เริ่มเรื่องนะครับ
- วันที่ 18 มค. 2560 ที่ผ่านมาลูกสาว (น้อง จ.) อายุ 2 ขวบ 9 เดือน ได้มีอาการปวดขั้นรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ ผมจึงได้พาไปหาหมอที่รพ. V(ศรีนครินทร์) ช่วงกลางดึก แล้วได้พบกับหมอเวรที่ประจำอยู่ จากการตรวจหมอได้แจ้งว่าน้องมีอาการปวดท้องทั่วไปแล้วให้กับบ้าน แต่ผมได้แจ้งว่าขอนอนดูอาการเพราะว่าน้องมีประกันอยู่ (งดน้ำ-งดอาหาร)
- วันที่ 19 มค. 2560 พอรุ่งเช้าก็ได้มีหมอเด็กเฉพาะทางมาตรวจ แล้วก็ได้ทำการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซีทีสแกน (CT-scan) ผลออกมาว่าน้องเป็นไส้ติ่งอักเสบ แล้วได้ทำการผ่าตัดตอนช่วงบ่าย (ทางรพ.ให้เราเซ็นยินยอม) หลังจากการผ่าตัดเสร็จแล้วน้องก็ยังมีอาการปวดอยู่ และในคืนนั้นน้องได้เกิดอาการช็อก อย่างไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทางรพ.ก็ได้ทำการรักษาน้องจนได้สติขึ้นมา แล้วได้ทำการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์อีกครั้ง (ซึ่งมีค่าใช้จ่ายทุกครั้ง) ผลออกมาว่าน้องลำไส้อักเสบ (ตอนแรกแจ้งว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ) ก็เลยถามหมอไปว่าทำไมเอกซเรย์ครั้งแรกแจ้งว่าไส็ติ่ง แต่เอกซเรย์ครั้งที่สองบอกเป็นลำไส้ (หมอให้เหตุผลว่าตอนเอกซเรย์ น้องดิ้นเลยทำให้ผลเอกซเรย์ไม่ชัด) จึงได้ให้น้องเข้าไปอยู่ห้อง ICU เพื่อดูอาการอีก (งดน้ำ-งดอาหาร)
- วันที่ 20 มค. 2560 วันนี้น้องก็ยังคงนอนอยู่ที่ห้อง ICU 1 วันเต็มๆ โดยที่ไม่ได้รับการรักษาอะไร นอกจากการให้น้ำเกลือและก็ยา แต่ไม่มีการรักษาที่เกี่ยวกับลำไส้ ผมจึงได้สอบถามทางหมอที่ผ่าตัดไส้ติ่งในตอนแรก แล้วก็ซึ่งได้คำตอบว่าทางรพ. V ว่าไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านลำไส้ที่จะสามารถทำการรักษาหรือผ่าตัดได้ พอได้คำตอบแบบนี้ผมถึงกับอึ้ง...พูดไม่ออก ไปไม่เป็นเลย จึงได้ถามหมอว่าพอจะมีทางไหนหรือรพ.ไหน ที่จะสามารถรักษาต่อได้ไหม ทางหมอก็ได้แจ้งกับมาหลังจากติดต่อไปยังรพ.อื่นๆที่มีศักยภาพมากกว่า ว่าไม่มีรพ.ที่ไหนรับเพราะว่าน้องได้มีการผ่าตัดไส้ติ่งไปแล้ว และตอนนี้น้องได้เป็นลำไส้อักเสบจึงทำให้เสี่ยงต่อการเคลื่อนย้ายไปรักษา ซึ่งในตอนนั้นผมกับครอบครัวถึงกับหมดความหวังในการรักษาน้อง ไม่รู้จะหาทางไหน มองไปทางไหนก็มึดไปหมด (แต่) ในความโชดร้ายก็ยังมีความโชดดีอยู่ เพราะในคืนที่น้องช็อกหมอสติไป ทางรพ. V ได้ติดต่อไปยังรพ. S (ลาดกระบัง) เพื่อเชิญหมอเฉพาะทางด้านลำไส้มาดูอาการของน้อง แล้วได้ทำเรื่องขอย้ายคนไข้ไปรักษาต่อยังรพ. S
- วันที่ 21 มค. 2560 น้องได้ถูกย้ายมารพ. S ตอนช่วงประมาณบ่าย 3 โมง หมอได้ทำการเอกซเรย์อีกครั้ง ผลก็ยืนยันว่าเป็นเกี่ยวกับลำไส้ น้องจึงต้องทำการผ่าตัดภายในวันนั้น แล้วหลังจากผ่าตัดเสร็จหมอได้แจ้งว่าที่น้องปวดท้องมาก ก็คือ ลำไส้พันกัน(***ย้ำ***) เกิดจากสำไส้เล็กได้ทำการพันกันจนไม่สามารถคายออกเองได้ แล้วก็ได้พันกันจนลำไส้เล็กติดเชื้อ ซึ่งมีผลทำให้น้องติดเชื้อในกระแสเลือด (หลังจากผ่าตัด) น้องก็ได้อยู่ห้อง ICU ตั้งแต่วันนั้นเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ระหว่างที่ห้อง ICU เพื่อทำการรักษาตัวก็ได้มีแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อในกระแสเลือด
***ผมขอย่อเรื่องเลยนะครับ ตอนนี้น้องได้รู้สึกตัวขึ้นมาแล้วได้ประมาณ 3 สัปดาห์ น้องยังคงรักษาตัวอยู่รพ. S เพื่อรอดูการจากการผ่าตัดลำไส้***
สิ่งที่ผมสงสัยเกี่ยวกับการรักษาของรพ. V ก็คือ
1.ผลการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซีทีสแกน (CT-scan) มันน่าจะเห็นภายในร่างกายได้อย่างชัดเจน มากกว่าการเอกซเรย์แบบปกติทั่วไป แล้วถ้าการเอกซเรย์ในครั้งแรกไม่ชัดเจนอย่างที่หมอได้บอกไว้ ทำไมไม่เอกซเรย์จนกว่าจะได้ผลที่ชัดเจนเพื่อใช้การรักษา
2.ไส้ติ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่าลำไส้เล็กมาก ทำไมผลเอกซเรย์ถึงได้ไม่เห็น ???
3.ทางหมอไม่ทราบเลยหรือว่าถ้าทำการผ่าตัดอะไรไปแล้ว จะไม่สามารถทำเรื่องการย้ายรพ.ได้ เพราะว่าการย้ายรพ.ไปรักษาตัวต่อมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้วถ้ารพ.V ไม่มีหมอที่เฉพาะทางลำไส้ก็ไม่ควรผ่าไส้ติ่งตั้งแต่แรก อย่างน้อยก็ควรที่แนะนำรพ.ที่มีความพร้อมเรื่องการรักษาไม่ใช่ผ่าไปแล้ว แล้วก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
4.การที่น้องติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นผลมาการผ่าตัดไส้ติ่งหรือเปล่า ???
5.แล้วถ้าในคืนที่น้องช็อกหลังจากการผ่าตัด ถ้าเกิดอะไรขึ้นทางรพ.V (ตัวหมอ) จะรับผิดอะไรได้...
6.อยากทราบว่าแบบนี้ถือเป็นการวินิจฉัยโรคผิดไหมครับ อาการหลักคือลำไส้พันกัน หรือไส้ติ่งอักเสบ
7.แบบนี้ทางรพ.V หรือหมอที่ผ่าตัด ควรจะรับผิดชอบอะไรได้บ้าง เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
หมายเหตุ
- เนื้อเรื่องที่ท่านได้อ่านผมต้องขออนุญาตย่อ เพราะขั้นตอนการรักษามีรายละเอียดเยอะมากครับ
- เนื้อเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ไม่ได้แต่งขึ้นเพื่อต้องการทำลายชื่อของรพ.ดังกล่าว
ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่อ่าน และแนะนำแนวทางให้นะครับ
ถ้าหมอทำการวินิจฉัยโรคผิดพลาด เราสามารถทำอะไรได้บ้าง
- วันที่ 18 มค. 2560 ที่ผ่านมาลูกสาว (น้อง จ.) อายุ 2 ขวบ 9 เดือน ได้มีอาการปวดขั้นรุนแรงโดยไม่มีสาเหตุ ผมจึงได้พาไปหาหมอที่รพ. V(ศรีนครินทร์) ช่วงกลางดึก แล้วได้พบกับหมอเวรที่ประจำอยู่ จากการตรวจหมอได้แจ้งว่าน้องมีอาการปวดท้องทั่วไปแล้วให้กับบ้าน แต่ผมได้แจ้งว่าขอนอนดูอาการเพราะว่าน้องมีประกันอยู่ (งดน้ำ-งดอาหาร)
- วันที่ 19 มค. 2560 พอรุ่งเช้าก็ได้มีหมอเด็กเฉพาะทางมาตรวจ แล้วก็ได้ทำการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซีทีสแกน (CT-scan) ผลออกมาว่าน้องเป็นไส้ติ่งอักเสบ แล้วได้ทำการผ่าตัดตอนช่วงบ่าย (ทางรพ.ให้เราเซ็นยินยอม) หลังจากการผ่าตัดเสร็จแล้วน้องก็ยังมีอาการปวดอยู่ และในคืนนั้นน้องได้เกิดอาการช็อก อย่างไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทางรพ.ก็ได้ทำการรักษาน้องจนได้สติขึ้นมา แล้วได้ทำการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์อีกครั้ง (ซึ่งมีค่าใช้จ่ายทุกครั้ง) ผลออกมาว่าน้องลำไส้อักเสบ (ตอนแรกแจ้งว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ) ก็เลยถามหมอไปว่าทำไมเอกซเรย์ครั้งแรกแจ้งว่าไส็ติ่ง แต่เอกซเรย์ครั้งที่สองบอกเป็นลำไส้ (หมอให้เหตุผลว่าตอนเอกซเรย์ น้องดิ้นเลยทำให้ผลเอกซเรย์ไม่ชัด) จึงได้ให้น้องเข้าไปอยู่ห้อง ICU เพื่อดูอาการอีก (งดน้ำ-งดอาหาร)
- วันที่ 20 มค. 2560 วันนี้น้องก็ยังคงนอนอยู่ที่ห้อง ICU 1 วันเต็มๆ โดยที่ไม่ได้รับการรักษาอะไร นอกจากการให้น้ำเกลือและก็ยา แต่ไม่มีการรักษาที่เกี่ยวกับลำไส้ ผมจึงได้สอบถามทางหมอที่ผ่าตัดไส้ติ่งในตอนแรก แล้วก็ซึ่งได้คำตอบว่าทางรพ. V ว่าไม่มีแพทย์เฉพาะทางด้านลำไส้ที่จะสามารถทำการรักษาหรือผ่าตัดได้ พอได้คำตอบแบบนี้ผมถึงกับอึ้ง...พูดไม่ออก ไปไม่เป็นเลย จึงได้ถามหมอว่าพอจะมีทางไหนหรือรพ.ไหน ที่จะสามารถรักษาต่อได้ไหม ทางหมอก็ได้แจ้งกับมาหลังจากติดต่อไปยังรพ.อื่นๆที่มีศักยภาพมากกว่า ว่าไม่มีรพ.ที่ไหนรับเพราะว่าน้องได้มีการผ่าตัดไส้ติ่งไปแล้ว และตอนนี้น้องได้เป็นลำไส้อักเสบจึงทำให้เสี่ยงต่อการเคลื่อนย้ายไปรักษา ซึ่งในตอนนั้นผมกับครอบครัวถึงกับหมดความหวังในการรักษาน้อง ไม่รู้จะหาทางไหน มองไปทางไหนก็มึดไปหมด (แต่) ในความโชดร้ายก็ยังมีความโชดดีอยู่ เพราะในคืนที่น้องช็อกหมอสติไป ทางรพ. V ได้ติดต่อไปยังรพ. S (ลาดกระบัง) เพื่อเชิญหมอเฉพาะทางด้านลำไส้มาดูอาการของน้อง แล้วได้ทำเรื่องขอย้ายคนไข้ไปรักษาต่อยังรพ. S
- วันที่ 21 มค. 2560 น้องได้ถูกย้ายมารพ. S ตอนช่วงประมาณบ่าย 3 โมง หมอได้ทำการเอกซเรย์อีกครั้ง ผลก็ยืนยันว่าเป็นเกี่ยวกับลำไส้ น้องจึงต้องทำการผ่าตัดภายในวันนั้น แล้วหลังจากผ่าตัดเสร็จหมอได้แจ้งว่าที่น้องปวดท้องมาก ก็คือ ลำไส้พันกัน(***ย้ำ***) เกิดจากสำไส้เล็กได้ทำการพันกันจนไม่สามารถคายออกเองได้ แล้วก็ได้พันกันจนลำไส้เล็กติดเชื้อ ซึ่งมีผลทำให้น้องติดเชื้อในกระแสเลือด (หลังจากผ่าตัด) น้องก็ได้อยู่ห้อง ICU ตั้งแต่วันนั้นเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ระหว่างที่ห้อง ICU เพื่อทำการรักษาตัวก็ได้มีแทรกซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อในกระแสเลือด
***ผมขอย่อเรื่องเลยนะครับ ตอนนี้น้องได้รู้สึกตัวขึ้นมาแล้วได้ประมาณ 3 สัปดาห์ น้องยังคงรักษาตัวอยู่รพ. S เพื่อรอดูการจากการผ่าตัดลำไส้***
สิ่งที่ผมสงสัยเกี่ยวกับการรักษาของรพ. V ก็คือ
1.ผลการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ซีทีสแกน (CT-scan) มันน่าจะเห็นภายในร่างกายได้อย่างชัดเจน มากกว่าการเอกซเรย์แบบปกติทั่วไป แล้วถ้าการเอกซเรย์ในครั้งแรกไม่ชัดเจนอย่างที่หมอได้บอกไว้ ทำไมไม่เอกซเรย์จนกว่าจะได้ผลที่ชัดเจนเพื่อใช้การรักษา
2.ไส้ติ่งซึ่งมีขนาดเล็กกว่าลำไส้เล็กมาก ทำไมผลเอกซเรย์ถึงได้ไม่เห็น ???
3.ทางหมอไม่ทราบเลยหรือว่าถ้าทำการผ่าตัดอะไรไปแล้ว จะไม่สามารถทำเรื่องการย้ายรพ.ได้ เพราะว่าการย้ายรพ.ไปรักษาตัวต่อมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แล้วถ้ารพ.V ไม่มีหมอที่เฉพาะทางลำไส้ก็ไม่ควรผ่าไส้ติ่งตั้งแต่แรก อย่างน้อยก็ควรที่แนะนำรพ.ที่มีความพร้อมเรื่องการรักษาไม่ใช่ผ่าไปแล้ว แล้วก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
4.การที่น้องติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นผลมาการผ่าตัดไส้ติ่งหรือเปล่า ???
5.แล้วถ้าในคืนที่น้องช็อกหลังจากการผ่าตัด ถ้าเกิดอะไรขึ้นทางรพ.V (ตัวหมอ) จะรับผิดอะไรได้...
6.อยากทราบว่าแบบนี้ถือเป็นการวินิจฉัยโรคผิดไหมครับ อาการหลักคือลำไส้พันกัน หรือไส้ติ่งอักเสบ
7.แบบนี้ทางรพ.V หรือหมอที่ผ่าตัด ควรจะรับผิดชอบอะไรได้บ้าง เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายอื่นๆ
หมายเหตุ
- เนื้อเรื่องที่ท่านได้อ่านผมต้องขออนุญาตย่อ เพราะขั้นตอนการรักษามีรายละเอียดเยอะมากครับ
- เนื้อเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ไม่ได้แต่งขึ้นเพื่อต้องการทำลายชื่อของรพ.ดังกล่าว
ผมต้องขอขอบคุณทุกท่านที่อ่าน และแนะนำแนวทางให้นะครับ