Iceland : ใครเค้าไปตามดูแสงเหนือกัน!

สวัสดีครับ ตอนเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ได้มีโอกาสไปเที่ยวประเทศไอซ์แลนด์ (Iceland) โดยมีเป้าหมายหลักคือการไปชม Landscape ต่างๆภายในประเทศ ไม่เน้นไปที่แสงเหนือสักเท่าไหร่ ...จริงๆคือไม่ค่อยเจอ ร้องไห้ร้องไห้

        ประเทศไอซ์แลนด์เป็นประเทศเล็กๆ ซึ่งการขับวนรอบประเทศนั้นจะมีถนนที่เรียกว่า Ringroad ซึ่งถ้าเราขับวนไปถามถนน Ringroad จะวนไปรอบเกาะ (ขออนุญาตเรียก ไอซ์แลนด์ เป็นเกาะ) โดยมีระยะทางเพียงแค่ 1300 กิโลเมตร (ไม่นับเวลาขับวนเข้าไปตามสถานที่ต่างๆ)



การเดินทาง
        การบินไปประเทศไอซ์แลนด์จะไม่มีสายการบินที่บินตรงไปยังประเทศไอซ์แลนด์โดยตรง จำเป็นต้องบินไปยังประเทศทางแถบยุโรปและต่อเครื่องไป โดยในครั้งนี้ผมได้เลือกสายการบิน Emirate (มีโปรโมชั่นพอดี) บินไปที่ Copenhagen แล้วต่อเครื่องของ IcelandAir ไปที่ไอซ์แลนด์อีกทีนึง

        ในส่วนของการเดินทางในประเทศ ผมจะใช้เป็นรถบ้าน ซึ่งเช่าจากบริษัท KukuCamper ซึ่งบริษัทนี้จะขึ้นชื่อเรื่องสภาพของรถ แต่สำหรับคนที่ขับแต่เกียร์ Auto คงไม่มีตัวเลือกมากนัก
    
        ไอซ์แลนด์ เป็นประเทศที่ค่อนข้างเสียเวลาในการเดินทางมาก เพราะ กฏหมายของประเทศจำกัดความเร็วไว้ที่ “90 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง” ซึ่งในความจริงก็อาจจะมีขับเกินไปบ้าง แต่เพราะรถใหญ่ และลมแรงสุดท้ายก็คุมความเร็วตัวเองอยู่ดี

ค่าปรับแพงนะครับบอกไว้ก่อน

ลักษณะตัวรถ

จะเห็นว่ารถที่เช่ามามีลักษณะคล้ายรถตู้ โดยภายในจะแบ่งเป็นหลักๆ 3 ส่วน

Part1 เป็นส่วนของคนขับ
Part2 เป็นส่วนของจุดขึ้นลงรถและทำอาหาร
Part3 เป็นที่นั่งและที่นอน

รถนอนได้ทั้งหมด 5 คน (ผมไปกันสี่คน) Part3 ที่เป็นที่นั่งสามารถถอดโต๊ะแล้วเอาที่พิงมาทำเป็นเบาะนอนทำให้สามารถนอนสามคนได้ ส่วน Part2 ในจุดขึ้นลงรถและทำอาหารรถสูงในระดับที่เดินไม่ต้องก้ม อีกทั้งเดินสวนกันไปมาได้เลยทีเดียว

อ้างอิงภาพจาก Website : http://www.kukucampers.is/cars/category-ca/ นะครับ ไม่ได้ถ่ายภายในมา

ใครที่สามารถขับรถเกียร์กระปุกได้ ลองหารถรุ่นอื่นดูราคาถูกลงไปอีกพอสมควรครับ


การจอดรถ
- ทางที่ดีควรจอดตาม Campsite ทางร้านเช่ารถจะมีแผนที่มาให้ ข้อดีคือมีห้องน้ำ มีที่อาบน้ำ แต่ส่วนมากจะเสียเงินถ้าอาบน้ำ
- ตามปั๊มน้ำมันจอดนอนได้มั้ย : ไม่ทราบครับแต่ผมจอดนอนมาแล้วเพราะหา Campsite ไม่เจอ 555


การทำอาหาร
- ภายในรถจะมี เตาแก๊สแบบพกพามาให้พร้อมอุปกรณ์ทำอาหารเช่น หม้อ กระทะ จานชาม ช้อนส้อม มีด ไปจนถึงเขียง (ดูได้ใน Website รถยนต์ที่ใส่ไว้ด้านบน)
- ในรถจะมีถังไว้ให้เราเติมน้ำครับ ไว้สำหรับเป็นน้ำใช้ระหว่างเดินทาง สามารถถอดออกมาเติมได้
- อาหาร แวะซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป แนะนำว่าถ้าซื้อเมืองใหญ่จะราคาถูกกว่า
- น้ำ สามารถหาได้ทั่วไป รวมไปจนถึงห้องน้ำตามปั๊ม  น้ำที่ไอซ์แลนด์อร่อยนะครับ ยังกับน้ำแร่เลยทีเดียว >__< (ของผมเติมทุกครั้งที่นอนโรงแรม จะนอนเป็นระยะจะได้ไม่อุดอู้ในรถมากจนเกินไป)


สำคัญอีกอย่างนึงครับ อินเตอร์เน็ต!
ผมใช้ของบริษัท Trawire.com ราคาไม่แพงมากครับ วันละ 10$ ส่วนเน็ต Unlimit   อันนี้  Unlimit จริงๆนะครับ ผมเอาคอมมานั่งทำงานอัพโหลดส่งลูกค้า ใช้ๆไปร่วม 70GB ความเร็วยังเต็มสปีดอยู่เลย


ในการไปเที่ยวครั้งนี้ ผมได้วางแผนที่จะขับรถไปตามถนน Ringroad แบบตามเข็มนาฬิกา หรือก็คือการขึ้นไปเที่ยวซีกบนของเกาะ แล้ววนลงมาด้านล่าง เพราะด้านล่างมักจะฝนตกบ่อยกว่าเลยวางแผนเอาไว้เผื่อใช้เวลานาน

อุปกรณ์ที่ใช้นะครับ
กล้อง : SonyA7R,Canon EOS6D
เลนส์ : Canon16-35F2.8 , Sony16-35F4,24-70F4,70-200F4
อื่นๆ : ขาตั้งกล้อง และ ND Filter ครับ

_____________________________________________________________________


เริ่มแรกหลังจากบินไปถึงประเทศไอซ์แลนด์แล้วเช่ารถ จึงขับรถกันไปที่ Kirkjufell

        Kirkjufell มีชื่อเรียกอีกอย่างนึงว่าภูเขาโบสถ์ ขับจากตัวเมือง Reykjavik ไปประมาณ 3 ชั่วโมง โดยระหว่างเราจะได้ขับผ่านอุโมงค์ลอดใต้ทะเลของประเทศไอซ์แลนด์ซึ่งเสียค่าผ่านด้วย “สามารถรูดบัตร Credit ได้ แต่ต้องดูช่องทางตอนเข้าดีๆ”

        เมื่อขับมาถึง Kirkjufell แล้วจุดจอดรถจะอยู่ตรงข้ามกับตัวภูเขา และมีทางเดินขึ้นไปทางฝั่งตรงข้ามสามารถเดินขึ้นไปเพื่อมองกลับมาชมตัวภูเขาได้

วันที่ไปโชคดีเล็กน้อยครับ เจอเมฆหน้าตาประหลาดด้วย  เป็นเมฆที่เกิดจากเมฆหมุนรอบภูเขาแล้วลอยหลุดออกมา

สังเกตุทางขวา จะเห็นลานจอดรถนะครับ จอดกันเต็มเลย

อันนี้เป็นของแถมนิดหน่อยจากแถบ Kirkjufell ครับ ในแถบนั้นจะมีเส้นทางริมผาให้เดินเล่น ใครสนใจลองหาข้อมูลดูแล้วไปเดินชมเล่นได้ครับ



        จากภูเขา Kirkjufell เราก็ไปกันต่อที่ Húsavík ตรงนี้ทางเข้าจะค่อนข้างแย่หากใครขับรถที่มีขนาดใหญ่หรือรถบ้านจำเป็นต้องระวัง ทางจะไม่เหมือนถนนลูกรังประเทศเรา ถนนจะเป็นหลุมขนาดใหญ่เล็กปนๆกันไป และบางทีมีรถสวนมากซะด้วย

จะเห็นว่าทางเป็นหลุมตลอดต้องขับหลบเอา ถ้าแย่กว่านี้ก็จะมีหลุมและเนินไปพร้อมๆกัน

        Húsavík จุดท่องเที่ยวหลักๆจะมีหินอยู่กลางทะเล มีชื่อเรียกเล่นๆว่าหินไดโนเสาร์ โดยจุดถ่ายภาพหลักๆจะมีสองจุด
คือจากจุดชมวิวธรรมดา กับอีกจุดหนึ่งคือเดินลงไปตามทางจากจุดชมวิวซึ่งทางค่อนข้างชัน ในวันที่ไปลมค่อนข้างแรงมากทางลงน่ากลัวเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

ภาพจากจุดชมวิวด้านบน จะเห็นหินที่อยู่ด้านล่าง คือหินที่เรียกกันว่าหินไดโนเสาร์


เมื่อหันไปด้านขวา


ดูวิวจากด้านล่างกันบ้าง



หลังจากนอนหนึ่งคืนที่ Húsavík เป้าหมายต่อไปก็คือ Goðafoss

        Goðafoss มีความหมายว่า Waterfall of God เป็นน้ำตกแห่งแรกตั้งแต่ผมมาถึงไอซ์แลนด์(โดยไม่รู้ว่า เดี๋ยวจะเจอจนเอียน)
การถ่ายภาพน้ำตกที่ไอซ์แลนด์จะมีความลำบากอย่างนึงคือ ลมและน้ำที่แรงมากทำให้มีละอองน้ำฟุ้งกระจายตลอดเวลา เวลาถ่ายไปต้อง ถ่ายไปเช็ดหน้าเลนส์ไป สำหรับใครที่กล้องไม่มี Weather seal ก็อย่าลืมป้องกันกันดีๆ

น้ำตก Goðafoss



        เป้าหมายต่อไป ใกล้กับน้ำตก Goðafoss จะมีน้ำตกใกล้ๆ อีกหนึ่งที่ชื่อว่า Aldeyjafoss ซึ่งจำเป็นต้องเดินเข้าไปประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง (แต่ถ้าเป็นรถยนต์ที่ลุย F-Road ได้ก็สามารถขับเข้าไปและลดเวลาได้มาก) ระหว่างทางก็เดินชมวิวไปเรื่อยๆได้


        Aldeyjafoss เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ น้ำที่ไหลลงมาจะแผ่ออกมาเป็นรูปลักษณะเดียวกับพัดครับน่าจะเป็นเพราะความแรงของน้ำที่ไหลลงมา

น้ำตก Aldeyjafoss



หลังจากออกจาก Aldeyjafoss แล้วก็ขับมุ่งตรงไปที่น้ำตก Dettifoss และ Selfoss

        น้ำตก Dettifoss และ Selfoss จะอยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติประเทศไอซ์แลนด์ ทางที่ขับเข้าไปเปลี่ยวมากและไม่มีไฟถนน ถ้าขับเข้าไปตอนดึกๆหรือออกมาต้องระวังโดยเฉพาะถ้าสภาพอากาศไม่ดี
น้ำตกทั้งสองที่จะจอดรถที่เดียวกัน และเมื่อจอดรถแล้วเดินเข้าไป จะมีป้ายบอกทางให้แยกซ้ายขวาไปน้ำตกคนละแห่ง แต่สำหรับน้ำตกสองที่นี้จะมีจุดจอดรถสองฝั่ง เพราะหุบเขาจะถูกแบ่งแยกโดยแม่น้ำที่เกิดจากน้ำตก ถ้าต้องการข้ามไปอีกฝั่งจำเป็นต้องขับรถอ้อมข้ามไป สำหรับใครที่จะเข้าไปเที่ยวตอนช่วงพระอาทิตย์ตก แนะนำว่าควรพกไฟฉายไปด้วย เพราะที่นั่นไม่มีไฟอะไรเลยถ้ามืดคือมืดสนิทจริงๆ

น้ำตก Dettifoss

ภาพจากมุมสูงสักใบ


น้ำตก Selfoss



หลังจากเที่ยวน้ำตก Dettifoss และ Selfoss เสร็จแล้ว เราก็ตีรถยาวไปทางเมือง Egilsstaðir และวนลงไปทางตะวันตกของเมือง จะเจอน้ำตกที่เรียกว่า Hengifoss

วิวระหว่างทางครับ ขับรถนานก็จริงแต่สองข้างทางก็มีอะไรให้ดูเพลินๆ หรือลงไปถ่ายรูปได้ ปศุสัตว์ที่นี่ค่อนข้างเลี้ยงแบบปล่อยครับแต่เข้าไปจับได้มั้ยนี่ไม่ได้ลอง

เอาแต่กินไม่ได้สนใจคนเลย



        Hengifoss  เป็นน้ำตกที่อยู่ในหุบเขาซึ่งเราต้องเดินขึ้นไปเรื่อยๆจากจุดจอดรถ ประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง แล้วแต่ความอึดและความเร็วในการเดิน เช่นเดิมถ้าไปช่วงพระอาทิตย์ตกควรมีไฟฉายพกติดตัวไปด้วย

ระหว่างทางไปน้ำตก Hengifoss จะมีแกะเลี้ยงอยู่ตามรายทางให้ได้ดูกัน ช่วงพระอาทิตย์ตกย้อนแสงสวยเลยทีเดียว


น้ำตก Hengifoss จริงๆเดินเข้าไปได้จนถึงตัวน้ำตกเลยนะครับ แต่ไม่ได้เข้าไปเพราะชอบจุดถ่ายตรงนี้มากกว่า



        พอเที่ยวน้ำตก Hengifoss เสร็จก็เริ่มการขับรถที่ยาวนาน จากน้ำตก Hengifoss ขับรถยาวไปที่เมือง Höfn โดยที่การเที่ยวต่อจะอยู่รอบๆเมืองนี้ โดยมี Jökusárlón และ Vestrahorn อยู่ เลยตัดสินใจจองโรงแรมนอนที่เมืองนี้ เป็นการพักผ่อนจากการนอนในรถบ้านมาหลายวัน และทำอาหารจริงจังกันกินสักมื้อนึง
ดูอาหารกันมั่ง เดี๋ยวจะเบื่อกัน

        **จาก Hengifoss ขับมาที่ Höfn ผมไม่ได้ขับ Ringroad เนื่องจากมีถนนที่จะตัดลงไปข้างล่างได้ และเชื่อตาม GoogleMap ถ้าใครผ่านมาแนะนำว่าถ้าอากาศไม่ดีให้ขับไปตาม Ringroad เถอะครับ ผมขับตัดมานี่น่ากลัวมาก หมอกลงในลักษณะที่มองทางข้างหน้าแทบไม่เห็น ต้องจอดกระพริบไฟ จนมีรถผ่านมานำหน้าถึงกล้าขับตามไปช้าๆ


ไปต่อกันที่ Vestrahorn
        Vestrahorn อยู่ทางด้านตะวันออกของเมือง Höfn โดยขับไปประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง ไม่ไกลมาก ตรงทางเข้าไปจะมีร้านกาแฟชื่อ Viking Café จะมีคุณลุงคนนึงเป็นคนจัดการ หากใครต้องการขับรถเข้าไปจุดถ่ายรูป หรือจอดรถ Camping นอนค้างคืนต้องจ่ายเงินที่ร้านนี้ ข้างร้านจะมีที่รูดบัตรเครดิตอยู่.. ใช่ครับที่รูดบัตรอยู่ข้างร้าน... ประเทศนี้มีที่รูดบัตรอยู่ทุกที่จริงๆ

ร้านน่ารักครับ คุณลุงคนขายเองก็น่ารักอย่าลืมแวะเข้าไปทานขนมกันได้



ต่อกันที่คอมเม้นที่ 2 นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่