกระทู้ ‘เรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ ทำยังไงบ้าง??’ จะเขียนไว้ทุกขั้นตอนตั้งแต่เตรียมตัวเรื่องเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ทั้งหมด การ Apply มหาวิทยาลัย เลือกมหาวิทยาลัย ส่งใบสมัครให้ทางมหาวิทยาลัย การสอบ IELTS การเขียน State of Purpose การทำVisa ไปจนถึงการเตรียมตัวทั้งก่อนและหลังมาถึงประเทศอังกฤษค่ะ
หวังว่าการรีวิวจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย สำหรับใครที่กำลังเล็งว่าจะมาเรียนต่อดีรึเปล่าหรือกำลังจะมาเรียนต่อแน่ๆ บางขั้นตอนเฟียสจำได้ไม่ทั้งหมด อาจมีผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนบ้างก็ช่วยกันแสดงความคิดเห็นและแก้ไขด้วยนะคะ จะได้เป็นข้อมูลที่สำคัญให้กับน้องๆรุ่นต่อไปที่จะมาเรียนต่อ ซึ่งขอบอกว่าในกระทู้นี้ส่วนใหญ่จะอธิบาย Process ในการเข้าและสภาพความเป็นอยู่ของ 'University of Southampton' นะคะ ดังนั้นไม่สามารถใช้อธิบายร้อยเปอร์เซ็นกับมหาวิทยาลัยอื่นได้ทั้งหมด
Part1 Before Apply
Step 1 - เตรียมตัว เตรียมใจและเตรียมเกรดให้พร้อมกับการเรียนต่อ
ในสายตาของมหาวิทาลาลัยต่างชาตินะคะ สิ่งที่เราต้องเตรียมตัวเนิ่นๆก่อนจะเริ่มสมัคร (ยกเว้น IELTS นะคะเพราะส่งทีหลังได้ แต่คะแนนต้องถึงตามที่เค้ากำหนด) หลักๆมีสองอย่างเลยคือ
1.เกรดเฉลี่ยจากมหาวิทยาลัย ซึ่งหากช่วงมหาวิทยาลัยพลาดแล้ว เค้าไม่รับฟังนะคะว่าเกรดน้อยเพราะอะไร วิชาไหน เค้ารู้แต่คะแนนรวมมันออกมาไม่ประทับใจ ก็มีสิทธิ์ที่จะถูก Reject จากมหาวิทยาลัยเพราะเกรดน้อยได้เหมือนกันและภาษีจากมหาวิทยาลัยต่างๆมีความแตกต่างกันค่ะ หากเป็นมหาวิทยาลัยที่มี Partner ในต่าประเทศ ทางมหาวิทยาลัยในอังกฤาเค้าจะรู้จักมหาวิทยาลัยนั้นๆมาก่อนแล้ว ที่สำคัญบางมหาวิทยาลัยทั้งเอกชนและรัฐ ต่างมี Education Partner ที่แตกต่างกันค่ะ ในที่นี้ หากคุณสนใจ Partner ของมหาวิทยาลัยของคุณอยู่แล้ว มันจะช่วยทำให้การพิจารณาใบสมัครของเราง่ายขึ้น (แต่ไม่ได้ง่ายเลยนะคะ แค่ง่ายขึ้น) ที่สำคัญคือบางสาขานั้น Require เรื่อง Bachelor deree แบเฉพาะเจาะจง ก็ต้องพิจารณา Condition ของมหาวิทยาด้วยค่ะ แต่ในเคสของเฟียส เฟียสเรียนจบ สังคมสงเคราะห์ ธรรมศาสตร์มาตอนปริญญาตรีค่ะ แต่สมัครเข้าเรียนชั้นปริญญาโท สาขาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ ซึ่งใน Condition ของคณะเฟียสเค้าไม่ได้ Require ว่าต้องจบอะไรมาค่ะ
2.ประสบการณ์ทำงานหรือประสบการณ์เฉพาะด้าน บางคณะและสาขา Require ประสบการณ์ทำงานบ้างค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MBA ถ้าจำไม่ผิดจะต้องมีประสบการณ์การทำงานในด้านที่เรียนมากกว่า 2 ปีขึ้นไป บางคณะก็ไม่มีประสบการณ์ทำงานขั้นต่ำค่ะ แต่มีเพื่อนเฟียสหลายคนที่โดน Reject จากบางมหาวิทยาลัย เนื่องจากให้เหตุผลว่าไม่มีประสบการณ์ทำงานด้านนั้นเพียงพอ แต่พอไปสมัครสาขาแบบเดียวกัน อีกมหาวิทยาลัยหนึ่ง เค้าก็รับ แบบนี้ก็มีเหมือนกันค่ะ
Step 2 - IELTS TEST
พอเกรดเราพร้อม ประสบการณ์ทำงานพร้อม อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากกกกกกก ที่มหาวิทยาลัยจะดูคือคะแนน IELTS Test ค่ะ ซึ่งตอนนี้ทางประเทศอังกฤษ Require แล้วว่าการจะมาเรียนต่อที่นี่ ต้องใช้ IELTS ประเภท UKVI เท่านั้น ซึ่งการสอบหนึ่งครั้งจะเสียค่าใช้จ่ายประมาณหนึ่งหมื่นบาทค่ะ หลายๆคนจึงพยายามทำข้อสอบและเตรียมพร้อมสำหรับการสอบเพราะว่าสอบครั้งนึงก็ไม่ได้จะถูกเลยจริงไหมค่ะ ซึ่งหลายๆคนก็ยอมจ่ายค่าเรียนพิเศษเพื่อให้อาจารย์ชาวต่างชาติเป็นผู้สอนเทคนิคต่างๆ เฟียสก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เรียนตามสถาบันสอนพิเศษ (แต่เรียนแค่ 2คอร์สแล้วสอบเลย ครั้งเดียวพอคะแนนผ่านเกณฑ์เบื้องต้นแล้ว ก็ไม่สอบแล้วค่ะ เหนื่อย 5555)
IELTS จะประกอบด้วยทักษะทั้งสี่ ฟัง พูด อ่าน เขียน รายละเอียดอื่นๆสามารถหาอ่านได้ตาม Website นะคะเพราะคิดว่ามีคนมารีวิวข้อสอบ IELTS เยอะมากและส่วนใหญ่แล้วรุปแบบของข้อสอบจะจะไม่หนีรูปแบบเดิมๆ แต่จะปรับเปลี่ยนทริค เรื่องราวและเนื้อหาค่ะ
เราต้องมาดูก่อนว่า มหาวิทยาลัยที่เราจะไปนั้นเค้า Require IELTS score ที่เท่าไหร่ ของเฟียส เค้า เอาที่ Overall 6.5- Speaking&Listening 6 และ Writing&Reading 6.5 สำหรับ Uncondition Offer (หมายถึง Offer จากมหาวิทยาลัยที่ไม่ต้องมาเรียนเพิ่มเติมก่อน Course จะเริ่ม) ของเฟียสนั้นสอบครั้งแรกได้ Overall 5.5 ก็หยุดที่ตรงนั้นเลยค่ะ 55555555 และยอมรับเงื่อนไขของ Condition Offer คือ ก่อนเริ่มเรียนต่อโท ต้องมาเรียน Pre-sessiional corse แบบ 11 weeks+Online 5 weeks ซึ่งการจะเรียนมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับคะแนน IELTS ค่ะ ซึ่งคะแนนเราถือว่าไม่ได้เก่งอะไร แต่ไม่ย่ำแย่ติดดิน ซึ่งค่าใช้จ่ายในการเรียน Presessional ต้องจ่ายเพิ่มต่างหากจากค่าเรียนโทประมาณ 4,300 ปอนด์ หรือประมาณ สองแสนกว่าบาทค่ะ ค่าเรียนนี้รวมไปถึงหอพักของมหาวิทยาลัยระหว่างที่เรียน Pre ระยะเวลาเกือบสามเดือนทั้งหมด หากมาถึงที่นี่ ช่วงตอนเรียน Pre ก็ไม่ต้องจ่ายค่าอะไรเพิ่มเติมแล้วค่ะเพราะได้รวมอยู่ในเงินจำนวนสองแสนบาทอยู่แล้ว
เคยอ่านมาจากกระทู้สมัยก่อนจะมีคนมาโต้เถียงว่า คะแนนผ่านแล้ว ควรเรียนพรีดีไหมหรือไม่เรียนดี สำหรับความคิดของเฟียสนะคะ เฟียสแนะนำว่าควรเรียนค่ะ แต่จะเรียน 11 weeks หรือ 6 weeks ก็แล้วแต่กำลังทรัพย์เลยค่ะ หากไม่ได้เดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก เฟียสว่าการเลือกเรียนพรีระยะเวลาใดระยะเวลาหนึ่งก็ถือว่าเป็นการปรับตัวที่ดีค่ะ เพราะการเขียนงานที่นี่ก็ค่อนข้างต่างจากบ้านเรา ที่นี่เค้าซีเรียสเรื่อง Plagiarism หรือการลอกงานชาวบ้านมามากๆค่ะ ทุกครั้งที่เขียนงาน ‘จำเป็นต้อง’ เปลี่ยน wording ด้วยการ Summarize ทุกครั้งและต้องใส่ที่มาเสมอว่าเอามาจากที่ไหน แม้แต่งานเขียน 200-500 words แค่หน้ากระดาาเอสี่ ก็จำเป็นต้องอ้างอิงทุกครั้งที่หยิบงานคนอื่นมาเขียนค่ะ และเรื่องอื่นๆๆทั้งการเขียน การฟัง วัฒนธรรม การ Presentation และ Discussion อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญของการเรียนพรีคือ เพื่อนค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคนจีน คนไทย คนตะวันออกหลาง คนญี่ปุ่น โคลอมเบีย สเปน มีเพื่อนเยอะแยะเต็มไปหมด การเรียนพรีทำให้ได้เพื่อนเยอะมากกกกก เพื่อนของเพื่อนของเพื่อน ก็กลายมาเป็นเพื่อนกัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะค่อยๆฝึกภาษาไปพร้อมๆกันด้วยค่ะ เพราะในความเป็นจริงแล้ว การมาเรียนต่อ ชีวิตไม่ได้สถิตอยู่แค่ หอ ห้องสมุด โรงอาหารและมหาวิทยลัยนะคะ สังคมเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เราจะได้รับอะไรมากขึ้น ทั้งข้อมูลต่างๆในการใช้ชีวิต เพื่อนช่วยจำเวลามีข้อสอบ งาน การบ้านหรือเทศกาลพิเศษต่างๆ รวมถึงการเรียนรู้วัฒนาธรรมอื่นๆซึ่งนำมาซึ่งความเข้าใจความแตกต่างของบุคคล เฟียสว่านี่คือประโยชน์หลักๆของการเรียน Presessional ค่ะ
Step 3 - SEARCHING UNIVERSITY and State of Purpose (SOP)
พอเราพร้อมสำหรับสมรภูมินี้แล้วนั้น สิ่งที่จำเป็๋นลำดับต่อมาก็คือ เรียนรู้ตัวเองค่ะ ว่าชอบอะไรไป ชอบในสาบงานไหน แล้วอยากจะศึกษาต่อสายงานไหน เพื่อนที่มาเรียนที่นี่ตอนนี้หลายๆคนทำงานก่อนแล้วค่อยมาและอีกหลายคนที่เรียนจบแล้วมาเรียนต่อโทเลย เอาแบบที่เฟียสแนะนำนะคะ ควรจะ ย้ำนะ แค่ ‘ ควรจะ’ มีประสบการณ์ทำงานมาก่อนซักครึ่งปีถึงหนึ่งปีขึ้นไปค่ะ เพราะเราจะได้เรียนรู้ตัวเองว่าวายงานที่เราจะจ่ายเงินเป็นล้านๆไปเรียนเนี่ย เราชอบมันจริงๆรึเปล่า หรือแค่เรียนเอาฆ่าเวลาไม่มีอะไรทำ ตามกระแสนิยม ที่นี่ส่วนใหญ่คนไทยจีน จะเลือกเรียนสาย Business กันเยอะมาก โดยเฉพาะ Marketing, Digital Marketing, Finance, Banking, Management, International Management และอื่นๆ ส่วนคนที่เรียนในสาขาอื่นๆ ก็แยกกันไปตามสาขาที่ตนเองสนใจค่ะ แต่ประเด็นสำคัญของตรงนี้คือ รู้ตัวเองก่อนว่าอยากจะเรียนอะไร แล้วไอ้ที่เรียนจบโทจากที่นี่จะเอาไปต่อยอดยังไงได้บ้าง
ความชอบในสาขานี้เอง บวกกับประสาบการณ์ทำงาน จะทำให้เกิด SOP (Statement of Putpose) หรือเรียงความการแนะนำตนเองเพื่อส่งไปยังคณะสาขาที่ตนเองสนใจ เพื่อให้คณะรับเราพิจารณาเข้าศึกษาต่อ SOP นั้นสำคัญฉไน?? มันเหมือนเป็นใบปะหน้าค่ะ ว่าเราสนใจอะไร ความคิดเราเป็นยังไง เรามีความอยากเข้ามหาลัยนั้นๆมากน้อยแค่ไหนและเราจะสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับมหาวิทยาลัยเค้าได้รึเปล่า ส่วนเกณฑ์การคัดเนี่ย เฟียสไม่สามารถทราบได้จริงๆเพราะอยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละมหาวิทยาลัย แต่ก็เชื่อว่าแต่ละมหาวิทยาลัยมีลักษณ์การคัดกรองเด็กเข้ามาที่แตกต่างกันค่ะ
เมื่อได้ SOP คร่าวๆแล้ว สิ่งหนึ่งที่น่าจะต้องมาพร้อมกันคือ รายชื่อคณะ สาขา และมหาวิทยาที่ตัวเองสนใจค่ะ อย่างเฟียสเองก็สนใจในสาขา Marketing ซึ่งตัวการตลาดเนี่ย มันมีทั้งแบบ MM (Marketing Management) และแตกแยกย่อยไปอีกในหลายๆสาขา ตอนแรกเฟียสก็อยากเรียน Luxury Marketing แตเพราะเป็นความชอบส่วนตัวด้วย แต่ไปๆมาๆ คิดได้ว่า ถ้าเรียนเฉพาะไป แล้วกลับไปทำงานมันจะทำให้บริษัทที่เราทำงานด้วยมีไม่กว้างเท่ากับเรียน MM ปกติ จึงเลือกเรียนการจัดการการตลาด ค่ะ ในส่วนของมหาวิทยาลัยนั้น การเลือกค่อนข้างสำคัญมากกกกกก นะคะ เพราะนอกจากมหาลัยที่มีชื่อเสียงด้านต่างในแต่ละสาขาหรือตัวมหาวิทยาลัยแล้ว สภาพแวดล้อม การเป็นอยู่ ค่าครองชีพ บุคลกร การบริการ สิ่งอำนวยความสะดวก อากาศและอื่นๆ ก็สำคัญมากในการเลือกมหาวิทยาลัย หลักๆตอนเฟียสเลือกคือ เป็นมหาวิทยาลัยฝั่ง South เนื่องด้วยเรื่องของอากาศและความใกล้เมืองหลวงอย่างลอนดอน เผื่อต้องไปทำเอกสารกับสถานทูตทั้งไทยและประเทศอื่นๆหรือติดต่อธุระต่างๆ ตอนนั้นมีตัวเลือกเป็น Exeter, Southampton, Portsmouth,East Anglia และ London ไปครั้งนี้เฟียสเลือกให้เอเจนซี่ช่วยค่ะ ซึ่งเค้าไม่คิดค่าใช้จ่ายและก็ให้คำปรึกษาเลือกมหาลัยได้ดีมากกก (และตามใจเรามากเช่นกัน อิอิ) ขอบคุณพี่กุ้ง เอเจนซี่ที่น่ารักของเฟียสมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
พอเราได้เราชื่อมหาลัยแล้ว จากนั้นเราก็มาทำความรู้จักว่าแต่ละเมืองเป็นยังไง มีอัตราอาชญากรรมมากน้อยแค่ไหน อากาศ การขนส่งเป็นยังไงบ้าง ส่วนใหญ่ระบบขนส่งที่นี่หลักๆคือรถไฟและรถโค้ชค่ะ รถโค้ชจะถูกกว่าแต่ก็แลกมากับเวลาเดินทางที่มากกว่าด้วยเช่นกัน
มีต่อใน Comment 1 ค่ะ
Comment 1 - Part 2 After Apply
- การทำ Visa สำหรับ Pre-sessional course
Comment 2 - สรุปค่าใช้จ่ายก่อนบินเบื้องต้น
Comment 10 - การเลือกจองตั๋วเครื่องบินสำหรับนักเรียน
Comment 13 - การจัดกระเป๋าก่อนบิน หิ้วอะไรไปบ้าง ไม่ต้องหิ้วอะไรไป Part1
Comment 15 - การจัดกระเป๋าก่อนบิน หิ้วอะไรไปบ้าง ไม่ต้องหิ้วอะไรไป Part2