อ่ะ ๆ อย่าเพิ่งด่า อ่านกันให้จบเสียก่อนนะครับ ว่าทำไมถึงต้องมีการปฏิรูปคณะสงฆ์ ชนิดเรียกว่าทั้งระบบใหม่ทั้งหมด " ผลประโยชน์ " ในวงการคณะสงฆ์นี้ หลายคนมองว่า พระสมถะท่านจะเอาเงินมาจากไหน เพ้อเจ้อหรือเปล่า หรือบางคนจะมองว่า เอ๊ะ เป็นคฤหัสถ์ รึจะไปสอนพระได้หรือ ผมขออนุญาตตอบว่า แม้ว่าเราเป็นคฤหัสถ์และในฐานะชาวพุทธนอกจากจะต้องมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น หน้าที่อีกอย่างนึงที่ควรพึงกระทำคือ " การปกป้องพระพุทธศาสนา " มิให้เสื่อมทราม และเป็นที่หลบซ่อนแอบของบุคคลที่ใช้ความศรัทธาเลื่อมใสของชาวพุทธเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ในคราบนักบวชทางพระพุทธศาสนา ผลประโยชน์ในวงการคณะสงฆ์ แบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ
ผลประโยชน์ในวงการผ้าเหลืองต่อผู้มีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใส
คือ เป็นพระที่มีวัตร ปฏิปทาน่าเลือมใส เคารพ กราบได้ไหว้ลง ด้วยปฏิปทา ศีลาจารวัตรของพระ ที่ปฏิบัติตามพระวินัยอย่างจริงจังก็ดี หรือปฏิบัติพอให้เป็นพิธีให้ญาติโยมเห็นว่าวัตรปฏิปทาน่าเลื่อมใสก็ดี ก็จักนำมาซึ่ง
" ลาภสักการะ " อย่างมากมายมหาศาล ที่นี่เมื่อโยมมีความศรัทธาเลื่อมใสแล้ว มีอะไรก็ถวาย ยกทูนหัวให้หมด อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะเป็นอาหารอันปราณีตที่ตั้งใจบรรจงถวายให้พระที่ตนเองเลื่อมใสศรัทธาได้ขบฉัน โดยไม่สนใจว่าครอบครัวจะมีสิ่งใดได้กินได้อยู่ ส่วนอยากมากคือการปรนนิบัติ อุปัฎฐาก ถวายนั่น อำนวยความสะดวกนี้ ไม่ว่าจะทรัพย์สิน เงินทอง ที่ดิน รถรา เมื่อเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จนถึงที่สุดแล้วก็สามารถหามาถวายให้ได้ แม้ว่าจะต้องกู้หนี้ยืมสินมาก็ตาม ดังที่เราจะเห็นแคมเปญการปล่อยสินเชื่อเงินกู้เพื่อการทำบุญของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี เครือข่ายการฟอกเงินของพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย ผู้หลบหนีคดีในขณะนี้
ซึ่งผลประโยชน์เหล่านี้ มีจำนวนมากมายมหาศาลแค่ไหน ไม่มีใครประเมินได้ บางคนศรัทธาพระจนขีดสุด นิมนต์พระทีนึงถึงขนาดให้เฮลิคอปเตอร์ หรือเครื่องบินส่วนตัวไปรับ หรือถวายอำนวยความสะดวกการเดินทางชนิดที่ว่าเศรษฐีเงินล้านบางคนไม่กล้าทำด้วยซ้ำไป บางคนถวายเช็คให้หลวงพ่อกรอกตัวเลขเอาเอง หรือบางท่านถึงขนาดถวายบัตรเครดิตให้พระท่านได้ใช้สอยก็มีเลยทีเดียว สำหรับพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจริงๆ ก็มี ที่ท่านปฏิเสธ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ลูกศิษย์ลูกหานำมาถวายก็มี แต่ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก และเมื่อมีผลประโยชน์เกิดขึ้น ก็ทำให้ปัญหาตามหลังกันมาเยอะแยะ อาทิ แตกคอกันเพราะเรื่องกิจนิมนต์ ที่คนนี้รับโยมคนนั้นไว้ แล้ว แต่ลูกศิษย์อีกคนจะให้ไปงานที่เจ้าภาพถวายมากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า ไปจนถึงเมื่อพระท่านมรณภาพ ก็มาทะเลาะกันเรื่องทรัพย์สินของพระ ว่าจะยังไง จะเป็นของวัด หรือของญาติ หรือของศิษย์ผู้ดูแล เพราะแต่ละคนที่ถวายท่านก็มักอ้างว่า
" ถวายส่วนตัว " กันทั้งนั้น หรือบางครั้งพอผลประโยชน์และลาภสักการะมากขึ้น หนีแอบหนีสึกหาลาเพศหอบเงินทองหายไปเลย ก็มี เหล่านี้คือผลประโยชน์มหาศาล ที่เป็นทุกขลาภในแวดวงผ้าเหลือง
ผลประโยชน์ในวงการผ้าเหลืองต่อการบริหารงานคณะสงฆ์
ต้องยอมรับว่า วงการบริหารงานคณะสงฆ์ หรือปกครองคณะสงฆ์ นั้นมีผลประโยชน์ที่มากมายที่สุด และส่วนใหญ่มักเป็นประโยชน์ในรูป
" ต่างตอบแทน " คือ เธอช่วยฉัน ฉันช่วยเธอ อะไรทำนองนี้ ใครจะขึ้นตำแหน่งนี้ ฉันจะอาสาพาไปพบพระมหาเถระรูปนั้น ที่มีอำนาจพิจารณา ใครจะลงตำแหน่งนี้ ฉันอาสาพาไปคุยกับเลขาเจ้าคณะผู้รับผิดชอบเอง และก็ต้องมีค่าน้ำร้อนน้ำชา ดำเนินการประสาน นั่น โน่น นี่ สารพัด ยิ่งฤดูแต่งตั้งสมณศักดิประจำปี ที่วิ่งกันให้อุตลุด คนนี้ขอพระครูชั้นเอง คนโน้นขอพระครูชั้นพิเศษ รูปนี้ขอเจ้าคุณ ว่ากันไป ก็ไล่กันมาตามลำดับ จากผู้ขอ ส่งเจ้าอาวาส จากเจ้าอาวาสส่งเจ้าคณะตำบล จากเจ้าคณะตำบลส่งเจ้าคณะอำเภอ จากเจ้าคณะอำเภอส่งเจ้าคณะจังหวัด จากเจ้าคณะจังหวัดส่งเจ้าคณะภาค จากเจ้าคณะภาคส่งเจ้าคณะหน จากเจ้าคณะหน ส่งมหาเถรสมาคมพิจารณา หลายขั้นตอน ที่ต้องตรวจทานเอกสารคุณสมบัติ แต่ถ้าอยากจะลัดขั้นตอนตรงนี้ ก็ต้องใช้คาถา
" ดวง " ที่หมายถึง
ด - เด็กใคร ?
หมายถึง เป็น พระที่อยู่ในความดูแลของใคร หรือมีพระผู้หลักผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้มีอำนาจบารมี สนับสนุนไหม
ว - วิ่งเส้นไหน ?
หมายถึงมาเดินเรื่องขอสมณศักดิ์ กับใคร กับพระเถระผู้มีอำนาจ วาสนาบารมี หรือไหม่ หรือว่าเดินกันเองตามยถากรรม
ง - เงินถึงหรือเปล่า ?
ข้อนี้สำมะคัญนักเชียว พระภิกษุผู้
" ขอ " สมณศักดิ์ไปเกือบทั้งหมดใช้เงินวิ่งเต้นกันแทบทั้งนั้น ต่างกับพระภิกษุผู้
" ได้รับ " พระราชทานสมณศักดิ์เป็นกรณีพิเศษ ( หรือเขาเรียกบัญชี 2 ) พระเหล่านี้ไม่ต้องขอ ไม่ต้องวิ่งเต้น แต่ได้มาจาก วัตรปฏิบัติ ผลงานในด้านต่างๆ ของตัวท่านเองโดยแท้จริง ผมยกตัวอย่างนะครับ มีพระอยู่ 2 รูป กำลังของสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร
รูปที่ 1 เป็นพระเจ้าอาวาสวัดธรรมดาๆ มีอายุพรรษาพอสมควรแก่การได้รับสมณศักดิ์แล้ว มีผลงานการสร้างวัด ศาสนสถาน ตามเกณฑ์ ทำเรื่องขอไปตามกระบวนการ
รูปที่ 2 เป็นพระเจ้าอาวาสเช่นกันอยู่วัดธรรมดาๆ เหมือนกัน ไม่มีผลงานการสร้างวัด หรือปรับปรุงศาสนสถาน เพราะอดีตเจ้าอาวาสทำไว้ให้หมดแล้ว พรรษาแม้ว่าจะพอควร แต่ระยะการดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสยังน้อย ทว่า พระรูปนี้เป็นที่เคารพนับถือของนายพล นายพัน สส. นักการเมือง จัดงานแต่ละครั้ง มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่มาเพียบ ถวายซองแต่ละทีย่ามแทบทรุด อะไรทำนองนี้
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมา หาว 1 ที แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะ
สมัยผมอยู่ในแวดวงผ้าเหลืองได้สนองงานอดีตเจ้าคณะอำเภอรูปหนึ่ง ( ท่านมรณภาพไปนานแล้วครับ ) ทางภาคอิสาน โดยปกติท่านจะต้องขอเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะอำเภอชั้นพิเศษ กองงานเลขาก็ทำเรื่องไปส่งไปยังเจ้าคณะจังหวัด เลขาจังหวัดเลยบอกว่าปีนี้โควต้าจังหวัดน้อยนะ แต่จะคุยกับ หลวงพ่อเลขาภาคให้ ยังไงก็จะนัดวันไปเยี่ยมท่าน ทางผมเองก็กลับมาปรึกษาว่าจะเอายังไงกัน หลวงพ่อผู้ขอท่านก็บอกว่า แล้วแต่ สู้ได้เท่าที่ไหว ไม่นานหลวงพ่อเลขาจังหวัดนัดวันให้ไปกราบหลวงพ่อเลขาเจ้าคณะภาค ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เลขาเจ้าคณะจังหวัดให้ผมเตรียมผ้าไตรอย่างดีหนึ่งชุดเต็ม กระเช้าผลไม้นอกคัดผลไม้เกรดพรีเมี่ยม โดยสั่งไว้ที่ ตลาด อตก. ตอนนั้นรู้สึกว่าจะประมาณ 9500 บาท และขาดไม่ได้เลยคือซองปัจจัย ซึ่งผมไปถามหลวงพ่อผู้ขอว่าหลวงพ่อจะใส่เท่าไหร่ เพราะทางเลขาจังหวัดไม่ได้ระบุจำนวนแต่ให้ข้อคิดว่า
" คิดว่าเท่าไหร่ท่านจะพิจารณาเอาสารใส่ตะแกรงหล่ะ " ( คือถ้าเอกสารใส่ตะแกรงนั้นเป็นอันว่ารอเตรียมงานฉลองเลย แต่ถ้าใส่ในลิ้นชักเป็นอันจบ ) หลวงพ่อท่านส่งเงินให้ผม " มัดนึง " บอกว่าไปช่วยดำเนินการเถอะ สรุป ขั้นตอนการเดินทางของตำแหน่ง " พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นพิเศษ " โดยด่านแรก ผ่านเลขานุการเจ้าคณะภาค ( ซึ่งปัจจุบันท่านก็มรภาพไปแล้วเช่นกัน ) ใช้ " ง " เบิกทางไป xxx,xxx โดยเราเหมารถจากจังหวัดที่อยู่เข้า กทม.เพื่อดำเนินการ เสร็จจากเลขานุการเจ้าคณะภาค เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดบอกว่าเราควรตีสนิทกับพระที่ดูแลกุฏิหลวงพ่อเลขาภาคหน่อยนะ ก็ใส่ซองถวายท่านไป 10,000 บาท เป็นค่าฝากดูเอกสาร เมื่อกลับมาถึงยังวัด อยู่ได้ไม่นานนัก หลวงพ่อเลขาเจ้าคณะจังหวัดก็โทรมาบอกว่า ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านจะไปเมืองจีน อยากให้หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอและพระที่ขอสมณศักดิ์ในปีนี้ของจังหวัดไปด้วยกัน สำหรับค่าใช้จ่ายจะไปแบบทัวร์จัดแต่ก็ขอเก็บเงินที่จะถวายหลวงพ่อจังหวัดเป็นส่วนกลางรูปละ xx,xxx ก็จัดกันไปตามที่เรียกมา ก็ไปกันทั้งคณะ เพื่อนพากันไปเที่ยวเสียมากกว่า จนกลับมา พอดีกับรู้ข่าวว่าเจ้าคณะภาคท่านผ่านให้แล้ว ส่งไปยังเจ้าคณะหนแล้ว คิดว่าไม่มีปัญหา
จนในที่สุดก็มีประกาศ หลวงพ่อได้รับเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษจริงๆ เมื่อรับพัดยศเสร็จ เตรีมงานฉลอง ทางเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดก็มาดูแลว่าต้องนิมนต์พระผู้ใหญ่จาก กทม.มานะ เพราะท่านให้เรา ( จริงๆไม่ได้ให้เปล่าเสียหน่อย ) ก็นิมนต์ หลวงพ่อเจ้าคณะภาค เลขานุการเจ้าคณะภาค ในจังหวัดก็นิมนต์เจ้าคณะจังหวัด เป็นประธาน พร้อมรองเจ้าคณะจังหวัดสองรูป ตลอดจนถึงพระเถรานุเถระในจังหวัด ก่อนงานก็มาประชุมกันว่า ต้องใช้งบอะไรส่วนไหนเท่าไหร่ โดยมี เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดมาร่วมประชุม ( กำกับ ) คฤหัสถ์ มีท่าน สส.ในพื้นที่รับเป็นประธานจัดงาน ในระหว่างประชุมพุดคุยเรื่องงบ จนกระทั่งถึงงบจัดใส่ซองถวายพระ ตอนแรกท่าน สส.จะรับถวายพระเถรานุเถระทั้งหมดที่มาเจริญพระพุทธมนต์ฉลอง และพระมหาเถระจากกรุงเทพ ทั้งหมด ท่านถามถึงงบประมาณ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดบอกว่า งบตั้งไว้ที่ 500,000 ผมจำสีหน้าท่าน สส. ในวันนั้นได้ติดตา ท่านหน้าตาเหวอ และตกใจมาก ถึงกับอุทานว่า " เฮ้ยย ทำไมเยอะแทะหลงพ่อ " จะขำก็ไม่ออก กรรมการวัดหลายคนต่างกังวลใจ แต่ฎีกาถูกส่งไปหมดแล้ว ท่าน สส.จึงเสนอว่า ควรหาเจ้าภาพเพิ่ม จากเดินในเรื่อง มหรสพ และเครื่องไทยทาน สุดท้ายก็ไม่มีใครรับ ดังนี้จึงต้องเบิกเงินวัด มาใช้จนเกลี้ยงบัญชี ซึ่งการใส่ซองนั้นเป็นหน้าที่ เลขาจังหวัดมาดูแล โดยท่านบอกว่า พระผู้ใหญ่ใส่ให้มาก ท่านจะได้จำได้ ว่าใคร งานใคร ต่อไปก็ง่าย โดยใส่ ซองให้เจ้าคณะภาค เป็นเงินถึง xxx,xxx เจ้าคณะจังหวัดและเลขาเจ้าคณะภาค เลขาเจ้าคณะจังหวัด รูปละ 50000 จากนั้นรองเจ้าคณะจังหวัดสองรูป 30000 เลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัดรูปละ 20000 สองรูป เจ้าคณะอำเภอในจังหวัด 20 กว่ารูป รูปละ 10000 เจ้าคณะตำบลในเขตการปกครองเกือบ 20 รูป รูปละ 5000 เจ้าอาวาสในเขตปกครองของอำเภอ 50 รูป รูปละ 3000 และพระภิกษุ-สามเณร ที่มาร่วมมุทิตา ฉันเพลอีก 300 รูป รูปละ 500 บาท ยังไม่รวมเครื่องไทยทาน ชุดพรีเมี่ยม 10 ชุด และผ้าไตรเต็ม ย่าม ตาลปัตร ของที่ระลึกกว่า 300 ชุด เรียกเอาว่าหมดงาน แคะเงินที่ได้มาจากใส่ซองช่วยงาน ยังได้คืนไม่ถึง 10% ที่ลงทุนไป
ที่ผมเล่าให้ฟังนั่นก็เพราะ เหล่านี้คือผลประโยชน์ในวงการคณะสงฆ์ ที่ดูจะคล้ายๆแวดวงคฤหัสถ์ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเสื่อมทราม เสื่อมเสียอย่างนี้ในวงการคณะสงฆ์ ผมจึงเห็นควรให้มีการพิจารณาปฏิรูปรื้อผังการปกครองคณะสงฆ์และแก้ไขเพิ่มเติมในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ใหม่ โดยเนื้อหานั้น ผมขออนุญาตเสนอแนะแนวทางบางบท บางหมวด ดังนี้
ธรรมกาย กรณีศึกษา " ผลประโยชน์วงการผ้าเหลือง " ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องปฏิรูปคณะสงฆ์
อ่ะ ๆ อย่าเพิ่งด่า อ่านกันให้จบเสียก่อนนะครับ ว่าทำไมถึงต้องมีการปฏิรูปคณะสงฆ์ ชนิดเรียกว่าทั้งระบบใหม่ทั้งหมด " ผลประโยชน์ " ในวงการคณะสงฆ์นี้ หลายคนมองว่า พระสมถะท่านจะเอาเงินมาจากไหน เพ้อเจ้อหรือเปล่า หรือบางคนจะมองว่า เอ๊ะ เป็นคฤหัสถ์ รึจะไปสอนพระได้หรือ ผมขออนุญาตตอบว่า แม้ว่าเราเป็นคฤหัสถ์และในฐานะชาวพุทธนอกจากจะต้องมีความเลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น หน้าที่อีกอย่างนึงที่ควรพึงกระทำคือ " การปกป้องพระพุทธศาสนา " มิให้เสื่อมทราม และเป็นที่หลบซ่อนแอบของบุคคลที่ใช้ความศรัทธาเลื่อมใสของชาวพุทธเป็นเครื่องมือทำมาหากิน ในคราบนักบวชทางพระพุทธศาสนา ผลประโยชน์ในวงการคณะสงฆ์ แบ่งเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ
ผลประโยชน์ในวงการผ้าเหลืองต่อผู้มีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใส
คือ เป็นพระที่มีวัตร ปฏิปทาน่าเลือมใส เคารพ กราบได้ไหว้ลง ด้วยปฏิปทา ศีลาจารวัตรของพระ ที่ปฏิบัติตามพระวินัยอย่างจริงจังก็ดี หรือปฏิบัติพอให้เป็นพิธีให้ญาติโยมเห็นว่าวัตรปฏิปทาน่าเลื่อมใสก็ดี ก็จักนำมาซึ่ง " ลาภสักการะ " อย่างมากมายมหาศาล ที่นี่เมื่อโยมมีความศรัทธาเลื่อมใสแล้ว มีอะไรก็ถวาย ยกทูนหัวให้หมด อย่างน้อยที่สุดก็อาจจะเป็นอาหารอันปราณีตที่ตั้งใจบรรจงถวายให้พระที่ตนเองเลื่อมใสศรัทธาได้ขบฉัน โดยไม่สนใจว่าครอบครัวจะมีสิ่งใดได้กินได้อยู่ ส่วนอยากมากคือการปรนนิบัติ อุปัฎฐาก ถวายนั่น อำนวยความสะดวกนี้ ไม่ว่าจะทรัพย์สิน เงินทอง ที่ดิน รถรา เมื่อเกิดความเลื่อมใสศรัทธา จนถึงที่สุดแล้วก็สามารถหามาถวายให้ได้ แม้ว่าจะต้องกู้หนี้ยืมสินมาก็ตาม ดังที่เราจะเห็นแคมเปญการปล่อยสินเชื่อเงินกู้เพื่อการทำบุญของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนมงคลเศรษฐี เครือข่ายการฟอกเงินของพระเทพญาณมหามุนี หรือพระธัมมชโย ผู้หลบหนีคดีในขณะนี้
ซึ่งผลประโยชน์เหล่านี้ มีจำนวนมากมายมหาศาลแค่ไหน ไม่มีใครประเมินได้ บางคนศรัทธาพระจนขีดสุด นิมนต์พระทีนึงถึงขนาดให้เฮลิคอปเตอร์ หรือเครื่องบินส่วนตัวไปรับ หรือถวายอำนวยความสะดวกการเดินทางชนิดที่ว่าเศรษฐีเงินล้านบางคนไม่กล้าทำด้วยซ้ำไป บางคนถวายเช็คให้หลวงพ่อกรอกตัวเลขเอาเอง หรือบางท่านถึงขนาดถวายบัตรเครดิตให้พระท่านได้ใช้สอยก็มีเลยทีเดียว สำหรับพระปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจริงๆ ก็มี ที่ท่านปฏิเสธ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ลูกศิษย์ลูกหานำมาถวายก็มี แต่ถือว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก และเมื่อมีผลประโยชน์เกิดขึ้น ก็ทำให้ปัญหาตามหลังกันมาเยอะแยะ อาทิ แตกคอกันเพราะเรื่องกิจนิมนต์ ที่คนนี้รับโยมคนนั้นไว้ แล้ว แต่ลูกศิษย์อีกคนจะให้ไปงานที่เจ้าภาพถวายมากกว่า ยิ่งใหญ่กว่า ไปจนถึงเมื่อพระท่านมรณภาพ ก็มาทะเลาะกันเรื่องทรัพย์สินของพระ ว่าจะยังไง จะเป็นของวัด หรือของญาติ หรือของศิษย์ผู้ดูแล เพราะแต่ละคนที่ถวายท่านก็มักอ้างว่า " ถวายส่วนตัว " กันทั้งนั้น หรือบางครั้งพอผลประโยชน์และลาภสักการะมากขึ้น หนีแอบหนีสึกหาลาเพศหอบเงินทองหายไปเลย ก็มี เหล่านี้คือผลประโยชน์มหาศาล ที่เป็นทุกขลาภในแวดวงผ้าเหลือง
ผลประโยชน์ในวงการผ้าเหลืองต่อการบริหารงานคณะสงฆ์
ต้องยอมรับว่า วงการบริหารงานคณะสงฆ์ หรือปกครองคณะสงฆ์ นั้นมีผลประโยชน์ที่มากมายที่สุด และส่วนใหญ่มักเป็นประโยชน์ในรูป " ต่างตอบแทน " คือ เธอช่วยฉัน ฉันช่วยเธอ อะไรทำนองนี้ ใครจะขึ้นตำแหน่งนี้ ฉันจะอาสาพาไปพบพระมหาเถระรูปนั้น ที่มีอำนาจพิจารณา ใครจะลงตำแหน่งนี้ ฉันอาสาพาไปคุยกับเลขาเจ้าคณะผู้รับผิดชอบเอง และก็ต้องมีค่าน้ำร้อนน้ำชา ดำเนินการประสาน นั่น โน่น นี่ สารพัด ยิ่งฤดูแต่งตั้งสมณศักดิประจำปี ที่วิ่งกันให้อุตลุด คนนี้ขอพระครูชั้นเอง คนโน้นขอพระครูชั้นพิเศษ รูปนี้ขอเจ้าคุณ ว่ากันไป ก็ไล่กันมาตามลำดับ จากผู้ขอ ส่งเจ้าอาวาส จากเจ้าอาวาสส่งเจ้าคณะตำบล จากเจ้าคณะตำบลส่งเจ้าคณะอำเภอ จากเจ้าคณะอำเภอส่งเจ้าคณะจังหวัด จากเจ้าคณะจังหวัดส่งเจ้าคณะภาค จากเจ้าคณะภาคส่งเจ้าคณะหน จากเจ้าคณะหน ส่งมหาเถรสมาคมพิจารณา หลายขั้นตอน ที่ต้องตรวจทานเอกสารคุณสมบัติ แต่ถ้าอยากจะลัดขั้นตอนตรงนี้ ก็ต้องใช้คาถา " ดวง " ที่หมายถึง
ด - เด็กใคร ?
หมายถึง เป็น พระที่อยู่ในความดูแลของใคร หรือมีพระผู้หลักผู้ใหญ่ ตลอดจนผู้มีอำนาจบารมี สนับสนุนไหม
ว - วิ่งเส้นไหน ?
หมายถึงมาเดินเรื่องขอสมณศักดิ์ กับใคร กับพระเถระผู้มีอำนาจ วาสนาบารมี หรือไหม่ หรือว่าเดินกันเองตามยถากรรม
ง - เงินถึงหรือเปล่า ?
ข้อนี้สำมะคัญนักเชียว พระภิกษุผู้ " ขอ " สมณศักดิ์ไปเกือบทั้งหมดใช้เงินวิ่งเต้นกันแทบทั้งนั้น ต่างกับพระภิกษุผู้ " ได้รับ " พระราชทานสมณศักดิ์เป็นกรณีพิเศษ ( หรือเขาเรียกบัญชี 2 ) พระเหล่านี้ไม่ต้องขอ ไม่ต้องวิ่งเต้น แต่ได้มาจาก วัตรปฏิบัติ ผลงานในด้านต่างๆ ของตัวท่านเองโดยแท้จริง ผมยกตัวอย่างนะครับ มีพระอยู่ 2 รูป กำลังของสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตร
รูปที่ 1 เป็นพระเจ้าอาวาสวัดธรรมดาๆ มีอายุพรรษาพอสมควรแก่การได้รับสมณศักดิ์แล้ว มีผลงานการสร้างวัด ศาสนสถาน ตามเกณฑ์ ทำเรื่องขอไปตามกระบวนการ
รูปที่ 2 เป็นพระเจ้าอาวาสเช่นกันอยู่วัดธรรมดาๆ เหมือนกัน ไม่มีผลงานการสร้างวัด หรือปรับปรุงศาสนสถาน เพราะอดีตเจ้าอาวาสทำไว้ให้หมดแล้ว พรรษาแม้ว่าจะพอควร แต่ระยะการดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสยังน้อย ทว่า พระรูปนี้เป็นที่เคารพนับถือของนายพล นายพัน สส. นักการเมือง จัดงานแต่ละครั้ง มีพระเถระชั้นผู้ใหญ่มาเพียบ ถวายซองแต่ละทีย่ามแทบทรุด อะไรทำนองนี้
หลับตาฝันเป็นตุเป็นตะ ตื่นขึ้นมา หาว 1 ที แล้วก็นำมาเล่าให้ฟังเป็นนิยายปรัมปรากันนะจ๊ะ
สมัยผมอยู่ในแวดวงผ้าเหลืองได้สนองงานอดีตเจ้าคณะอำเภอรูปหนึ่ง ( ท่านมรณภาพไปนานแล้วครับ ) ทางภาคอิสาน โดยปกติท่านจะต้องขอเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรเจ้าคณะอำเภอชั้นพิเศษ กองงานเลขาก็ทำเรื่องไปส่งไปยังเจ้าคณะจังหวัด เลขาจังหวัดเลยบอกว่าปีนี้โควต้าจังหวัดน้อยนะ แต่จะคุยกับ หลวงพ่อเลขาภาคให้ ยังไงก็จะนัดวันไปเยี่ยมท่าน ทางผมเองก็กลับมาปรึกษาว่าจะเอายังไงกัน หลวงพ่อผู้ขอท่านก็บอกว่า แล้วแต่ สู้ได้เท่าที่ไหว ไม่นานหลวงพ่อเลขาจังหวัดนัดวันให้ไปกราบหลวงพ่อเลขาเจ้าคณะภาค ที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เลขาเจ้าคณะจังหวัดให้ผมเตรียมผ้าไตรอย่างดีหนึ่งชุดเต็ม กระเช้าผลไม้นอกคัดผลไม้เกรดพรีเมี่ยม โดยสั่งไว้ที่ ตลาด อตก. ตอนนั้นรู้สึกว่าจะประมาณ 9500 บาท และขาดไม่ได้เลยคือซองปัจจัย ซึ่งผมไปถามหลวงพ่อผู้ขอว่าหลวงพ่อจะใส่เท่าไหร่ เพราะทางเลขาจังหวัดไม่ได้ระบุจำนวนแต่ให้ข้อคิดว่า " คิดว่าเท่าไหร่ท่านจะพิจารณาเอาสารใส่ตะแกรงหล่ะ " ( คือถ้าเอกสารใส่ตะแกรงนั้นเป็นอันว่ารอเตรียมงานฉลองเลย แต่ถ้าใส่ในลิ้นชักเป็นอันจบ ) หลวงพ่อท่านส่งเงินให้ผม " มัดนึง " บอกว่าไปช่วยดำเนินการเถอะ สรุป ขั้นตอนการเดินทางของตำแหน่ง " พระครูสัญญาบัตร เจ้าคณะอำเภอชั้นพิเศษ " โดยด่านแรก ผ่านเลขานุการเจ้าคณะภาค ( ซึ่งปัจจุบันท่านก็มรภาพไปแล้วเช่นกัน ) ใช้ " ง " เบิกทางไป xxx,xxx โดยเราเหมารถจากจังหวัดที่อยู่เข้า กทม.เพื่อดำเนินการ เสร็จจากเลขานุการเจ้าคณะภาค เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดบอกว่าเราควรตีสนิทกับพระที่ดูแลกุฏิหลวงพ่อเลขาภาคหน่อยนะ ก็ใส่ซองถวายท่านไป 10,000 บาท เป็นค่าฝากดูเอกสาร เมื่อกลับมาถึงยังวัด อยู่ได้ไม่นานนัก หลวงพ่อเลขาเจ้าคณะจังหวัดก็โทรมาบอกว่า ท่านเจ้าคุณหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัดท่านจะไปเมืองจีน อยากให้หลวงพ่อเจ้าคณะอำเภอและพระที่ขอสมณศักดิ์ในปีนี้ของจังหวัดไปด้วยกัน สำหรับค่าใช้จ่ายจะไปแบบทัวร์จัดแต่ก็ขอเก็บเงินที่จะถวายหลวงพ่อจังหวัดเป็นส่วนกลางรูปละ xx,xxx ก็จัดกันไปตามที่เรียกมา ก็ไปกันทั้งคณะ เพื่อนพากันไปเที่ยวเสียมากกว่า จนกลับมา พอดีกับรู้ข่าวว่าเจ้าคณะภาคท่านผ่านให้แล้ว ส่งไปยังเจ้าคณะหนแล้ว คิดว่าไม่มีปัญหา
จนในที่สุดก็มีประกาศ หลวงพ่อได้รับเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นพิเศษจริงๆ เมื่อรับพัดยศเสร็จ เตรีมงานฉลอง ทางเลขานุการเจ้าคณะจังหวัดก็มาดูแลว่าต้องนิมนต์พระผู้ใหญ่จาก กทม.มานะ เพราะท่านให้เรา ( จริงๆไม่ได้ให้เปล่าเสียหน่อย ) ก็นิมนต์ หลวงพ่อเจ้าคณะภาค เลขานุการเจ้าคณะภาค ในจังหวัดก็นิมนต์เจ้าคณะจังหวัด เป็นประธาน พร้อมรองเจ้าคณะจังหวัดสองรูป ตลอดจนถึงพระเถรานุเถระในจังหวัด ก่อนงานก็มาประชุมกันว่า ต้องใช้งบอะไรส่วนไหนเท่าไหร่ โดยมี เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดมาร่วมประชุม ( กำกับ ) คฤหัสถ์ มีท่าน สส.ในพื้นที่รับเป็นประธานจัดงาน ในระหว่างประชุมพุดคุยเรื่องงบ จนกระทั่งถึงงบจัดใส่ซองถวายพระ ตอนแรกท่าน สส.จะรับถวายพระเถรานุเถระทั้งหมดที่มาเจริญพระพุทธมนต์ฉลอง และพระมหาเถระจากกรุงเทพ ทั้งหมด ท่านถามถึงงบประมาณ เลขานุการเจ้าคณะจังหวัดบอกว่า งบตั้งไว้ที่ 500,000 ผมจำสีหน้าท่าน สส. ในวันนั้นได้ติดตา ท่านหน้าตาเหวอ และตกใจมาก ถึงกับอุทานว่า " เฮ้ยย ทำไมเยอะแทะหลงพ่อ " จะขำก็ไม่ออก กรรมการวัดหลายคนต่างกังวลใจ แต่ฎีกาถูกส่งไปหมดแล้ว ท่าน สส.จึงเสนอว่า ควรหาเจ้าภาพเพิ่ม จากเดินในเรื่อง มหรสพ และเครื่องไทยทาน สุดท้ายก็ไม่มีใครรับ ดังนี้จึงต้องเบิกเงินวัด มาใช้จนเกลี้ยงบัญชี ซึ่งการใส่ซองนั้นเป็นหน้าที่ เลขาจังหวัดมาดูแล โดยท่านบอกว่า พระผู้ใหญ่ใส่ให้มาก ท่านจะได้จำได้ ว่าใคร งานใคร ต่อไปก็ง่าย โดยใส่ ซองให้เจ้าคณะภาค เป็นเงินถึง xxx,xxx เจ้าคณะจังหวัดและเลขาเจ้าคณะภาค เลขาเจ้าคณะจังหวัด รูปละ 50000 จากนั้นรองเจ้าคณะจังหวัดสองรูป 30000 เลขานุการรองเจ้าคณะจังหวัดรูปละ 20000 สองรูป เจ้าคณะอำเภอในจังหวัด 20 กว่ารูป รูปละ 10000 เจ้าคณะตำบลในเขตการปกครองเกือบ 20 รูป รูปละ 5000 เจ้าอาวาสในเขตปกครองของอำเภอ 50 รูป รูปละ 3000 และพระภิกษุ-สามเณร ที่มาร่วมมุทิตา ฉันเพลอีก 300 รูป รูปละ 500 บาท ยังไม่รวมเครื่องไทยทาน ชุดพรีเมี่ยม 10 ชุด และผ้าไตรเต็ม ย่าม ตาลปัตร ของที่ระลึกกว่า 300 ชุด เรียกเอาว่าหมดงาน แคะเงินที่ได้มาจากใส่ซองช่วยงาน ยังได้คืนไม่ถึง 10% ที่ลงทุนไป
ที่ผมเล่าให้ฟังนั่นก็เพราะ เหล่านี้คือผลประโยชน์ในวงการคณะสงฆ์ ที่ดูจะคล้ายๆแวดวงคฤหัสถ์ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดเรื่องเสื่อมทราม เสื่อมเสียอย่างนี้ในวงการคณะสงฆ์ ผมจึงเห็นควรให้มีการพิจารณาปฏิรูปรื้อผังการปกครองคณะสงฆ์และแก้ไขเพิ่มเติมในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ใหม่ โดยเนื้อหานั้น ผมขออนุญาตเสนอแนะแนวทางบางบท บางหมวด ดังนี้