บทสัมภาษณ์ 3 นักแสดงนำจากภาพยนตร์ : It’s Only the End of the World /// ฉาย 16 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ *

___ บทสัมภาษณ์ของ 3 นักแสดงนำ ภาพยนตร์ "It’s Only the End of the World" ___
เข้าฉาย 16 มีนาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์




-- สัมภาษณ์ มาริยง โกติยาร์ --


“สังคมกำลังแปลกขึ้นเรื่อยๆ” คือคำพูดที่นักแสดงสาวชาวฝรั่งเศส มาริยง โกติยาร์ด กล่าวไว้ถึง
It’s Only the End of the World หนังเรื่องใหม่ของเธอ

หนังเรื่องนี้กำกับโดย ซาเวียร์ โดลอง ผู้กำกับชาวแคนาดา และดัดแปลงจากบทละครฝรั่งเศสเรื่อง "Juste la fin du monde"
แก่นของหนังพูดถึงความรักและการสื่อสาร หนังเล่าเรื่องราวของนักเขียนป่วยหนักคนหนึ่งที่เดินทางกลับบ้านเพื่อบอกกับคนในครอบครัวว่า ตัวเขาเองกำลังจะตาย
-โกติยาร์ ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวของ รอยเตอร์ ไว้ว่า “ความเปลี่ยวเหงา ถือเป็นปัญหาสำคัญของสังคม และข้อเท็จจริงที่ว่าตัวเราเองไม่รู้จะสื่อสารความรู้สึกที่อยู่ภายในออกมายังไง ถือเป็นเรื่องที่ฉันสนใจมากๆ ค่ะ”

-โกติยาร์กล่าวต่อว่า “มันเหมือนกับว่า พวกเราต่างก็ใช้ชีวิตของตัวเองไปโดยไม่ได้สนใจคนรอบข้างที่พบกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เห็นได้ชัดเลยว่ามันเป็นสาเหตุสำคัญของการไม่ยอมสื่อสารกัน แม้กระทั่งกับคนในครอบครัว”
ใน It’s Only the End of the World โกติยาร์ ร่วมแสดงกับ เลอา เซดูซ์, วินเซนต์ แคสเซล และ กัสปาร์ อุลลิแอร์ หนังได้รับรางวัล Grand Prix จากเทศกาลหนังเมืองคานส์เมื่อปี 2016 และเป็นตัวแทนของประเทศแคนาดาส่งไปเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมครั้งล่าสุด การที่หนังมาไกลได้มากถึงเพียงนี้เพราะได้ผู้กำกับเก่งอย่าง เซเวียร์ โดลอง มาคุมบังเหียน

-โกติยาร์ด เล่าถึงสิ่งที่พบเจอจากการร่วมงานกับเขาไว้ว่า “ถือเป็นประสบการณ์ที่น่ามหัศจรรย์มากๆ เลยค่ะ เซเวียร์ คือ 1 ในผู้กำกับที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างแน่นอน ไม่แพ้ผู้กำกับที่ฉันเคยร่วมงานมาก่อนหน้านี้อย่าง จัสติน เคอร์เซล (ผู้กำกับ Macbeth และ Assassin’s Creed) และพี่น้องดาร์แดน (ผู้กำกับ Two Days, One Night) ช่วงหลังๆ ฉันมีโอกาสเล่นหนังให้ผู้กำกับและศิลปินมากความสามารถหลายคน แต่ละคนทำงานหนักร่วมกับนักแสดง แล้วเข้าอกเข้าใจนักแสดงจริงๆ และฉันรู้สึกโชคดีจริงๆ ค่ะที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนังของพวกเขา”


-- สัมภาษณ์ เลอา เซดูซ์ --


- คุณถือเป็นดาราระดับแนวหน้าของฝรั่งเศส ทำไมอยู่ดีๆ คุณถึงเลือกรับบทสมทบใน It’s Only the End of the World -
จะรับบทนำหรือสมทบก็ตาม ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องสำคัญเลย สิ่งที่ฉันชอบที่สุดคือการได้เล่นเป็นตัวละครที่แตกต่างจากตัวฉันที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
บทผู้หญิงชีวิตลำเค็ญที่มีรอยสักและผมมันแผลบใน It’s Only the End of the World  ถือเป็นตัวเลือกที่ใช่สำหรับฉันค่ะ
ฉันต้องการแค่บทหนังที่ทำให้ฉันหลงรักได้ บทหนังที่ปลุกเร้าฉัน และสามารถโอบอุ้มตัวฉันได้ตลอดรอดฝั่ง

- คุณชอบอะไรในบทหนังเรื่องนี้ -
มันเต็มไปด้วยความคับข้องใจ ความกลัว และความหวัง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถรู้สึกได้ในชีวิตประจำวัน มันยังว่าด้วยการมองตัวเองแบบเดียวกับ
ที่คุณมองคนอื่น ทั้งหมดนี้ถูกนำเสนอผ่านครอบครัวในหนัง เราจะได้เห็นทุกอารมณ์ของมนุษย์ทั้ง ความขุ่นเคือง ความโกรธ ความเศร้า ความรัก
สำหรับฉัน อารมณ์ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดออกมา แสดงให้เห็นถึงพลังของภาพยนตร์อย่างแท้จริง

- ผู้กำกับ ซาเวียร์ โดลอง มีข้อดียังไงบ้าง -
มีแน่นอนค่ะ เขามีวิสัยทัศน์ ฉลาด และไวต่อความรู้สึกมาก พวกเราทุกคนอยากร่วมงานกับเขาทั้งนั้น ทั้งฉัน มาริยง โกติยาร์ และ วินเซนต์ แคสเซล ด้วย
โดลองมีความเป็นเด็กสูง ซึ่งฉันกลับรู้สึกดีอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะเดียวกันเขาก็สามารถเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะได้ ซึ่งถือว่าค่อนข้างประหลาดไม่น้อย
เพราะเขาทำหนังเยอะกว่าผู้กำกับที่อาวุโสหลายคนเสียอีก เขามีความกระตือรือร้นและความเข้าอกเข้าใจผู้อื่นที่เห็นได้ชัดมาก
เขาหัวเราะร่วมกับเราและพร้อมจะร้องไห้ไปพร้อมกับเราทุกเวลา

- คุณลำบากรึเปล่าที่ต้องเล่นหนังโปรดักชั่นใหญ่ๆ สลับกับหนังเล็กๆ ของฝรั่งเศสอยู่เสมอ -
ฉันไม่เคยคิดว่ามันลำบากเลยค่ะเพราะมันเป็นสิ่งที่นักแสดงทุกคนล้วนปรารถนาอยู่แล้ว มันสนุกมากที่ได้เล่นหนังหลากหลายแนว ได้ท่องเที่ยวไปทั่ว และได้หลุดเข้าไปอยู่ในโลกอื่นที่ไม่คุ้นเคย รวมถึงได้กลายร่างเป็นตัวละครในหนัง ฉันไม่อยากให้คนดูจดจำฉันได้เลยเพราะว่าฉันจะรับบทที่แตกต่างกันหมดทุกเรื่อง เหมือนอย่าง มาร์ลอน แบรนโด ที่ฉันเทิดทูนบูชา สิ่งสุดท้ายที่ฉันต้องการคือการถูกประทับตราว่าโดดเด่นเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น

- ความแตกต่างระหว่างวงการหนังฝรั่งเศส และฮอลลีวู้ด เป็นอย่างไร -
พูดตามตรง ฉันไม่เคยมีประสบการณ์การเล่นหนังให้ฮอลลีวู้ดค่ะ หนังสายลับ เจมส์ บอนด์ ไม่ใช่หนังฮอลลีวู้ด หนังของผู้กำกับ วู้ดดี้ อัลเลน และ เวส แอนเดอร์สัน ก็ไม่ถือว่าเป็นฮอลลีวู้ดเช่นกัน แม้กระทั่งตอนถ่ายทำ Mission: Impossible – Ghost Protocal ฉันไม่ได้เดินทางออกนอกยุโรปเลยด้วยซ้ำ

- แต่ว่าลักษณะของการทำงานในกองถ่ายหนังบล็อกบัสเตอร์ มันก็แตกต่างจากหนังเล็ก ใช่ไหม? -
เวลาอยู่ต่อหน้ากล้อง ทุกอย่างมันเหมือนกันหมดค่ะ แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันไปทุกอย่าง ฉันไม่เลือกที่รักมักที่ชังว่าชอบอะไรมากกว่ากัน
ฉันแค่มีความสุขที่ได้ทำงานที่ฉันรัก แม้ว่าตารางงานจะบ้าบอไปหน่อยก็ตาม

- บ้ายังไง? -
ฉันถ่าย It’s Only the End of the World และ Spectre พร้อมกันเลยค่ะ บางครั้งฉันต้องบินจากลอนดอนไปที่มอนทรีออล ต้องเดินทางนาน 8 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่หมาย ตอนเข้ากล้องกับ แดเนียล เครก เลยมีอาการเพลียนิดหน่อย ฉันเหนื่อยมากจนต้องขอพักหลังจากเสร็จสิ้นหนังทั้ง 2 เรื่อง


-- สัมภาษณ์ กัสปาร์ อุลลิแอร์ --


- บอกได้ไหมว่าการพบเจอและการทำงานกับ ซาเวียร์ โดลอง เป็นอย่างไรบ้าง -
ผมเคยดูของของ เซเวียร์ มาตั้งแต่เรื่องแรกแล้ว ถือว่าผลงานของเขาน่าประทับใจมากครับ หนังให้ความรู้สึกที่พิเศษ เขาเป็นผู้กำกับที่โดดเด่นมากเมื่อเทียบกับรุ่นเดียวกัน เซเวียร์ ถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญของประเทศฝรั่งเศส เขาอายุไม่มากแต่ทำหนังยาวมาแล้ว 6 เรื่องซึ่งผมว่าเร็วมากๆ เลย และเขายังแตกต่างจากผู้กำกับคนอื่นๆ เป็นคนที่มีเอกลักษณ์และหาโอกาสร่วมงานด้วยยากมาก หนังทุกเรื่องของเขาจะมีสไตล์เป็นของตนเอง แต่เขาก็ไม่กลัวที่จะเปลี่ยนแปลงด้วย ถือเป็นเรื่องดีทีเดียวครับที่ได้มีโอกาสร่วมหัวจมท้ายไปพร้อมกับเขา

- ตัวละคร หลุยส์ ที่คุณเล่นในหนังเรื่องนี้ปรากฏตัวในแทบทุกฉากแต่ว่าบทพูดมีน้อยเหลือเกิน มันน่าจะเล่นยากทีเดียวว่าจะแสดงปฏิกิริยาออกมายังไงเวลามีคนพูดด้วย คุณคิดยังไงบ้างเวลาอ่านบท? -
จริงๆ แล้วตอนแรกที่เราเจรจากันเกี่ยวกับการเล่นหนังเรื่องนี้ มันยังไม่มีบทหนังเลยครับ เขาบอกแค่ว่าผมจะไม่ต้องรับบทหนักมาก
บทของผมจะไม่ค่อยพูดค่อยจา แต่จะเน้นไปที่การฟังคนอื่นพูด และเมื่อฟังแล้วเราจะมีปฏิกิริยาออกมาอย่างไร

- ผู้กำกับเรียกร้องอะไรจากคุณบ้าง -
ตอนเข้าฉาก เราจะไม่มาลงรายละเอียด อธิบายอะไรเพิ่มเติมแล้วเกี่ยวกับสภาพจิตใจของตัวละคร เพราะเราถกเถียงพูดคุยกันไปแล้วตั้งแต่การถ่ายทำ
สิ่งที่ผมต้องทำคือการแสดงออกทางสีหน้า ว่าจะทำยังไงให้กลายเป็น หลุยส์ อย่างเป็นธรรมชาติที่สุด

- ได้ยินว่าวิธีการกำกับของ โดลอง มีความพิเศษมากๆ มีอะไรที่คุณประทับใจตอนถ่ายทำบ้าง -
เขาเป็นผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์ ไอเดียของเขามักจะแล่นตอนที่เรากำลังถ่ายทำอยู่ เขาจะหยุดเทคกลางคันแล้วขอให้เราเริ่มใหม่ ยิ่งถ่ายทำไปเรื่อย
มันก็เหมือนกับว่าเขาถ่ายหนังไปแล้วเขาตัดต่อหนังในหัวไปด้วย เขามักจะบอกว่า “ทำอย่างนี้ดีกว่านะ” หรือ “ไปตรงจุดนั้น” ราวกับว่าเขาอยู่ในอารมณ์เดียวกับนักแสดง และพร้อมที่จะแสดงไปร่วมกับเรา ผมเคยเห็นเขาน้ำตาตกด้วย เขาเป็นคนที่เอาใจใส่ทั้งความรู้สึกคนอื่นและตัวเองอยู่เสมอเลย

- แก่นของหนังเรื่องนี้ว่าด้วยคนในครอบครัวที่กลายเป็นคนห่างเกินซึ่งกันและกัน มันช่างน่าเจ็บปวดเสียเหลือเกิน คุณมองว่าอย่างไรบ้าง -
ผมคิดว่ามันเป็นแก่นเรื่องที่ผู้คนสามารถรู้สึกได้ในปัจจุบันเหมือนกันหมด ผมพบว่าผมเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของตัวละคร และมีบางช่วงด้วยที่ผมรู้สึกราวกับเคยเจอเหตุการณ์แบบที่ตัวละครเจอในชีวิตจริงของผมเอง


credit : mongkol major
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่