Wonderfruit Festival เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองศิลปะ ดนตรี และชีวิต ที่มีสเกลอินเตอร์ ดูเป็นระดับโลก ส่วนตัวมองว่าคล้ายๆกับงาน Coachella เทศกาลดนตรีที่แคลิฟอร์เนีย รวมถึงมีกลิ่นอายของเทศกาล Woodstock ในแง่ของความฮิปปี้ ธีมรักษ์โลก กับเทศกาล Glastonbury ในแง่ของการจัดการต่างๆ (นอนเต้นท์ , มีนํ้าดื่มบริการเป็นจุด) เพียงแต่ Wonderfruit จะไม่เฉอะแฉะเหมือน Glastonbury ที่ต้องใส่บูทเดิน ซึ่ง Wonderfruit ออกจะร้อนและแห้งแล้งพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงขั้นเทศกาล Burningman ที่ไปจัดกลางทะเลทราย
Wonderfruit 2017 ถือเป็นครั้งที่ 3 ของเทศกาลดนตรีที่มีคำขวัญว่า Live Love Wonder จัดขึ้นที่สยามคันทรีคลับ พัทยา ระยะเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 16-19 กพ. 60 โดยผู้ที่บุกเบิกเทศกลาลนี้เป็นคนไทยที่ชื่อ พีท ประณิธาน พรประภา และในปีนี้ได้ เจ มณฑล นักดนตรีชื่อดังมาร่วมจัดงานด้วย ราคาบัตรต้องบอกว่าแพงพอสมควร ถ้าซื้อล่วงหน้านานในโปร Early bird ก็อาจจะถูกลงหน่อย แต่ต้องล็อกคิวล็อกวันให้ดีๆเลย เด็กเล็กคิดราคาวันละ 800บาท สัตว์เลี้ยงก็ราคานี้เช่นกัน บัตรที่ขายดีที่สุดน่าจะเป็นบัตรสองวันกับบัตรวันเดียวที่ตรงกับเสาร์อาทิตย์คือวันที่ 18 กับ 19 กพ. ผมเองก็ซื้อบัตรสองวัน
ในส่วนของที่พักมีเต้นท์แบบบูติกขนาดใหญ่และขนาดกลาง ราคาหลักหมื่นต่อคืน และมีโรงแรมบริเวณใกล้เคียงที่เป็นพันธมิตร ซึ่งก่อนงานเริ่ม 1 สัปดาห์ทั้งหมดนี้ถูกจองเต็มหมดแล้ว ผมเลย inbox ไปถามแอดมินเพจ Wonderfruit ได้ความว่าโซน General camping จุดกางเต้นท์ฟรีของงานไม่มีการจองก่อน ใครมาถึงก่อนก็ได้พื้นที่ไปเลย เลยฝากความหวังไว้กับโซนนี้
ออกเดินทางตั้งแต่เช้าวันเสาร์ประมาณ 7 โมง หลบรถติด และจะได้มีเวลาอยู่ในงานนานๆให้คุ้มค่าบัตร (คิดถูกมากที่ออกเช้าเพราะวันนั้นพี่ที่รู้จักออก10โมงมาถึงพัทยาบ่าย2เลย) ประมาณ 9 โมงกว่าก็เดินทางถึงงาน แดดสายเริ่มร้อน ลงทะเบียนประตูทางเข้า ตรวจกระเป๋าหาของกิน เครื่องดื่มกับอาวุธ สิ่งเหล่านี้ห้ามเอาเข้างาน นํ้าดื่มที่อยู่ในขวดต้องดื่มให้หมด สามารถเอาขวดเข้าไปเติมนํ้าใหม่ในงานได้ สายรัดข้อมือจะมีสองสาย คือสายเข้างานที่ระบุว่าเราพักในโซนเต้นท์ไหน แต่ละโซนจะไม่ให้คนนอกเข้า มีเจ้าหน้าที่ตรวจทุกคนที่ทางเข้าออกตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนคนที่ไม่ได้พักในงานก็ได้สายรัดอีกแบบ จะเข้าไปในโซนที่พักอื่นๆไม่ได้ ถือว่าเป็นระบบที่ปลอดภัยมากๆ เป็นเทศกาลแรกในไทยที่มาพักแล้วไม่ห่วงของในเต้นท์เลย (โดยมาคนที่พักโซน General camping จะเอาเต้นท์ไว้เก็บของ แวะมาอาบนํ้าเปลี่ยนเสื้อผ้า และนอน ไม่ค่อยได้อยู่ที่เต้นท์เพราะอากาศร้อนตลอดวัน ข้างในยังกะเจตาอบ)
ส่วนสายรัดอีกสายเป็นสายรัดข้อมือระบบ RFID ที่มีแผ่นกลมๆไว้เติมเงินลงไปข้างใน ใช้จ่ายที่งานได้ทุกแห่ง ทำให้เหล่าวันเดอเรอร์ (คำเรียกคนในเทศกาล Wonderfruit) ไม่ต้องพกเงินสดให้ยุ่งยาก ซึ่งจุดเติมเงินจะกระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณงานคู่กับตู้เอทีเอ็ม แต่ก็มีเวลาเปิดปิดคือ 9 โมงเช้าถึงไม่เกินเที่ยงคืน
หลายคนอาจสงสัยว่าคนกลุ่มไหนมางานเทศกาลนี้ ต้องบอกว่าชาวต่างชาติเยอะมาก เกือบจะ 50% ส่วนคนไทยในงานอีกครึ่งคือรวมคนมางานกับเจ้าหน้าที่หลายร้อยคน ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาสากลของงานนี้ บางทีเราคนไทยเองยังถูกคนไทยทักเป็นภาษาองกฤษด้วยความไม่รู้ หรือบางทีกลุ่มใหญ่ๆที่มีคนรวมกันหลายชาติ คนไทยก็ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษใส่กันเพื่อให้คนต่างชาติที่ร่วมวงเข้าใจด้วย
สิ่งที่ชอบนงานนี้คือปริมาณคนกำลังพอดี ไม่ได้เยอะจนแน่น แต่ก็ไม่ได้น้อยจนโหรงเหรง จึงไม่มีภาพการเข้าคิวแย่งกนเข้าห้องนํ้า เติมนํ้า ซื้ออาหาร เนื่องจากมีทุกอย่างเพียงพอ เหลือเฟือ ผมเดินไปห้องนํ้าชายมีห้องว่างตลอด ทั้งส่วนห้องนํ้าและห้องอาบนํ้า ไม่เคยต้องเข้าคิวเลยตลอด 2 วัน อีกอย่างคือคนที่มาร่วมงานส่วนใหญ่จะเป็นคนวัยทำงาน คนมีอายุ คนแก่ บางมาคนเดียว บ้างมาเป็นคู่ บ้างมาเป็นกลุ่ม และมีที่มาเป็นครอบครัวใหญ่ แม่จูงมือลูกสาว พ่ออุ้มลูกขี่คอ
กลุ่มที่เห็นน้อยที่สุดคือวัยรุ่น จุดนี้ต่างจากเทศกาลอื่นๆ อาจจะเพราะด้วยราคาบัตร และธีมงาน ซึ่งการที่งานนี้วัยรุ่นไม่เยอะมีข้อดีตรงที่ไม่มีปัญหาเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งชกต่อย ส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นเลย ทุกคนในงานดูมีวุฒิภาวะมาก ไม่มีใครเมาปลิ้นเมาเละอ้วกแตก แต่ละคนดูแลตัวเอง ดูแลคนรอบข้าง เป็นสังคมที่มีความรับผิดชอบดี ไม่เจอคนเห็นแก่ตัว แย่งที่นั่ง หรือแซงคิวเลย ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากๆ นอกจากนั้นปัญหาอื่นๆอย่าง ขยะเกลื่อนกลาด ของหาย การลักขโมย คนหายหรือเด็กหายก็ไม่มีเลย
กลับมาที่งานกันต่อ ช่วงกลางวันจะเป็นเวลาของกิจกรรม Workshop ตามบูทต่างๆ มีตั้งแต่ โยคะ ศิลปะป้องกันตัว มวยไทย ทำของแฮนด์เมด ทำฟาร์ม ทำอาหาร และสร้างงานศิลปะ ซึ่งก็มีทั้งฟรีและเสียเงิน เดินผ่านประตูเข้างานไปเจอบูทแรกก็แรงเลย เป็น Workshop อะไรสักอย่างเกี่ยวกับการทำปูนปาสเตอร์หน้าอกตัวเอง (บูทนี้เป็นกระโจมเป่าลม จะผุบๆโผล่ๆได้) สอบถามราคาได้ความว่าค่า Workshop คนละ 5,500 เล่นเอาเดินออกแทบไม่ทัน
งานมีธีมออกแนวเพื่อสิ่งแวดล้อม จึงมีจุดบริการนํ้าดื่มฟรี เป็นเครื่องกรองนํ้าตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ วันเดอเรอร์ส่วนใหญ่จะมีขวดนํ้าติดตัวคนละขวดไว้เติม อีกจุดเป็นโซนบริการการชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือโดยใช้พลังแสงอาทิตย์ ตรงนี้ฟรีเหมือนกันแต่มีเวลาเปิดปิด (ในงานหาปลั๊กไฟค่อนข้างยาก)
รีวิว งาน Wonderfruit 2017 เทศกาลดนตรีผลไม้แห่งความสุข day 1
Wonderfruit Festival เป็นเทศกาลเฉลิมฉลองศิลปะ ดนตรี และชีวิต ที่มีสเกลอินเตอร์ ดูเป็นระดับโลก ส่วนตัวมองว่าคล้ายๆกับงาน Coachella เทศกาลดนตรีที่แคลิฟอร์เนีย รวมถึงมีกลิ่นอายของเทศกาล Woodstock ในแง่ของความฮิปปี้ ธีมรักษ์โลก กับเทศกาล Glastonbury ในแง่ของการจัดการต่างๆ (นอนเต้นท์ , มีนํ้าดื่มบริการเป็นจุด) เพียงแต่ Wonderfruit จะไม่เฉอะแฉะเหมือน Glastonbury ที่ต้องใส่บูทเดิน ซึ่ง Wonderfruit ออกจะร้อนและแห้งแล้งพอสมควร แต่ก็ไม่ถึงขั้นเทศกาล Burningman ที่ไปจัดกลางทะเลทราย
Wonderfruit 2017 ถือเป็นครั้งที่ 3 ของเทศกาลดนตรีที่มีคำขวัญว่า Live Love Wonder จัดขึ้นที่สยามคันทรีคลับ พัทยา ระยะเวลา 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 16-19 กพ. 60 โดยผู้ที่บุกเบิกเทศกลาลนี้เป็นคนไทยที่ชื่อ พีท ประณิธาน พรประภา และในปีนี้ได้ เจ มณฑล นักดนตรีชื่อดังมาร่วมจัดงานด้วย ราคาบัตรต้องบอกว่าแพงพอสมควร ถ้าซื้อล่วงหน้านานในโปร Early bird ก็อาจจะถูกลงหน่อย แต่ต้องล็อกคิวล็อกวันให้ดีๆเลย เด็กเล็กคิดราคาวันละ 800บาท สัตว์เลี้ยงก็ราคานี้เช่นกัน บัตรที่ขายดีที่สุดน่าจะเป็นบัตรสองวันกับบัตรวันเดียวที่ตรงกับเสาร์อาทิตย์คือวันที่ 18 กับ 19 กพ. ผมเองก็ซื้อบัตรสองวัน
ในส่วนของที่พักมีเต้นท์แบบบูติกขนาดใหญ่และขนาดกลาง ราคาหลักหมื่นต่อคืน และมีโรงแรมบริเวณใกล้เคียงที่เป็นพันธมิตร ซึ่งก่อนงานเริ่ม 1 สัปดาห์ทั้งหมดนี้ถูกจองเต็มหมดแล้ว ผมเลย inbox ไปถามแอดมินเพจ Wonderfruit ได้ความว่าโซน General camping จุดกางเต้นท์ฟรีของงานไม่มีการจองก่อน ใครมาถึงก่อนก็ได้พื้นที่ไปเลย เลยฝากความหวังไว้กับโซนนี้
ออกเดินทางตั้งแต่เช้าวันเสาร์ประมาณ 7 โมง หลบรถติด และจะได้มีเวลาอยู่ในงานนานๆให้คุ้มค่าบัตร (คิดถูกมากที่ออกเช้าเพราะวันนั้นพี่ที่รู้จักออก10โมงมาถึงพัทยาบ่าย2เลย) ประมาณ 9 โมงกว่าก็เดินทางถึงงาน แดดสายเริ่มร้อน ลงทะเบียนประตูทางเข้า ตรวจกระเป๋าหาของกิน เครื่องดื่มกับอาวุธ สิ่งเหล่านี้ห้ามเอาเข้างาน นํ้าดื่มที่อยู่ในขวดต้องดื่มให้หมด สามารถเอาขวดเข้าไปเติมนํ้าใหม่ในงานได้ สายรัดข้อมือจะมีสองสาย คือสายเข้างานที่ระบุว่าเราพักในโซนเต้นท์ไหน แต่ละโซนจะไม่ให้คนนอกเข้า มีเจ้าหน้าที่ตรวจทุกคนที่ทางเข้าออกตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนคนที่ไม่ได้พักในงานก็ได้สายรัดอีกแบบ จะเข้าไปในโซนที่พักอื่นๆไม่ได้ ถือว่าเป็นระบบที่ปลอดภัยมากๆ เป็นเทศกาลแรกในไทยที่มาพักแล้วไม่ห่วงของในเต้นท์เลย (โดยมาคนที่พักโซน General camping จะเอาเต้นท์ไว้เก็บของ แวะมาอาบนํ้าเปลี่ยนเสื้อผ้า และนอน ไม่ค่อยได้อยู่ที่เต้นท์เพราะอากาศร้อนตลอดวัน ข้างในยังกะเจตาอบ)
ส่วนสายรัดอีกสายเป็นสายรัดข้อมือระบบ RFID ที่มีแผ่นกลมๆไว้เติมเงินลงไปข้างใน ใช้จ่ายที่งานได้ทุกแห่ง ทำให้เหล่าวันเดอเรอร์ (คำเรียกคนในเทศกาล Wonderfruit) ไม่ต้องพกเงินสดให้ยุ่งยาก ซึ่งจุดเติมเงินจะกระจายตัวอยู่ทั่วบริเวณงานคู่กับตู้เอทีเอ็ม แต่ก็มีเวลาเปิดปิดคือ 9 โมงเช้าถึงไม่เกินเที่ยงคืน
หลายคนอาจสงสัยว่าคนกลุ่มไหนมางานเทศกาลนี้ ต้องบอกว่าชาวต่างชาติเยอะมาก เกือบจะ 50% ส่วนคนไทยในงานอีกครึ่งคือรวมคนมางานกับเจ้าหน้าที่หลายร้อยคน ภาษาอังกฤษจึงเป็นภาษาสากลของงานนี้ บางทีเราคนไทยเองยังถูกคนไทยทักเป็นภาษาองกฤษด้วยความไม่รู้ หรือบางทีกลุ่มใหญ่ๆที่มีคนรวมกันหลายชาติ คนไทยก็ต้องสื่อสารภาษาอังกฤษใส่กันเพื่อให้คนต่างชาติที่ร่วมวงเข้าใจด้วย
สิ่งที่ชอบนงานนี้คือปริมาณคนกำลังพอดี ไม่ได้เยอะจนแน่น แต่ก็ไม่ได้น้อยจนโหรงเหรง จึงไม่มีภาพการเข้าคิวแย่งกนเข้าห้องนํ้า เติมนํ้า ซื้ออาหาร เนื่องจากมีทุกอย่างเพียงพอ เหลือเฟือ ผมเดินไปห้องนํ้าชายมีห้องว่างตลอด ทั้งส่วนห้องนํ้าและห้องอาบนํ้า ไม่เคยต้องเข้าคิวเลยตลอด 2 วัน อีกอย่างคือคนที่มาร่วมงานส่วนใหญ่จะเป็นคนวัยทำงาน คนมีอายุ คนแก่ บางมาคนเดียว บ้างมาเป็นคู่ บ้างมาเป็นกลุ่ม และมีที่มาเป็นครอบครัวใหญ่ แม่จูงมือลูกสาว พ่ออุ้มลูกขี่คอ
กลุ่มที่เห็นน้อยที่สุดคือวัยรุ่น จุดนี้ต่างจากเทศกาลอื่นๆ อาจจะเพราะด้วยราคาบัตร และธีมงาน ซึ่งการที่งานนี้วัยรุ่นไม่เยอะมีข้อดีตรงที่ไม่มีปัญหาเรื่องการทะเลาะเบาะแว้งชกต่อย ส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นเลย ทุกคนในงานดูมีวุฒิภาวะมาก ไม่มีใครเมาปลิ้นเมาเละอ้วกแตก แต่ละคนดูแลตัวเอง ดูแลคนรอบข้าง เป็นสังคมที่มีความรับผิดชอบดี ไม่เจอคนเห็นแก่ตัว แย่งที่นั่ง หรือแซงคิวเลย ทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากๆ นอกจากนั้นปัญหาอื่นๆอย่าง ขยะเกลื่อนกลาด ของหาย การลักขโมย คนหายหรือเด็กหายก็ไม่มีเลย
กลับมาที่งานกันต่อ ช่วงกลางวันจะเป็นเวลาของกิจกรรม Workshop ตามบูทต่างๆ มีตั้งแต่ โยคะ ศิลปะป้องกันตัว มวยไทย ทำของแฮนด์เมด ทำฟาร์ม ทำอาหาร และสร้างงานศิลปะ ซึ่งก็มีทั้งฟรีและเสียเงิน เดินผ่านประตูเข้างานไปเจอบูทแรกก็แรงเลย เป็น Workshop อะไรสักอย่างเกี่ยวกับการทำปูนปาสเตอร์หน้าอกตัวเอง (บูทนี้เป็นกระโจมเป่าลม จะผุบๆโผล่ๆได้) สอบถามราคาได้ความว่าค่า Workshop คนละ 5,500 เล่นเอาเดินออกแทบไม่ทัน
งานมีธีมออกแนวเพื่อสิ่งแวดล้อม จึงมีจุดบริการนํ้าดื่มฟรี เป็นเครื่องกรองนํ้าตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ วันเดอเรอร์ส่วนใหญ่จะมีขวดนํ้าติดตัวคนละขวดไว้เติม อีกจุดเป็นโซนบริการการชาร์ตแบตโทรศัพท์มือถือโดยใช้พลังแสงอาทิตย์ ตรงนี้ฟรีเหมือนกันแต่มีเวลาเปิดปิด (ในงานหาปลั๊กไฟค่อนข้างยาก)