สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาว pantip ชื่อพอลล่านะคะ อายุ 25 ปัจจุบันทำงานสายอาชีพเป็นเลขานุการบริษัทเอกชนแห่งนึง ต้องขอบอกก่อนว่าหัวข้อกระทู้ไม่ได้จะเหยียดพี่มด มาดามมดแต่อย่างใด พี่มดสวยในแบบของพี่มด นี่นับถือในความสามารถและชอบนิสัยของนาง (แนะนำให้ดูรายการtalk กะเทย ตอนนางไปออก ไอด้อลเว่อร์) แต่ด้วยความที่โดนล้อมาตลอด ความรู้สึกมันเหมือนเรากำลังเป็นตัวตลกของเพื่อนๆ มันรู้สึกไม่ใช่ นี่ก็คน มีความรู้สึก ไม่ได้ตลกตลอด เลยทำให้ตัดสินใจอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพื่อเอาชนะภาพลักษณ์ที่คนอื่นติดตา
ด้วยความที่นี่เป็นสาวประเภท 2 หรือภาษาบ้านๆ กะเทย ก็แน่ล่ะว่าต้องติดนิสัยโปกฮา เป็นตัวเรียกเสียงหัวเราะให้คนรอบข้าง และด้วยลุคตัวเองด้วยแหละที่ดูเหมือนพี่มดในบางมุม ทำให้เพื่อนๆ ชอบแซวว่านี่เป็นแฝดมาดามมด แต่กะเทยก็มีหัวใจเนาะ โดนล้อบ่อยๆ เลยกลายเป็นน้อยใจแต่ไม่บอก
ย้อนความไปสมัยมหาลัย เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง คือพอเข้ามหาลัยนี่ก็เริ่มจะแต่งหญิงแบบเต็มตัวละ แต่ด้วยความที่นี่มีโครงหน้าเหมือนผู้ชาย ตาเอย จมูกเอย คางเอย ยิ่งโดนล้อว่ามาดามมด มันเลยรู้สึกแบบ ชั้นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างละ ก็เลยเริ่มต้นที่ทำจมูกก่อน เบสิคๆ ด้วยความที่จมูกนี่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้หน้าดูไม่มีมิติ ดูดุ ดูผู้ชาย ดูไม่น่าดู อยากได้จมูกเรียวๆ โด่งๆ !! ตอนนั้นอยู่ปี 2 เทอมแรก ด้วยยุคสมัยที่ยังมีตัวเลือกไม่มาก เลยตัดสินใจ(ผิด)เลือกคลินิกที่ค่อนข้างแมส ราคาปานกลาง แต่ซวยหรืออะไรไม่รู้ ทำแล้วเบี้ยว แก้ 2 รอบก็ยังเบี้ยว สรุปก็ถอดออก ในปีเดียว ช้ำใจอีพอลล่าเว่อออ
ด้วยความผิดหวัง คุณแม่สงสารในสภาพตรอมใจ นางเลยเสนอให้ไปแปลงเพศ จะได้เป็นผู้หญิงเต็มตัวไปเลย นี่ก็ไปทำซิ่ เพราะมาถึงขนาดนี้เนาะ ทำให้สุดไปเลย ทำในช่วงปี 2 เทอม 2 หลังจากจมูก ทำที่เดียวกับจมูกค่ะ (ไม่ขอเล่าละเอียดการทำนะคะเพราะค่อนข้างเรท เดี๋ยวกระทู้นี่จะโดนหิ้วค่ะ หลังไมค์ละกันเนาะ5555555555555555) แต่ยอมรับเลยว่าแปลงเพศเป็นอะไรที่ทรมานสุด ช่วงแรกทั้งเจ็บ ทั้งทรมาน แล้วก็ดูแลยาก กว่าจะเข้าที่จริงๆคือ 3 เดือนค่ะ โชคดีเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่พอดี แต่ง่อยเว่ออออออออ ทำอะไรก็ลำบาก โชคดีที่ผ่านมาได้เนาะ ผลลัพธ์ออกมาดูดี สมจริง ใช้งานได้จริงค่ะ
พอขึ้นปี 3 ไปเป็นอะไรที่ป๊อปปูล่าร์มากกกกกกกกกก โดนเม้าต่อสุด ผลพวงทำให้ผู้ชายเข้าหามากขึ้น มาดามมดละไง มีผู้ชายเข้าหาละกันเธอ หรืออาจเป็นเพราะเรามีความเป็นหญิงมากขึ้น เกี่ยวป่ะ ? 5555 ปีนี้เลยพักเครื่องหน้าไว้ก่อนค่ะ พอเข้าปี 4 กลับไปดัดฟันอีกรอบ เคยดัดมาแล้วตอนมัธยม แต่มันไม่เข้า หมอก็แพลนว่าฟันนี่ต้องตัดขากรรไกรร่วมด้วยเพราะมีปัญหาฟันไม่สบกัน+คางยื่น ใช้เวลารวมๆประมาณ 5 ปี ดีออกกกกกกก(คำสร้อย) ทุกวันนี้ยังดัดอยู่เลยค่ะ ลำไยมากอ่า
หลังจากห่างหายจากวงการมีดหมอไป 1 ปีเต็มๆ ก็คิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องกลับมาเติมความสวยล่ะ อยู่ในช่วงหางานแรกๆ เลย เลยตัดสินใจเสริมหน้าอก 380cc ยี่ห้อ allergan ค่ะ เสริมออกมาแล้วโอเคเลยดูธรรมชาติ ไม่โป๊ะ แต่บางทีก็ดูเล็กเนาะ หรืออาจจะเป็นเพราะนี่หุ่นค่อนข้างสูง แต่ก็โอเคประทับใจ หลังจากนมเข้าที่แล้วช่วงกลางปีหลังก็ได้ดีลทำจมูกราคาพิเศษแบบโอเพ่นเกาหลี (เสริม+ลดขนาดจมูก) เหตุผลที่ได้ราคาพิเศษ..เพราะคุณหมอลองมือ ตอนนั้นก็แอบคาดหวังไว้ว่ามันจะออกมาสวยนะ แต่สรุปก็ออกมาดูไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ ดูธรรมชาติ จมูกยังดูไม่ค่อยต่างเท่าไหร่ เห้ออออออออออออ กลับมานอยด์อีกรอบค่ะเธอ ถึงขนาดคิดว่าตัวนี่เองไม่มีบุญด้านนี้ !!
จุดที่เริ่มเปลี่ยนแปลงจริงๆ คือช่วงนี้แหละ ศัลยกรรมก็ไม่เลิศ ผู้ชายยิ่งแล้วใหญ่ โดนเทแล้วเทอีก อาจเป็นเพราะนี่เป็นกะเทยที่ไม่สวย เลยหยุดทุกอย่างไว้ก่อน แล้วหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ออกกำลังกาย ปรับบุคลิกภาพตัวเอง เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว แล้วก็หันมาโฟกัสกับการทำธุรกิจส่วนตัวกับที่บ้าน จะบอกว่าพอได้เริ่มทำงานจริงๆ จังๆ ความคิดเราก็จะเริ่มโตขึ้น มีเรื่องให้รับผิดชอบ จากความคิดที่แบบชาตินี้จะมีผัวมั้ย ก็เปลี่ยนไปมากกกกกกกกกก ไม่มี ก็ไม่ตาย ทำไมเราต้องพยายามสวยเผื่อให้ได้ผัว ? ทำไมเราไม่สวยเพื่อตัวเอง และสวยอย่างเดียวไม่พอ ต้องฉลาด ต้องเก่งด้วย เป็นกะเทยต้องสตรอง!!!!!!!!!
หลังจากที่ทำธุรกิจส่วนตัวมาได้สักพักนึงก็ถึงคิวผ่าตัดขากรรไกรที่คุณหมอวางแพลนไว้ให้นี่ทำ (เข้าสู่การดัดฟันปีที่ 3) ผ่าตัดขากรรไกรทำที่รพ.นะคะ นอนพักรพ. 1 คืน เลเวลความเจ็บถ้าเทียบกับผ่าตัดแปลงเพศคือเบสิคไปเลย จะรู้สึกเมื่อยๆ มากกว่าเจ็บ ติดตรงที่ทานอะไรลำบากมากกกกกกก ซดน้ำข้าวต้มวนไป กินอะไรไม่ได้เลยเพราะถูกมัดฟัน ซดได้แต่พวกที่เป็นน้ำๆ น้ำซุปเอย น้ำปั่นเอย ช่วงนั้นก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนเกือบๆ 1 เดือนเลย เพราะหน้าบวมเป็นอวตาร แต่พอเริ่มเข้าที่ อันนี้ยอมรับนะว่าหน้าเปลี่ยน จากที่ดูกะเทย คางยื่นผิดรูป ตอนนี้ดูหน้าเล็กลงมากขึ้น ดูชะนีมากขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับวีไลน์อะไรขนาดนั้นเพราะทำกับโรงพยาบาลค่ะ เป็นการรักษามากกว่าศัลยกรรมสวยความงาม โดยรวมถือเป็นอีกหนึ่งการศัลยกรรมที่ทำให้หน้าเปลี่ยนไปในทางที่ดีที่สุด หลังจากนั้นคุณแม่ก็ติงมาว่าถ้าจะทำอะไรอีก จะไม่ออกให้แล้วนะจ๊ะ หาเงินเอง นี่เลยตัดสินใจหางานประจำทำ เพราะรู้สึกว่าด้วยอายุเท่านี้ยังเร็วไปที่จะทำธุรกิจ และยังมีส่วนอื่นที่อยากจะทำเพิ่มอีก!! 5555555555555 ซึ่งก็ได้งาน ที่กำลังทำในปัจจุบันนี้ค่ะ เป็นเลขาบริษัทเอกชน เงินเดือนปานกลาง สังคมดี เพื่อนทำงานดี แต่ช่วงที่เข้ามาทำงานนี้เองก็เริ่มมีผู้ชายเข้ามาคุยบ้าง ตอนนี้รู้สึกเลยว่าตัวเองโตขึ้น สตรองมากขึ้น จากที่เวลาผู้ชายเข้ามาเราจะออกตัวตลอด แสดงออกว่าชอบ เพราะคิดว่านี่เป็นกะเทย น้ำขึ้นก็ต้องรีบตัก แต่ตอนนี้คือคอนโทรลความรู้สึก เผื่อใจ แล้วก็วางตัว ทิ้งระยะห่าง คนไหนรับตัวตนเราไม่ได้ คนไหนเร่งรัด ก็เทค่ะ เข็ดกับอะไรเร็วๆ มากก มาเร็ว ไปเร็วตลอด
พักเรื่องผู้ชายไว้ก่อน มาพูดถึงความสวยๆงามๆ กันต่อค่ะ พอขากรรไกรเริ่มเข้าที่ หน้าเริ่มเข้าที่ ตอนนี้เราเลยหันมาโฟกัสปัญหาโครงหน้าก่อนจุดอื่น เพราะรูปหน้าดูแข็งๆ เหมือนผู้ชาย ใจจริงถ้ามีเงินก็อยากไปโมที่เกาหลีไปเลยจะได้จบๆ แต่ด้วยทุนทรัพย์ ณ ตอนนั้นเลยเลือกเติมไขมันบริเวณใบหน้าแทนค่ะ กับคลินิกแห่งนึง ซึ่งนี่ให้คุณหมอใช้ไขมันส่วนก้นดูดออกมาเติมบริเวณขมับ ใต้ตา และแก้ม เติมไปทั้งหมด 2 รอบค่ะ ผลลัพธ์คือไม่เวิร์คเลยเธอ บ้ง! เสียเงินเสียเวลามาก ก็ไม่รู้ว่าช่วงนั้นหมอในไทยยังไม่เลิศด้านนี้รึเปล่า เลยหันไปพึ่งการฉีดฟิลเลอร์แทน แต่ทำอีกคลินิกนึงค่ะ ซึ่งนี่ได้ความรู้ใหม่ๆ จากที่นี่เยอะเวอร์ ก่อนหน้านี้คิดว่าฉีดไขมันดีกว่าฉีดฟิลเลอร์ แต่จริงๆ แล้วเรื่องคุณภาพ มันไม่ต่างกันเลยหล่อน (แต่ราคานี่สิ่55555555555555555) ฉีดผิดตำแหน่งหรือฉีดโดนเส้นเลือด ก็อันตราย ตาบอด พิการได้เหมือนกัน คือคุณหมอแนะนำว่ามันต่างตรงที่ไขมันควรจะฉีดบริเวณที่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง จะทำให้มันอยู่ได้นาน ส่วนฟิลเลอร์จริงๆแล้วฉีดได้ทุกบริเวณ แต่ก็ต้องเลือกชนิดเลือกยี่ห้อให้เหมาะกับบริเวณที่ฉีด ข้อเสียคือมีระยะเวลาจำกัด แต่ถ้าดูแลตัวเองดีก็จะอยู่ได้นานพอสมควร รอบนี้นี่เลยลองฉีดฟิลเลอร์หน้าผากดูก่อน ใช้ของ juvederm สลายได้ 100% ฉีดไป 1 cc รู้สึกว่าเห็นความแตกต่างได้มากกว่าฉีดไขมันอีก เลิศ
หลังจากประทับใจกับการฉีดหน้าผาก เลยตัดสินใจปรึกษาทำตา 2 ชั้น ที่คลินิกเดิม เพราะที่นี่ดังเรื่องการทำตา 2 เพราะตรงนี้เราใช้เงินเก็บของตัวเองทำละ ไม่ได้ขอแม่เหมือนเมื่อก่อน ใช้เวลาการทำประมาณ 1 ชั่วโมง แต่หลังทำมีรอยช้ำแดงๆ นิดหน่อย เพราะด้วยความที่ทุนเดิมเป็นคนช้ำง่าย นอยด์ไป 1 อาทิตย์ แต่งหน้าไม่ได้เลย โดนแซวอีหอยแครงไปอีก โกรธมาก555555555555555 บอกตามตรงว่าตา 2 ชั้น กว่าที่มันจะเข้าที่เข้าทางจริงๆ หลังจากที่นี่เข้าไปติดตามผลกับคุณหมอครบเดือนแรก ได้คำตอบกับมาว่า กว่าจะเข้าที่ระยะแรก อยู่ที่ 2 – 3 เดือน เป๊ะเต็มที่เลยคือ 6 เดือนขึ้นไป ใครที่จะทำตา 2 ชั้นนี่จิตใจต้องนิ่งหน่อยนะคะเธอ เพราะวันดีคืนดีมันก็บวมขึ้นมา ชั้นตาไม่เท่ากันบ้าง เป็นเรื่องปกติ เพราะตาเป็นอวัยวะที่ขยับเกือบตลอดเวลา ไม่เหมือนกับส่วนๆอื่นๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องนอยด์กันนะคะกะเทยยยย ชะนี พอชั้นตาเริ่มเข้าที่ละ รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเวลาสบตาใคร เพราะปกติเป็นคนมีชั้นตาที่แปลกมากกกกกกกก หลบในแบบประหลาดเว่อร์ แต่ชั้นตาที่ได้มาก็ไม่ได้โตเว่อร์อะไรเว่อร์เพราะนี่ขอหมอเอาที่เหมาะกับหน้า เบ้าหน้าหนูไม่ได้เกาหลี ก็ขอกลางๆ ไม่หนา ไม่ตื้นเกิน ขอพอดีๆ ค่ะ
เดี๋ยวมาต่อนะคะ จะสรุปให้ฟังว่า ปัจจุบันทำอะไรไปบ้าง กับการเดินทางไกลในครั้งนี้ 555
[CR] กะเทยรีวิว โดนล้อเหมือน “มาดามมด” จนต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ด้วยความที่นี่เป็นสาวประเภท 2 หรือภาษาบ้านๆ กะเทย ก็แน่ล่ะว่าต้องติดนิสัยโปกฮา เป็นตัวเรียกเสียงหัวเราะให้คนรอบข้าง และด้วยลุคตัวเองด้วยแหละที่ดูเหมือนพี่มดในบางมุม ทำให้เพื่อนๆ ชอบแซวว่านี่เป็นแฝดมาดามมด แต่กะเทยก็มีหัวใจเนาะ โดนล้อบ่อยๆ เลยกลายเป็นน้อยใจแต่ไม่บอก
ย้อนความไปสมัยมหาลัย เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเอง คือพอเข้ามหาลัยนี่ก็เริ่มจะแต่งหญิงแบบเต็มตัวละ แต่ด้วยความที่นี่มีโครงหน้าเหมือนผู้ชาย ตาเอย จมูกเอย คางเอย ยิ่งโดนล้อว่ามาดามมด มันเลยรู้สึกแบบ ชั้นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างละ ก็เลยเริ่มต้นที่ทำจมูกก่อน เบสิคๆ ด้วยความที่จมูกนี่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้หน้าดูไม่มีมิติ ดูดุ ดูผู้ชาย ดูไม่น่าดู อยากได้จมูกเรียวๆ โด่งๆ !! ตอนนั้นอยู่ปี 2 เทอมแรก ด้วยยุคสมัยที่ยังมีตัวเลือกไม่มาก เลยตัดสินใจ(ผิด)เลือกคลินิกที่ค่อนข้างแมส ราคาปานกลาง แต่ซวยหรืออะไรไม่รู้ ทำแล้วเบี้ยว แก้ 2 รอบก็ยังเบี้ยว สรุปก็ถอดออก ในปีเดียว ช้ำใจอีพอลล่าเว่อออ
ด้วยความผิดหวัง คุณแม่สงสารในสภาพตรอมใจ นางเลยเสนอให้ไปแปลงเพศ จะได้เป็นผู้หญิงเต็มตัวไปเลย นี่ก็ไปทำซิ่ เพราะมาถึงขนาดนี้เนาะ ทำให้สุดไปเลย ทำในช่วงปี 2 เทอม 2 หลังจากจมูก ทำที่เดียวกับจมูกค่ะ (ไม่ขอเล่าละเอียดการทำนะคะเพราะค่อนข้างเรท เดี๋ยวกระทู้นี่จะโดนหิ้วค่ะ หลังไมค์ละกันเนาะ5555555555555555) แต่ยอมรับเลยว่าแปลงเพศเป็นอะไรที่ทรมานสุด ช่วงแรกทั้งเจ็บ ทั้งทรมาน แล้วก็ดูแลยาก กว่าจะเข้าที่จริงๆคือ 3 เดือนค่ะ โชคดีเป็นช่วงปิดเทอมใหญ่พอดี แต่ง่อยเว่ออออออออ ทำอะไรก็ลำบาก โชคดีที่ผ่านมาได้เนาะ ผลลัพธ์ออกมาดูดี สมจริง ใช้งานได้จริงค่ะ
พอขึ้นปี 3 ไปเป็นอะไรที่ป๊อปปูล่าร์มากกกกกกกกกก โดนเม้าต่อสุด ผลพวงทำให้ผู้ชายเข้าหามากขึ้น มาดามมดละไง มีผู้ชายเข้าหาละกันเธอ หรืออาจเป็นเพราะเรามีความเป็นหญิงมากขึ้น เกี่ยวป่ะ ? 5555 ปีนี้เลยพักเครื่องหน้าไว้ก่อนค่ะ พอเข้าปี 4 กลับไปดัดฟันอีกรอบ เคยดัดมาแล้วตอนมัธยม แต่มันไม่เข้า หมอก็แพลนว่าฟันนี่ต้องตัดขากรรไกรร่วมด้วยเพราะมีปัญหาฟันไม่สบกัน+คางยื่น ใช้เวลารวมๆประมาณ 5 ปี ดีออกกกกกกก(คำสร้อย) ทุกวันนี้ยังดัดอยู่เลยค่ะ ลำไยมากอ่า
หลังจากห่างหายจากวงการมีดหมอไป 1 ปีเต็มๆ ก็คิดว่าคงถึงเวลาที่ต้องกลับมาเติมความสวยล่ะ อยู่ในช่วงหางานแรกๆ เลย เลยตัดสินใจเสริมหน้าอก 380cc ยี่ห้อ allergan ค่ะ เสริมออกมาแล้วโอเคเลยดูธรรมชาติ ไม่โป๊ะ แต่บางทีก็ดูเล็กเนาะ หรืออาจจะเป็นเพราะนี่หุ่นค่อนข้างสูง แต่ก็โอเคประทับใจ หลังจากนมเข้าที่แล้วช่วงกลางปีหลังก็ได้ดีลทำจมูกราคาพิเศษแบบโอเพ่นเกาหลี (เสริม+ลดขนาดจมูก) เหตุผลที่ได้ราคาพิเศษ..เพราะคุณหมอลองมือ ตอนนั้นก็แอบคาดหวังไว้ว่ามันจะออกมาสวยนะ แต่สรุปก็ออกมาดูไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ ดูธรรมชาติ จมูกยังดูไม่ค่อยต่างเท่าไหร่ เห้ออออออออออออ กลับมานอยด์อีกรอบค่ะเธอ ถึงขนาดคิดว่าตัวนี่เองไม่มีบุญด้านนี้ !!
จุดที่เริ่มเปลี่ยนแปลงจริงๆ คือช่วงนี้แหละ ศัลยกรรมก็ไม่เลิศ ผู้ชายยิ่งแล้วใหญ่ โดนเทแล้วเทอีก อาจเป็นเพราะนี่เป็นกะเทยที่ไม่สวย เลยหยุดทุกอย่างไว้ก่อน แล้วหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ออกกำลังกาย ปรับบุคลิกภาพตัวเอง เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว แล้วก็หันมาโฟกัสกับการทำธุรกิจส่วนตัวกับที่บ้าน จะบอกว่าพอได้เริ่มทำงานจริงๆ จังๆ ความคิดเราก็จะเริ่มโตขึ้น มีเรื่องให้รับผิดชอบ จากความคิดที่แบบชาตินี้จะมีผัวมั้ย ก็เปลี่ยนไปมากกกกกกกกกก ไม่มี ก็ไม่ตาย ทำไมเราต้องพยายามสวยเผื่อให้ได้ผัว ? ทำไมเราไม่สวยเพื่อตัวเอง และสวยอย่างเดียวไม่พอ ต้องฉลาด ต้องเก่งด้วย เป็นกะเทยต้องสตรอง!!!!!!!!!
หลังจากที่ทำธุรกิจส่วนตัวมาได้สักพักนึงก็ถึงคิวผ่าตัดขากรรไกรที่คุณหมอวางแพลนไว้ให้นี่ทำ (เข้าสู่การดัดฟันปีที่ 3) ผ่าตัดขากรรไกรทำที่รพ.นะคะ นอนพักรพ. 1 คืน เลเวลความเจ็บถ้าเทียบกับผ่าตัดแปลงเพศคือเบสิคไปเลย จะรู้สึกเมื่อยๆ มากกว่าเจ็บ ติดตรงที่ทานอะไรลำบากมากกกกกกก ซดน้ำข้าวต้มวนไป กินอะไรไม่ได้เลยเพราะถูกมัดฟัน ซดได้แต่พวกที่เป็นน้ำๆ น้ำซุปเอย น้ำปั่นเอย ช่วงนั้นก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนเกือบๆ 1 เดือนเลย เพราะหน้าบวมเป็นอวตาร แต่พอเริ่มเข้าที่ อันนี้ยอมรับนะว่าหน้าเปลี่ยน จากที่ดูกะเทย คางยื่นผิดรูป ตอนนี้ดูหน้าเล็กลงมากขึ้น ดูชะนีมากขึ้น แต่ก็ไม่ถึงกับวีไลน์อะไรขนาดนั้นเพราะทำกับโรงพยาบาลค่ะ เป็นการรักษามากกว่าศัลยกรรมสวยความงาม โดยรวมถือเป็นอีกหนึ่งการศัลยกรรมที่ทำให้หน้าเปลี่ยนไปในทางที่ดีที่สุด หลังจากนั้นคุณแม่ก็ติงมาว่าถ้าจะทำอะไรอีก จะไม่ออกให้แล้วนะจ๊ะ หาเงินเอง นี่เลยตัดสินใจหางานประจำทำ เพราะรู้สึกว่าด้วยอายุเท่านี้ยังเร็วไปที่จะทำธุรกิจ และยังมีส่วนอื่นที่อยากจะทำเพิ่มอีก!! 5555555555555 ซึ่งก็ได้งาน ที่กำลังทำในปัจจุบันนี้ค่ะ เป็นเลขาบริษัทเอกชน เงินเดือนปานกลาง สังคมดี เพื่อนทำงานดี แต่ช่วงที่เข้ามาทำงานนี้เองก็เริ่มมีผู้ชายเข้ามาคุยบ้าง ตอนนี้รู้สึกเลยว่าตัวเองโตขึ้น สตรองมากขึ้น จากที่เวลาผู้ชายเข้ามาเราจะออกตัวตลอด แสดงออกว่าชอบ เพราะคิดว่านี่เป็นกะเทย น้ำขึ้นก็ต้องรีบตัก แต่ตอนนี้คือคอนโทรลความรู้สึก เผื่อใจ แล้วก็วางตัว ทิ้งระยะห่าง คนไหนรับตัวตนเราไม่ได้ คนไหนเร่งรัด ก็เทค่ะ เข็ดกับอะไรเร็วๆ มากก มาเร็ว ไปเร็วตลอด
พักเรื่องผู้ชายไว้ก่อน มาพูดถึงความสวยๆงามๆ กันต่อค่ะ พอขากรรไกรเริ่มเข้าที่ หน้าเริ่มเข้าที่ ตอนนี้เราเลยหันมาโฟกัสปัญหาโครงหน้าก่อนจุดอื่น เพราะรูปหน้าดูแข็งๆ เหมือนผู้ชาย ใจจริงถ้ามีเงินก็อยากไปโมที่เกาหลีไปเลยจะได้จบๆ แต่ด้วยทุนทรัพย์ ณ ตอนนั้นเลยเลือกเติมไขมันบริเวณใบหน้าแทนค่ะ กับคลินิกแห่งนึง ซึ่งนี่ให้คุณหมอใช้ไขมันส่วนก้นดูดออกมาเติมบริเวณขมับ ใต้ตา และแก้ม เติมไปทั้งหมด 2 รอบค่ะ ผลลัพธ์คือไม่เวิร์คเลยเธอ บ้ง! เสียเงินเสียเวลามาก ก็ไม่รู้ว่าช่วงนั้นหมอในไทยยังไม่เลิศด้านนี้รึเปล่า เลยหันไปพึ่งการฉีดฟิลเลอร์แทน แต่ทำอีกคลินิกนึงค่ะ ซึ่งนี่ได้ความรู้ใหม่ๆ จากที่นี่เยอะเวอร์ ก่อนหน้านี้คิดว่าฉีดไขมันดีกว่าฉีดฟิลเลอร์ แต่จริงๆ แล้วเรื่องคุณภาพ มันไม่ต่างกันเลยหล่อน (แต่ราคานี่สิ่55555555555555555) ฉีดผิดตำแหน่งหรือฉีดโดนเส้นเลือด ก็อันตราย ตาบอด พิการได้เหมือนกัน คือคุณหมอแนะนำว่ามันต่างตรงที่ไขมันควรจะฉีดบริเวณที่มีเลือดไปหล่อเลี้ยง จะทำให้มันอยู่ได้นาน ส่วนฟิลเลอร์จริงๆแล้วฉีดได้ทุกบริเวณ แต่ก็ต้องเลือกชนิดเลือกยี่ห้อให้เหมาะกับบริเวณที่ฉีด ข้อเสียคือมีระยะเวลาจำกัด แต่ถ้าดูแลตัวเองดีก็จะอยู่ได้นานพอสมควร รอบนี้นี่เลยลองฉีดฟิลเลอร์หน้าผากดูก่อน ใช้ของ juvederm สลายได้ 100% ฉีดไป 1 cc รู้สึกว่าเห็นความแตกต่างได้มากกว่าฉีดไขมันอีก เลิศ
หลังจากประทับใจกับการฉีดหน้าผาก เลยตัดสินใจปรึกษาทำตา 2 ชั้น ที่คลินิกเดิม เพราะที่นี่ดังเรื่องการทำตา 2 เพราะตรงนี้เราใช้เงินเก็บของตัวเองทำละ ไม่ได้ขอแม่เหมือนเมื่อก่อน ใช้เวลาการทำประมาณ 1 ชั่วโมง แต่หลังทำมีรอยช้ำแดงๆ นิดหน่อย เพราะด้วยความที่ทุนเดิมเป็นคนช้ำง่าย นอยด์ไป 1 อาทิตย์ แต่งหน้าไม่ได้เลย โดนแซวอีหอยแครงไปอีก โกรธมาก555555555555555 บอกตามตรงว่าตา 2 ชั้น กว่าที่มันจะเข้าที่เข้าทางจริงๆ หลังจากที่นี่เข้าไปติดตามผลกับคุณหมอครบเดือนแรก ได้คำตอบกับมาว่า กว่าจะเข้าที่ระยะแรก อยู่ที่ 2 – 3 เดือน เป๊ะเต็มที่เลยคือ 6 เดือนขึ้นไป ใครที่จะทำตา 2 ชั้นนี่จิตใจต้องนิ่งหน่อยนะคะเธอ เพราะวันดีคืนดีมันก็บวมขึ้นมา ชั้นตาไม่เท่ากันบ้าง เป็นเรื่องปกติ เพราะตาเป็นอวัยวะที่ขยับเกือบตลอดเวลา ไม่เหมือนกับส่วนๆอื่นๆ เพราะฉะนั้นไม่ต้องนอยด์กันนะคะกะเทยยยย ชะนี พอชั้นตาเริ่มเข้าที่ละ รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเวลาสบตาใคร เพราะปกติเป็นคนมีชั้นตาที่แปลกมากกกกกกกก หลบในแบบประหลาดเว่อร์ แต่ชั้นตาที่ได้มาก็ไม่ได้โตเว่อร์อะไรเว่อร์เพราะนี่ขอหมอเอาที่เหมาะกับหน้า เบ้าหน้าหนูไม่ได้เกาหลี ก็ขอกลางๆ ไม่หนา ไม่ตื้นเกิน ขอพอดีๆ ค่ะ
เดี๋ยวมาต่อนะคะ จะสรุปให้ฟังว่า ปัจจุบันทำอะไรไปบ้าง กับการเดินทางไกลในครั้งนี้ 555