เรื่องมันมีอยู่ว่าวันนี้ตั้งใจจะไปดูหนังกะแฟนครับ แล้วก็ไม่รู้จะดูเรื่องอะไรดีเพราะรีวิวหนังช่วงนี้น่าผิดหวังหลายเรื่อง เหมือนจะไม่มีหนังดีๆเข้าโรงเลยทั้ง fifty shade darkers(ที่ยังกล้าทำภาค 2) หรือ guardian นี่คนก็ด่าสุดๆ ก็เลยมองหาหนังเรื่องอื่นแล้วก็มาเจอ hidden figure ตัวโปสเตอร์ไม่มีอะไรน่าสนใจ ชื่อก็ไม่เคยได้ยิน แต่ตอนนั้นมันมีรอบอยู่พอดี เราก็เอาวะ ลองดูสักตั้ง เสิชดูรีวิวในพันทิปก็พบว่ามีแต่คนชม สุดท้ายเลยตีตั๋วเข้าไปดูแบบไม่คาดหวังอะไรมากนัก คิดว่าเป็นหนังเกรดบีเกรดซีนอกกระแส เนื้อหาเกี่ยวกับอะไรก็ยังไม่รู้เลย
ที่ไหนได้พอดูจบ กลายเป็นหนังที่ผมยกให้เป็นเรื่องที่คุ้มเงินผมมากที่สุดในรอบปีนี้เลย (ขนาด yourname เอย lalaland เอย ที่อวยๆกันนี่ผมก็ยังเสียดายเงินอยู่หน่อยๆนะ 55)
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับสาวนิโกรสามคนที่ทำงานเป็นคณิตกร(นักคณิคศาสตร์นั่นแหละครับ) ที่ฉลาดเป็นระดับหัวกะทิ เป็นกำลังสำคัญในโครงการส่งยานอวกาศขององค์กรนาซ่า แต่อเมริกาในช่วงนั้นเป็นยุคที่มีการเหยียดผิวอย่างมาก อย่างนาซ่าในตอนนั้นจะไม่มีตำแหน่งระดับสูงที่เป็นนิโกรเลย ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยอีก พวกเธอเลยต้องโดนดูถูกและกดดันจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง ชนิดที่ว่าไม่มีใครอยากแตะต้องตัวพวกเธอ( คิดดูคงลำบากมากเนอะ ถ้าเป็นนิโกรในเมกายุคนั้น) ของใช้อะไรก็ห้ามใช้ร่วมกับพวกผิวขาว ขนาดรถเมล์ยังต้องแยก คนขาวนั่งหน้า คนดำนั่งหลัง ห้องสมุดเอย ห้องน้ำเอย แยกหมด กระทั่งกาน้ำร้อนสำหรับต้มกาแฟยังต้องแยกสำหรับคนผิวสีโดยเฉพาะเลย
ตัวหนังก็จะมีอารมณ์สลดเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการเหยียดผิว ความไม่เท่าเทียมที่มนุษย์กลุ่มหนึ่งกระทำกับมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่ง คนที่ทุ่มเททำงานเบื้องหลังแต่กลับไม่ได้รับความสำคัญ ดูแล้วก็รู้สึกรันทดและสงสารมากๆ แต่ในหนังก็ไม่ได้เขียนบทให้ดราม่าจนปวดหัว มีช่วงหยอดมุกน่ารักๆ สามสาว(จริงๆต้องบอกว่าสามป้า 55)ที่เป็นตัวเอกก็น่ารัก รู้สึกเชียร์พวกเธอไปตลอดทั้งเรื่องเพราะโดนกระทำยังไงก็ไม่ย่อท้อ ต่อสู้เงียบๆโดยใช้ความสามารถที่มีทำให้พวกผิวขาวรู้ว่า value กับ potential ของคนเราไม่ได้วัดจากที่เพศหรือสีผิวแต่อย่างใดเลย เป็นแรงบันดาลใจที่ดีมากๆครับ ใครรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตตัวเองมีไม่เท่าคนอื่น ไปดูเรื่องนี้น่าจะทำให้คุณยิ้มออกแน่นอน
นอกจากประเด็นของหนังที่กระแทกใจดีแล้วยังรู้สึกว่าหนังเขียนบทได้น่าติดตามดีครับ ทั้งๆที่เป็นหนังแนวอัตชีวประวัติที่ปกติจะชวนง่วง แต่ไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อเลยครับ มันมีทั้งอารมณ์ลุ้นไปกับตัวละคร อารมณ์หดหู่เวลาโดนกระทำ ซึ้งไปกับมิตรภาพกับสามสาว หรือกระทั่งมุขตลกก็ตลกจริงๆ ที่สำคัญนักแสดงเล่นดีทุกคนโดยเฉพาะคนที่แสดงเป็น แคทรีน จอห์นสัน ตัวเอกของเรื่อง มีฉากนึงพีคมากๆดูแล้วน้ำตาไหลเลย ต้องไปดูในโรงกันเองครับ ตัวประกอบอะไรก็เล่นดีหมด มีป้าoctavia spencer รับบทเป็นโดโรธีเพื่อนนางเอก ป้าคนนี้ได้เข้าชิงออสการ์ด้วย เสียดายที่ไม่ได้ ป้าแกเล่นสตรองมากครับ ถ้ามาเดอะเฟสลูกเกดต้องยกโมเดลลิ่งบุครัวๆ 55 หรือขนาดรับเชิญมาทำหน้าหล่อๆอย่างเดียวอย่าง นักบินเกลนที่รับบทโดย glen powell นี่ยังหล่อแบบดูแล้วจะละลาย
ที่พีคมากอีกเรื่องก็คือสามสาวที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี่ตอนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ละคนเป็นย่าเป็นยายกันหมดแล้ว
แปลกใจมากที่หนังเรื่องนี้ไม่มีกระแสในบ้านเราเลย (แต่อย่างว่าหนังคุณภาพๆแบบนี้ คงตีตลาดเมืองไทยยากนิดนึง 55) แต่เห็นว่ารายได้ในอเมริกาดีมาก ตอนนี้150ล้านแล้ว จากทุนสร้าง 25ล้าน ก็เก๋อยู่ ซึ่งสมควรแล้วเพราะหนังเค้าคุณภาพจริงๆ ไม่ได้ดูหนังแล้วชอบตลอดทั้งเรื่องขนาดนี้มานานแล้วครับ อยากไปดูรอบสองเลย
ไม่อยากให้พลาดกันครับ หนังดีมากก ท่ามกลางหนังที่มีแต่รีวิวห่วยๆออกมา ณ ตอนนี้ ยังมีเรื่องนี้ให้ดูครับhidden figure
หนังดีๆที่ไม่ควรปล่อยให้ผ่านเลยไป Hidden figure
ที่ไหนได้พอดูจบ กลายเป็นหนังที่ผมยกให้เป็นเรื่องที่คุ้มเงินผมมากที่สุดในรอบปีนี้เลย (ขนาด yourname เอย lalaland เอย ที่อวยๆกันนี่ผมก็ยังเสียดายเงินอยู่หน่อยๆนะ 55)
เนื้อเรื่องเกี่ยวกับสาวนิโกรสามคนที่ทำงานเป็นคณิตกร(นักคณิคศาสตร์นั่นแหละครับ) ที่ฉลาดเป็นระดับหัวกะทิ เป็นกำลังสำคัญในโครงการส่งยานอวกาศขององค์กรนาซ่า แต่อเมริกาในช่วงนั้นเป็นยุคที่มีการเหยียดผิวอย่างมาก อย่างนาซ่าในตอนนั้นจะไม่มีตำแหน่งระดับสูงที่เป็นนิโกรเลย ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยอีก พวกเธอเลยต้องโดนดูถูกและกดดันจากสภาพแวดล้อมรอบข้าง ชนิดที่ว่าไม่มีใครอยากแตะต้องตัวพวกเธอ( คิดดูคงลำบากมากเนอะ ถ้าเป็นนิโกรในเมกายุคนั้น) ของใช้อะไรก็ห้ามใช้ร่วมกับพวกผิวขาว ขนาดรถเมล์ยังต้องแยก คนขาวนั่งหน้า คนดำนั่งหลัง ห้องสมุดเอย ห้องน้ำเอย แยกหมด กระทั่งกาน้ำร้อนสำหรับต้มกาแฟยังต้องแยกสำหรับคนผิวสีโดยเฉพาะเลย
ตัวหนังก็จะมีอารมณ์สลดเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการเหยียดผิว ความไม่เท่าเทียมที่มนุษย์กลุ่มหนึ่งกระทำกับมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่ง คนที่ทุ่มเททำงานเบื้องหลังแต่กลับไม่ได้รับความสำคัญ ดูแล้วก็รู้สึกรันทดและสงสารมากๆ แต่ในหนังก็ไม่ได้เขียนบทให้ดราม่าจนปวดหัว มีช่วงหยอดมุกน่ารักๆ สามสาว(จริงๆต้องบอกว่าสามป้า 55)ที่เป็นตัวเอกก็น่ารัก รู้สึกเชียร์พวกเธอไปตลอดทั้งเรื่องเพราะโดนกระทำยังไงก็ไม่ย่อท้อ ต่อสู้เงียบๆโดยใช้ความสามารถที่มีทำให้พวกผิวขาวรู้ว่า value กับ potential ของคนเราไม่ได้วัดจากที่เพศหรือสีผิวแต่อย่างใดเลย เป็นแรงบันดาลใจที่ดีมากๆครับ ใครรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิตตัวเองมีไม่เท่าคนอื่น ไปดูเรื่องนี้น่าจะทำให้คุณยิ้มออกแน่นอน
นอกจากประเด็นของหนังที่กระแทกใจดีแล้วยังรู้สึกว่าหนังเขียนบทได้น่าติดตามดีครับ ทั้งๆที่เป็นหนังแนวอัตชีวประวัติที่ปกติจะชวนง่วง แต่ไม่มีช่วงไหนน่าเบื่อเลยครับ มันมีทั้งอารมณ์ลุ้นไปกับตัวละคร อารมณ์หดหู่เวลาโดนกระทำ ซึ้งไปกับมิตรภาพกับสามสาว หรือกระทั่งมุขตลกก็ตลกจริงๆ ที่สำคัญนักแสดงเล่นดีทุกคนโดยเฉพาะคนที่แสดงเป็น แคทรีน จอห์นสัน ตัวเอกของเรื่อง มีฉากนึงพีคมากๆดูแล้วน้ำตาไหลเลย ต้องไปดูในโรงกันเองครับ ตัวประกอบอะไรก็เล่นดีหมด มีป้าoctavia spencer รับบทเป็นโดโรธีเพื่อนนางเอก ป้าคนนี้ได้เข้าชิงออสการ์ด้วย เสียดายที่ไม่ได้ ป้าแกเล่นสตรองมากครับ ถ้ามาเดอะเฟสลูกเกดต้องยกโมเดลลิ่งบุครัวๆ 55 หรือขนาดรับเชิญมาทำหน้าหล่อๆอย่างเดียวอย่าง นักบินเกลนที่รับบทโดย glen powell นี่ยังหล่อแบบดูแล้วจะละลาย
ที่พีคมากอีกเรื่องก็คือสามสาวที่เป็นตัวเอกของเรื่องนี่ตอนนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ละคนเป็นย่าเป็นยายกันหมดแล้ว
แปลกใจมากที่หนังเรื่องนี้ไม่มีกระแสในบ้านเราเลย (แต่อย่างว่าหนังคุณภาพๆแบบนี้ คงตีตลาดเมืองไทยยากนิดนึง 55) แต่เห็นว่ารายได้ในอเมริกาดีมาก ตอนนี้150ล้านแล้ว จากทุนสร้าง 25ล้าน ก็เก๋อยู่ ซึ่งสมควรแล้วเพราะหนังเค้าคุณภาพจริงๆ ไม่ได้ดูหนังแล้วชอบตลอดทั้งเรื่องขนาดนี้มานานแล้วครับ อยากไปดูรอบสองเลย
ไม่อยากให้พลาดกันครับ หนังดีมากก ท่ามกลางหนังที่มีแต่รีวิวห่วยๆออกมา ณ ตอนนี้ ยังมีเรื่องนี้ให้ดูครับhidden figure