หลังจากเดินทางมาถึงสนามบินฮาเนดะ เราก็มุ่งตรงไปหาเป้าหมายแรกเลยก็คือ JR EAST Travel Service Center เพื่อรับ JR East-South Hokkaido Rail Pass จากนั้นเราจึงเริ่มต้นการเดินทางจากสนามบินฮาเนดะโดยรถ Monorail เพื่อเดินทางต่อไปที่สถานี Tokyo สำหรับเดินทางต่อเนื่องด้วย Shinkansen ยาวไปจนถึง Hakodate บนเกาะ Hokkaido
สำหรับ JR East-South Hokkaido Rail Pass นั้น เป็นพาสสำหรับเดินทางได้ 6 วัน แบบเลือกวันใช้ได้ภายใน 14 วันหลังจากใช้พาสในวันแรก ราคาอยู่ที่ 26,000 เยน หากซื้อนอกประเทศญี่ปุ่น หรือจะซื้อที่ญี่ปุ่นก็ได้ แต่ราคาจะแพงขึ้นอีก 1,000 เยนเลยทีเดียว
เมื่อมาถึงสถานี Tokyo แล้ว สิ่งแรกที่จำเป็นของการท่องเที่ยวก็คือสเบียง! เราจะใช้เวลาระหว่างที่รอเวลาชินคันเซ็นในการหาเอกิเบน(ข้าวกล่อง) สำหรับนำไปทานบนรถไฟชินคันเซ็นระหว่างเดินทางไปฮอกไกโด นั่งๆ นอนๆ บน H5 Hokkaido Shinkansen ไปสักพักใหญ่กว่า 4 ชั่วโมง เราก็มาถึงสถานี Shin Hakodate-Hokuto หรือสถานีชินคันเซ็นที่อยู่เหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นในขณะนี้
เมื่อมาถึงสถานีแล้ว หากต้องการจะสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวก็สามารถเดินมาที่ศูนย์บริการการท่องเที่ยวภายในสถานีได้ หรือจะเดินทางต่อไปยังเมือง Hakodate เลยก็ได้เช่นกัน ซึ่งการเดินทางต่อจากนี้จะเป็นการนั่งรถไฟ Hakodate Liner โดยจะใช้เวลาอีกประมาณ 20 นาที
พอเดินทางมาจนถึง Hakodate แล้ว สิ่งแรกที่จะทำก็คือการกิน เราเลือกไปที่ร้าน Kaikoubo สำหรับมือเย็นในวันนี้ (ร้านเปิดบริการช่วงเย็นระหว่าง 17:00 จนถึง 23:00) ร้านนี้ก็จะมีเมนูอาหารทะเลสดๆ มากมายให้เลือก ซึ่งหลากหลายจนอยากสั่งมากินทั้งหมด
เมื่ออิ่มท้องสายใจและสะใจกับการกินมื้อเย็นไปแล้ว เราก็เดินไปที่โรงแรมที่เราได้จองไว้นั่นก็คือ La Vista Hakodate Bay ซึ่งห่างจากสถานี Hakodate เพียง 15 นาทีด้วยการเดิน แต่ก็ตั้งใกล้กับ Kanemori Red Brick และอ่าวเพียงแค่ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น โรงแรมแห่งนี้ก็จะมีบ่ออนเซนให้บริการ รวมถึงออนเซนแบบ semi-outdoor ด้วย
วันต่อมา .. วันนี้เราก็เลือกที่จะเที่ยวในเมือง Hakodate ต่อ เริ่มต้นด้วยการเดินเที่ยวตลาดเช้า Asaichi ซึ่งเป็นตลาดเช้าของเมือง Hakodate ที่มีของขายมากมาย รวมไปถึงอาหารทะเลสดๆ ซึ่งนั่นก็เป็นเป้าหมายของเรานั่นเอง ตลาดแห่งนี้จะเริ่มเปิดตั้งแต่เวลาตี 5 ไปจนถึงช่วงบ่าย การตกปลาหมึกที่นี่นับว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตของตลาด ถ้าอยากตกปลาหมึกมากินเอง ก็สามารถทำได้โดยการจ่ายเพียงประมาณ 910 เยน (แล้วแต่วัน) เราก็สามารถลองตกปลาหมึกแล้วให้พ่อค้าทำซาชิมิสดๆ ทานได้ทันที
ไปไหนดี .. ไปฟาร์มกันมั้ย? ต่อไปเราก็เดินทางไปที่พิพิธภัณฑ์ม้า หรือ Paard Musee International Museum of House เดินทางจาก Hakodate ไปลงที่สถานี Nagareyama-onsen ด้วยรถไฟธรรมดา โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาที ฟาร์มแห่งนี้เป็นดั่งพิพิธภัฌฑ์ประวัติศาตร์เกี่ยวกับม้าที่อยู่เคียงข้างกันกับคนญี่ปุ่น ทั้งเรื่องการขี่ม้าออกรบ หรือใช้ในการเดินทางและขนส่งต่างๆ ฟาร์มแห่งนี้มีกิจกรรมมากมาย ทั้งการสอนขี่ม้ารวมไปถึงการพักในฟาร์มก็มีเช่นกัน โดยการพักในฟาร์มนั้นจะมีที่พักชื่อว่า Moving House Smart Modulo ซึ่งเป็นเหมือนบ้านเล็กๆ ภายในฟาร์ม ก็นับว่าเป็นอีกประสบการณ์ที่น่าสนใจ
จากนั้นเราก็เดินทางกลับมาที่ Hakodate อีกครั้ง แล้วไปเที่ยวที่ Goryokaku กันต่อ แวะทานอาหารกลางวันสักเล็กน้อย แล้วเราจะไปขึ้น Goryokaku Tower กัน หอคอยแห่งนี้สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2006 มีความสูง 98 เมตร สามารถขึ้นไปชมวิวเมือง Hakodate และป้อม Goryokaku (ป้อม 5 แฉกหรือป้อมรูปดาว) ได้จากด้านบนนี้ ป้อม Goryokaku เป็นจุดชมซากุระชื่อดังของ Hakodate ด้วยนะ
ส่วนเรื่องการเดินทางนั้นไม่ยาก แค่เพียงนั่งรถรางจากสถานี Hakodate มาลงที่ Goryokaku Koenmae แล้วเดินต่ออีกเพียงเล็กน้อยก็ถึงแล้ว
ต่อมาเราก็นั่งรถรางมาลงที่สถานี Jujigai เพื่อไปเที่ยวต่อที่ Kanemori Red Brick Warehouse ซึ่งเป็นโกดังอิฐที่มีร้านค้าร้านขายของรวมถึงร้านขนมอยู่เพียบ! เดินเล่น หาของกินเล่นกันเพลินๆ ที่นี่ได้เลย
ต่อมาเราก็ไปที่ Motomachi เขตเมืองเก่าที่มีอาคารแบบตะวันตกเก่าๆ ตั้งอยู่ ซึ่ง Hakodate ก็เป็นเมืองท่าที่มีพ่อค้าชาวต่างชาติมาทำการติดต่อค้าขายอยู่เสมอๆ ในอดีตนั่นเอง
จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่เขา Hakodate เพื่อชมวิวเมืองในยามค่ำคืน ซึ่งวิวที่นี่เป็นที่กล่าวขานกันว่าเป็นวิวที่สวยในโลก และมันก็สวยจริงๆนั่นแหละนะ!
วันนี้เราจะไป Aomori กัน! การเดินทางก็เหมือนตอนขามา แค่เป็นการย้อนกลับเท่านั้น โดยเราจะลงที่สถานี Shin-Aomori เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Aomori แต่ก็เหมือนเดิม อยากเที่ยวให้เต็มที่ ท้องก็ต้องอิ่มด้วย ดังนั้นเราจึงเดินไปที่ Aomori Hotate Koya ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสถานี ร้านนี้เราสามารถจตกหอยโฮตาเตะสดๆ มาทานเองได้ หรือจะสั่งเป็นเมนูอาหารทะเลอื่นๆ ก็มีให้เลือก
ต่อมาเราก็ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เนบุตะกันต่อ (Nebuta Warasse Museum) ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้จัดแสดงโคมไฟที่ใช้แห่ในงานเทศกาลเนบุตะ ซึ่งเป็นเทศกาลชื่อดังและยิ่งใหญ่ที่สุดเทศกาลหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ส่วนข้างๆ กันนั้นคือ A-Factory ซึ่งเป็นร้านค้าที่รวบรวมของฝากของจังหวัด Aomori แบบว่าซื้อที่นี่ที่เดียวครบ!
ในวันนี้ตั้งใจจะไปดูเทศกาล Neputa ในเมือง Hirosaki แต่ก่อนอื่นก็ขอนั่งรถไฟเที่ยวกับรถไฟ Resort Shirakami กันก่อนแล้วกัน รถไฟ Resort Shirakami มี 3 แบบ แบ่งเป็น Kumagera, Buna และ Aoike
แต่เราก็ใช้เดินทางสั้นๆ ไปลงที่สถานี Goshogawara เพื่อไปเที่ยวชม Goshogawara Tachineputa no Yakata หรือ พิพิธภัณฑ์โคมไฟโกโชกะวะระ ทะชิเนปุตะ ซึ่งในทุกวันที่ 4-8 สิงหาคมของทุกปี ตั้งแต่เวลา 19:00น. ถึง 21:00น. จะมีการจัดเทศกาล Goshogawara Tachineputa Matsuri พอดี เทศกาลนี้จะเป็นการเดินพาเหรดหุ่นโคมไฟยักษ์ภายในเมือง จากนั้นเราก็ไปต่อมื้อเที่ยงที่ชั้นบนของพิพิธภัณฑ์ อาหารที่สั่งนั้นจะเป็นกล่องซ้อนสูงให้ความรู้สึกคล้ายกับ Tachineputa จากนั้นเราก็จะเดินทางกลับไปที่เมือง Hirosaki เพื่อไปจับจองพื้นที่ชม Hirosaki Neputa Matsuri ในคืนนี้
Hirosaki Neputa Matsuri เป็นเทศกาลแห่โคมไฟประจำเมือง Hirosaki ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในเทศกาลที่มีชื่อเสียงของจังหวัด Aomori และได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมในปี 1980 โดยเทศกาลนี้จะจัดขึ้นทุกวันที่ 1-7 สิงหาคมของทุกปี จุดเด่นของเทศกาลนี้ก็คือเกี้ยวแห่โคมไฟที่สวยงามมากมายพร้อมเสียงตะโกน “Yah Ya Doh!” ตลอดการแห่
จัดทริปขึ้นเหนือด้วย JR EAST-South Hokkaido Rail Pass!
สำหรับ JR East-South Hokkaido Rail Pass นั้น เป็นพาสสำหรับเดินทางได้ 6 วัน แบบเลือกวันใช้ได้ภายใน 14 วันหลังจากใช้พาสในวันแรก ราคาอยู่ที่ 26,000 เยน หากซื้อนอกประเทศญี่ปุ่น หรือจะซื้อที่ญี่ปุ่นก็ได้ แต่ราคาจะแพงขึ้นอีก 1,000 เยนเลยทีเดียว
เมื่อมาถึงสถานี Tokyo แล้ว สิ่งแรกที่จำเป็นของการท่องเที่ยวก็คือสเบียง! เราจะใช้เวลาระหว่างที่รอเวลาชินคันเซ็นในการหาเอกิเบน(ข้าวกล่อง) สำหรับนำไปทานบนรถไฟชินคันเซ็นระหว่างเดินทางไปฮอกไกโด นั่งๆ นอนๆ บน H5 Hokkaido Shinkansen ไปสักพักใหญ่กว่า 4 ชั่วโมง เราก็มาถึงสถานี Shin Hakodate-Hokuto หรือสถานีชินคันเซ็นที่อยู่เหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นในขณะนี้
เมื่อมาถึงสถานีแล้ว หากต้องการจะสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวก็สามารถเดินมาที่ศูนย์บริการการท่องเที่ยวภายในสถานีได้ หรือจะเดินทางต่อไปยังเมือง Hakodate เลยก็ได้เช่นกัน ซึ่งการเดินทางต่อจากนี้จะเป็นการนั่งรถไฟ Hakodate Liner โดยจะใช้เวลาอีกประมาณ 20 นาที
พอเดินทางมาจนถึง Hakodate แล้ว สิ่งแรกที่จะทำก็คือการกิน เราเลือกไปที่ร้าน Kaikoubo สำหรับมือเย็นในวันนี้ (ร้านเปิดบริการช่วงเย็นระหว่าง 17:00 จนถึง 23:00) ร้านนี้ก็จะมีเมนูอาหารทะเลสดๆ มากมายให้เลือก ซึ่งหลากหลายจนอยากสั่งมากินทั้งหมด
เมื่ออิ่มท้องสายใจและสะใจกับการกินมื้อเย็นไปแล้ว เราก็เดินไปที่โรงแรมที่เราได้จองไว้นั่นก็คือ La Vista Hakodate Bay ซึ่งห่างจากสถานี Hakodate เพียง 15 นาทีด้วยการเดิน แต่ก็ตั้งใกล้กับ Kanemori Red Brick และอ่าวเพียงแค่ประมาณ 3 นาทีเท่านั้น โรงแรมแห่งนี้ก็จะมีบ่ออนเซนให้บริการ รวมถึงออนเซนแบบ semi-outdoor ด้วย
วันต่อมา .. วันนี้เราก็เลือกที่จะเที่ยวในเมือง Hakodate ต่อ เริ่มต้นด้วยการเดินเที่ยวตลาดเช้า Asaichi ซึ่งเป็นตลาดเช้าของเมือง Hakodate ที่มีของขายมากมาย รวมไปถึงอาหารทะเลสดๆ ซึ่งนั่นก็เป็นเป้าหมายของเรานั่นเอง ตลาดแห่งนี้จะเริ่มเปิดตั้งแต่เวลาตี 5 ไปจนถึงช่วงบ่าย การตกปลาหมึกที่นี่นับว่าเป็นหนึ่งในกิจกรรมยอดฮิตของตลาด ถ้าอยากตกปลาหมึกมากินเอง ก็สามารถทำได้โดยการจ่ายเพียงประมาณ 910 เยน (แล้วแต่วัน) เราก็สามารถลองตกปลาหมึกแล้วให้พ่อค้าทำซาชิมิสดๆ ทานได้ทันที
ไปไหนดี .. ไปฟาร์มกันมั้ย? ต่อไปเราก็เดินทางไปที่พิพิธภัณฑ์ม้า หรือ Paard Musee International Museum of House เดินทางจาก Hakodate ไปลงที่สถานี Nagareyama-onsen ด้วยรถไฟธรรมดา โดยใช้เวลาประมาณ 50 นาที ฟาร์มแห่งนี้เป็นดั่งพิพิธภัฌฑ์ประวัติศาตร์เกี่ยวกับม้าที่อยู่เคียงข้างกันกับคนญี่ปุ่น ทั้งเรื่องการขี่ม้าออกรบ หรือใช้ในการเดินทางและขนส่งต่างๆ ฟาร์มแห่งนี้มีกิจกรรมมากมาย ทั้งการสอนขี่ม้ารวมไปถึงการพักในฟาร์มก็มีเช่นกัน โดยการพักในฟาร์มนั้นจะมีที่พักชื่อว่า Moving House Smart Modulo ซึ่งเป็นเหมือนบ้านเล็กๆ ภายในฟาร์ม ก็นับว่าเป็นอีกประสบการณ์ที่น่าสนใจ
จากนั้นเราก็เดินทางกลับมาที่ Hakodate อีกครั้ง แล้วไปเที่ยวที่ Goryokaku กันต่อ แวะทานอาหารกลางวันสักเล็กน้อย แล้วเราจะไปขึ้น Goryokaku Tower กัน หอคอยแห่งนี้สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2006 มีความสูง 98 เมตร สามารถขึ้นไปชมวิวเมือง Hakodate และป้อม Goryokaku (ป้อม 5 แฉกหรือป้อมรูปดาว) ได้จากด้านบนนี้ ป้อม Goryokaku เป็นจุดชมซากุระชื่อดังของ Hakodate ด้วยนะ
ส่วนเรื่องการเดินทางนั้นไม่ยาก แค่เพียงนั่งรถรางจากสถานี Hakodate มาลงที่ Goryokaku Koenmae แล้วเดินต่ออีกเพียงเล็กน้อยก็ถึงแล้ว
ต่อมาเราก็นั่งรถรางมาลงที่สถานี Jujigai เพื่อไปเที่ยวต่อที่ Kanemori Red Brick Warehouse ซึ่งเป็นโกดังอิฐที่มีร้านค้าร้านขายของรวมถึงร้านขนมอยู่เพียบ! เดินเล่น หาของกินเล่นกันเพลินๆ ที่นี่ได้เลย
ต่อมาเราก็ไปที่ Motomachi เขตเมืองเก่าที่มีอาคารแบบตะวันตกเก่าๆ ตั้งอยู่ ซึ่ง Hakodate ก็เป็นเมืองท่าที่มีพ่อค้าชาวต่างชาติมาทำการติดต่อค้าขายอยู่เสมอๆ ในอดีตนั่นเอง
จากนั้นก็เดินทางต่อไปที่เขา Hakodate เพื่อชมวิวเมืองในยามค่ำคืน ซึ่งวิวที่นี่เป็นที่กล่าวขานกันว่าเป็นวิวที่สวยในโลก และมันก็สวยจริงๆนั่นแหละนะ!
วันนี้เราจะไป Aomori กัน! การเดินทางก็เหมือนตอนขามา แค่เป็นการย้อนกลับเท่านั้น โดยเราจะลงที่สถานี Shin-Aomori เพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง Aomori แต่ก็เหมือนเดิม อยากเที่ยวให้เต็มที่ ท้องก็ต้องอิ่มด้วย ดังนั้นเราจึงเดินไปที่ Aomori Hotate Koya ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสถานี ร้านนี้เราสามารถจตกหอยโฮตาเตะสดๆ มาทานเองได้ หรือจะสั่งเป็นเมนูอาหารทะเลอื่นๆ ก็มีให้เลือก
ต่อมาเราก็ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เนบุตะกันต่อ (Nebuta Warasse Museum) ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ได้จัดแสดงโคมไฟที่ใช้แห่ในงานเทศกาลเนบุตะ ซึ่งเป็นเทศกาลชื่อดังและยิ่งใหญ่ที่สุดเทศกาลหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ส่วนข้างๆ กันนั้นคือ A-Factory ซึ่งเป็นร้านค้าที่รวบรวมของฝากของจังหวัด Aomori แบบว่าซื้อที่นี่ที่เดียวครบ!
ในวันนี้ตั้งใจจะไปดูเทศกาล Neputa ในเมือง Hirosaki แต่ก่อนอื่นก็ขอนั่งรถไฟเที่ยวกับรถไฟ Resort Shirakami กันก่อนแล้วกัน รถไฟ Resort Shirakami มี 3 แบบ แบ่งเป็น Kumagera, Buna และ Aoike
แต่เราก็ใช้เดินทางสั้นๆ ไปลงที่สถานี Goshogawara เพื่อไปเที่ยวชม Goshogawara Tachineputa no Yakata หรือ พิพิธภัณฑ์โคมไฟโกโชกะวะระ ทะชิเนปุตะ ซึ่งในทุกวันที่ 4-8 สิงหาคมของทุกปี ตั้งแต่เวลา 19:00น. ถึง 21:00น. จะมีการจัดเทศกาล Goshogawara Tachineputa Matsuri พอดี เทศกาลนี้จะเป็นการเดินพาเหรดหุ่นโคมไฟยักษ์ภายในเมือง จากนั้นเราก็ไปต่อมื้อเที่ยงที่ชั้นบนของพิพิธภัณฑ์ อาหารที่สั่งนั้นจะเป็นกล่องซ้อนสูงให้ความรู้สึกคล้ายกับ Tachineputa จากนั้นเราก็จะเดินทางกลับไปที่เมือง Hirosaki เพื่อไปจับจองพื้นที่ชม Hirosaki Neputa Matsuri ในคืนนี้
Hirosaki Neputa Matsuri เป็นเทศกาลแห่โคมไฟประจำเมือง Hirosaki ซึ่งเป็นอีกหนึ่งในเทศกาลที่มีชื่อเสียงของจังหวัด Aomori และได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมในปี 1980 โดยเทศกาลนี้จะจัดขึ้นทุกวันที่ 1-7 สิงหาคมของทุกปี จุดเด่นของเทศกาลนี้ก็คือเกี้ยวแห่โคมไฟที่สวยงามมากมายพร้อมเสียงตะโกน “Yah Ya Doh!” ตลอดการแห่