สวัสดีจ้า กลับมาพบกันอีกครั้ง มาครั้งนี้เราจะมารีวิวทริปมาเลเซีย (กัวลาลัมเปอร์และมะละกา) 3วัน2คืนกันนะคะ
ก่อนอื่นก็ขอแนะนำสมาชิกผู้ร่วมทริปก่อน ทริปนี้เราเดินทางทั้งหมด 4 คน มีเอก, ปู, พลอย และเบนซ์ (จขกท.) เราอาวุโสที่สุดในทริป 555
การเดินทางครั้งนี้เราเดินทางวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560 – วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นเวลา 3 วัน โดยสายการบินแอร์เอเชีย ก่อนการเดินทางเราต้องแลกเงินไปด้วย สกุลเงินที่นี่ใช้เป็น “ริงกิต” (RM) 1 ริงกิต = 8 บาท เพราะฉะนั้นจะใช้จ่ายอะไรให้คูณด้วย 8 เลยนะ และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เราเตรียมไปเพื่อไม่ให้พลาดการติดต่อคือ Wifi เราเช่าจากที่สนามบินไป โดยใช้บริการของ samurai wifi ค่าบริการ 280 บาทต่อวัน นัดรับและส่งคืนที่สนามบินเลย นอกจากที่เราจะต้องแลกเงิน เช่าwifiแล้วเรื่องปลั๊กไฟก็สำคัญนะ เพราะที่นี่ใช้คนละแบบกับบ้านเรา
ขอยืมรูปภาพมาจาก Google ค่ะ
การเดินทางไปมาเลเซียสำหรับคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าค่ะ มีพาสปอร์ตอย่างเดียวก็สามารถเดินทางไปและพำนักอยู่ได้ 30 วัน เราไปแค่ 3 วันสบายๆ ด่านตม.ก็ไม่น่ากลัว แทบจะไม่ถามอะไรเลย
สิ่งที่สำคัญอีกอย่างในการเดินทางไปมาเลเซียก็คือ “ภาษา” ที่นี่ส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีน ซึ่งสำหรับพวกเราทั้ง 4 คนแล้ว ภาษาดังกล่าวไม่เป็นปัญหา ฟัง พูด อ่าน เขียน กันได้ทุกคน ก็เที่ยวได้อย่างสนุกไร้กังวล
เริ่มจะเวิ่นเว้อละ ออกเดินทางกันเลยดีกว่า
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560 ดอนเมือง - KLIA2 – Bary Inn – City tour
เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองเวลา 7.05 น. ถึงเวลา 10.15 น. (เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง)
เราแนะนำว่าควรจะมาถึงที่ดอนเมืองก่อนเวลาบินอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพราะคนเยอะมากทั้งเคาน์เตอร์เช็คอิน และด่านตม. พวกเราไปถึงก่อนประมาณ 2 ชั่วโมงแทบจะตกเครื่องอ่ะ
และแล้วก็ได้เวลาออกบิน ไม่นานนักเราก็ถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งจะเรียกว่า KLIA2
SELAMAT DATANG “ซาลามัต ดาตัง” แปลว่า ยินดีต้อนรับ
หลังจากเราเดินทางมาถึง ผ่านด่านตม.เรียบร้อย ปรับนาฬิกาแล้ว ท้องก็เริ่มหิวขึ้นมาในทันที เราเดินออกมาก็เจอร้าน Hometown Hainan Coffee นี้อยู่ในสนามบิน ก็เลยเลี้ยวเข้าไปเช็คอิน หาอะไรกินกัน
มื้อแรกของวันนี้ที่มาเลเซียคือ Nasi Lemak + Fried Chicken และ น้ำเปล่า Nasi Lemak คือข้าวมันผสมน้ำกะทิอะไรทำนองนี้ ก็อร่อยไปอีกแบบ
ข้าวจานนี้กับน้ำเปล่า 1 ขวด ราคา 27.6 ริงกิต หรือประมาณ 221 บาท ก็ถือว่าราคาสูงอยู่นะเมื่อเทียบกับข้าวมันไก่ทอดบ้านเรา
หลังจากเราอิ่มท้องก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปยังโรงแรม พวกเราเดินลงมาชั้นล่างสุดของสนามบินเพราะจะมีเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถเมล์ และรถแท็กซี่เพื่อพาเราไปในที่ต่างๆ โดยในครั้งนี้เราเลือกที่จะใช้บริการรถแท็กซี่ ซึ่งราคาจากสนามบิน KLIA2 ไปยังโรงแรมที่เราจองไว้ ราคา 50 ริงกิต หรือประมาณ 400 บาท หารสี่คนก็ตกคนละ 100 บาท
สำหรัปทริปนี้เราจองโรงแรมราคาไม่แพง ทำเลอยู่ใกล้ๆสนามบิน ห่างประมาณ 10 นาที หลายคนที่เคยไปมาเลเซียมาแล้วคงจะมีข้อสงสัยว่าทำไมไม่จองแถวๆ KL Sentral ใจกลางเมือง สำหรับพวกเราคิดว่า การเดินทางมาครั้งแรก ถ้าจองที่พักใกล้ๆกับสนามบิน ถือว่าอุ่นใจดี ยังไงก็ไม่ตกเครื่องแน่นอน พวกเราคิดแบบนั้น
โรงแรมที่เราจองไว้ชื่อว่า Bary Inn Hotel โดยจองผ่านอโกด้า ราคาต่อคืนอยู่ที่ 600 กว่าบาท (สามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ในอินเตอร์เน็ต)
เมื่อมาถึงและเช็คอินเรียบร้อย พวกเราก็เริ่มแผนการที่เราสรุปกันมาเรียบร้อยว่าจะเที่ยวกันโดยใช้รถไฟฟ้าของที่นี่ (KL Express) ในการเดินทางท่องเที่ยวแต่ละที่ที่เราวางแผนกันไว้ ก่อนอื่นเราต้องหารถแท็กซี่เพื่อเข้าไปยังตัวเมืองกันก่อน เจ้าหน้าที่ของโรงแรมแนะนำให้ว่าเดินไปทางด้านขวาของโรงแรมก็จะเจอเคาน์เตอร์รถแท็กซี่อยู่ที่นั่น เราก็รีบเดินไปทันทีทำให้เรามาเจอบุรุษคนหนึ่งที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางของเราโดยสิ้นเชิง บุรุษคนนั้นคือ นาย Alex John เป็นเหมือนหุ้นส่วนคิวรถแท็กซี่สาธารณะกึ่งนำเที่ยวในมาเลเซีย (บริษัท Golden Kingdom Transport Tour & Travel) ใครสนใจใช้บริการสอบถามได้นะ
เค้าแนะนำเราเรื่องการท่องเที่ยวในมาเลเซียว่า ถ้าอยากไปให้ครบทุกที่ ในราคาประหยัด และไม่เหนื่อยในการเดินทาง แนะนำว่าให้เหมารถแท็กซี่เที่ยวจะคุ้มกว่า เค้าคำนวณราคาเปรียบเทียบกับการใช้บริการรถไฟฟ้าให้ดูว่า หากใช้รถไฟฟ้าจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ประมาณ 20-30% พวกเราเลยปรึกษากันว่าจะเอายังไงกันดี ผลสรุปคือ เราหลงเสน่ห์ของ Alex John ซะแล้ว ก็เลยตกลงจะใช้บริการของเค้า สรุปราคาเที่ยว 3 วันอยู่ที่คนละ 350 ริงกิต หรือประมาณ 2,800 บาท โดยรายละเอียดการเดินทางมีดังนี้
วันที่ 1 City tour
วันที่ 2 ถ้ำบาตู และ Genting Highland
วันที่ 3 มะละกา
เมื่อตกลงราคา ชำระเงินส่วนหนึ่งเรียบร้อยก็ออกเดินทาง โดยรถที่จะใช้ในการเดินทางของเราเป็นรถInnova และโชเฟอร์ที่จะพาเราเที่ยวทั้ง 3 วันคือ Mr. Ravi หรือเราเรียกเค้าว่า “ราวี”
ที่แรกที่ราวีจะพาเราไปคือ มัสยิดสีชมพู หรือ มัสยิดปุตรา ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมมาประมาณ 20 นาทีก็ถึง อากาศที่นี่ร้อนเหมือนประเทศไทยเลย
เราถ่ายรูปเล่นกันสักพักก็เดินทางต่อไปที่ จัตุรัสเมอเดก้าร์ (รายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละสถานที่ สามารถหาได้ในอินเตอร์เน็ตนะคะ)
ถึงแล้วจ้า จัตุรัสเมอเดก้าร์ ถ่ายรูปกันสนุกสนาน พอได้เวลาก็เดินทางต่อ โปรแกรมวันนี้เป็น City tour ก็จะเดินทางอยู่แต่ในเมืองนี่แหละค่ะ
สถานที่ต่อไปคือ พระราชวังของกษัตริย์มาเลเซีย Istana Negara ที่นี่เราไม่สามารถเข้ารั้วไปข้างในได้ แต่สามารถถ่ายรูปอยู่ภายนอกได้ค่ะ
บ่ายๆคนเริ่มเยอะ เราก็เลยถ่ายรูปได้นิดหน่อย ก็เดินทางต่อ ที่ต่อไป ราวีจะพาเราไปดูผ้าบาติค และซื้อช็อคโกแลตเป็นของฝากกัน ซึ่งสถานที่ตั้งอยู่ย่าน Bukit Bintang
สำหรับผ้าบาติคเราแค่มาดูเฉยๆ เพราะความรู้สึกเหมือนบ้านเรา แต่มาอีกที่คือร้านจำหน่ายช็อคโกแลต เราได้ของติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 40 นาทีก็เดินทางต่อไปที่ Central Market และ China town สองที่นี้อยู่ใกล้ๆกัน
ราวีส่งเราลงรถที่ Central Market ที่นี่มีของฝากที่เป็นงาน Handmade งานศิลปะต่างๆ ราคาก็แตกต่างกันไป พวกเราเน้นพวงกุญแจ และแม่เหล็กติดตู้เย็นกันเป็นส่วนใหญ่ (ราคาไม่แพง555) หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นกันเรื่อยๆไปจนถึง China town ท้องก็เริ่มหิว เราเดินผ่านร้านริมถนนอยู่ร้านนึง บรรยากาศไม่ดี แต่กลิ่นอาหารนะ เตะจมูกเรามาก พวกเรามองหน้ากัน ท้องก็เริ่มหิวเลยเลี้ยวเข้าไปชิมซะหน่อย
เมนูวันนี้เป็นเหมือนแกงมัสมั่น แต่กลิ่นเครื่องเทศนะ หอมมาก แล้วก็หมี่ผัดเส้นนุ่ม หอมมาก แต่ลืมถ่ายรูปร้านมาให้ดู เสียดายจัง พออิ่มก็เรียกพ่อค้าเก็บเงิน มื้อนี้ราคารวมอยู่ที่ 49 ริงกิต หรือประมาณ 392 บาท ราคาพอรับได้เมื่อเทียบกับรสชาติ หลังจากอิ่มท้องเราก็เดินเล่นต่อใน China town บรรยากาศเหมือนๆกับ สำเพ็ง เยาวราชบ้านเราเลย
ณ ขณะนี้เป็นเวลา 19.00 น. แต่ท้องฟ้ายังสว่างเหมือนห้าโมงเย็นบ้านเราเลย แต่เราก็ต้องเดินทางต่อไปที่สุดท้ายของวันนี้ แลนด์มาร์คของมาเลเซีย จะเป็นที่อื่นไปไม่ได้เลยนอกจาก “ตึกแฝดปิโตรนาส” บ้างก็เรียก “ตึกแฝดเปโตรนาส” เอาเป็นว่าที่เดียวกันนั่นแหละ
ที่นี่ยิ่งดึกยิ่งสวย แต่พวกเราเริ่มจะไม่สวยกันละ เพราะเพลียกันมากมาย ถ่ายรูปกันจุใจ ว่าแล้วก็เดินทางกลับโรงแรมไปพักผ่อนตามอัธยาศัยกันดีกว่า เพราะพรุ่งนี้เช้ามีเที่ยวต่ออีกสองที่ และต้องใช้พลังงานเยอะเสียด้วย เราออกจากตึกแฝดประมาณสองทุ่ม ถึงโรงแรมประมาณเกือบสามทุ่ม ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ เจอกันใหม่วันรุ่งขึ้น ราตรีสวัสดิ์ค่ะ
[CR] รีวิวทริปสี่ซ่าลั้ลลาที่มาเลเซีย 3วัน2คืน (กัวลาลัมเปอร์ - มะละกา)
ก่อนอื่นก็ขอแนะนำสมาชิกผู้ร่วมทริปก่อน ทริปนี้เราเดินทางทั้งหมด 4 คน มีเอก, ปู, พลอย และเบนซ์ (จขกท.) เราอาวุโสที่สุดในทริป 555
การเดินทางครั้งนี้เราเดินทางวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560 – วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นเวลา 3 วัน โดยสายการบินแอร์เอเชีย ก่อนการเดินทางเราต้องแลกเงินไปด้วย สกุลเงินที่นี่ใช้เป็น “ริงกิต” (RM) 1 ริงกิต = 8 บาท เพราะฉะนั้นจะใช้จ่ายอะไรให้คูณด้วย 8 เลยนะ และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เราเตรียมไปเพื่อไม่ให้พลาดการติดต่อคือ Wifi เราเช่าจากที่สนามบินไป โดยใช้บริการของ samurai wifi ค่าบริการ 280 บาทต่อวัน นัดรับและส่งคืนที่สนามบินเลย นอกจากที่เราจะต้องแลกเงิน เช่าwifiแล้วเรื่องปลั๊กไฟก็สำคัญนะ เพราะที่นี่ใช้คนละแบบกับบ้านเรา
ขอยืมรูปภาพมาจาก Google ค่ะ
การเดินทางไปมาเลเซียสำหรับคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่าค่ะ มีพาสปอร์ตอย่างเดียวก็สามารถเดินทางไปและพำนักอยู่ได้ 30 วัน เราไปแค่ 3 วันสบายๆ ด่านตม.ก็ไม่น่ากลัว แทบจะไม่ถามอะไรเลย
สิ่งที่สำคัญอีกอย่างในการเดินทางไปมาเลเซียก็คือ “ภาษา” ที่นี่ส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษ และ ภาษาจีน ซึ่งสำหรับพวกเราทั้ง 4 คนแล้ว ภาษาดังกล่าวไม่เป็นปัญหา ฟัง พูด อ่าน เขียน กันได้ทุกคน ก็เที่ยวได้อย่างสนุกไร้กังวล
เริ่มจะเวิ่นเว้อละ ออกเดินทางกันเลยดีกว่า
วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2560 ดอนเมือง - KLIA2 – Bary Inn – City tour
เราออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองเวลา 7.05 น. ถึงเวลา 10.15 น. (เวลาที่มาเลเซียจะเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง)
เราแนะนำว่าควรจะมาถึงที่ดอนเมืองก่อนเวลาบินอย่างน้อย 3 ชั่วโมง เพราะคนเยอะมากทั้งเคาน์เตอร์เช็คอิน และด่านตม. พวกเราไปถึงก่อนประมาณ 2 ชั่วโมงแทบจะตกเครื่องอ่ะ
และแล้วก็ได้เวลาออกบิน ไม่นานนักเราก็ถึงสนามบินกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งจะเรียกว่า KLIA2
SELAMAT DATANG “ซาลามัต ดาตัง” แปลว่า ยินดีต้อนรับ
หลังจากเราเดินทางมาถึง ผ่านด่านตม.เรียบร้อย ปรับนาฬิกาแล้ว ท้องก็เริ่มหิวขึ้นมาในทันที เราเดินออกมาก็เจอร้าน Hometown Hainan Coffee นี้อยู่ในสนามบิน ก็เลยเลี้ยวเข้าไปเช็คอิน หาอะไรกินกัน
มื้อแรกของวันนี้ที่มาเลเซียคือ Nasi Lemak + Fried Chicken และ น้ำเปล่า Nasi Lemak คือข้าวมันผสมน้ำกะทิอะไรทำนองนี้ ก็อร่อยไปอีกแบบ
ข้าวจานนี้กับน้ำเปล่า 1 ขวด ราคา 27.6 ริงกิต หรือประมาณ 221 บาท ก็ถือว่าราคาสูงอยู่นะเมื่อเทียบกับข้าวมันไก่ทอดบ้านเรา
หลังจากเราอิ่มท้องก็ออกเดินทางต่อเพื่อไปยังโรงแรม พวกเราเดินลงมาชั้นล่างสุดของสนามบินเพราะจะมีเคาน์เตอร์จำหน่ายตั๋วรถเมล์ และรถแท็กซี่เพื่อพาเราไปในที่ต่างๆ โดยในครั้งนี้เราเลือกที่จะใช้บริการรถแท็กซี่ ซึ่งราคาจากสนามบิน KLIA2 ไปยังโรงแรมที่เราจองไว้ ราคา 50 ริงกิต หรือประมาณ 400 บาท หารสี่คนก็ตกคนละ 100 บาท
สำหรัปทริปนี้เราจองโรงแรมราคาไม่แพง ทำเลอยู่ใกล้ๆสนามบิน ห่างประมาณ 10 นาที หลายคนที่เคยไปมาเลเซียมาแล้วคงจะมีข้อสงสัยว่าทำไมไม่จองแถวๆ KL Sentral ใจกลางเมือง สำหรับพวกเราคิดว่า การเดินทางมาครั้งแรก ถ้าจองที่พักใกล้ๆกับสนามบิน ถือว่าอุ่นใจดี ยังไงก็ไม่ตกเครื่องแน่นอน พวกเราคิดแบบนั้น
โรงแรมที่เราจองไว้ชื่อว่า Bary Inn Hotel โดยจองผ่านอโกด้า ราคาต่อคืนอยู่ที่ 600 กว่าบาท (สามารถหารายละเอียดเพิ่มเติมได้ในอินเตอร์เน็ต)
เมื่อมาถึงและเช็คอินเรียบร้อย พวกเราก็เริ่มแผนการที่เราสรุปกันมาเรียบร้อยว่าจะเที่ยวกันโดยใช้รถไฟฟ้าของที่นี่ (KL Express) ในการเดินทางท่องเที่ยวแต่ละที่ที่เราวางแผนกันไว้ ก่อนอื่นเราต้องหารถแท็กซี่เพื่อเข้าไปยังตัวเมืองกันก่อน เจ้าหน้าที่ของโรงแรมแนะนำให้ว่าเดินไปทางด้านขวาของโรงแรมก็จะเจอเคาน์เตอร์รถแท็กซี่อยู่ที่นั่น เราก็รีบเดินไปทันทีทำให้เรามาเจอบุรุษคนหนึ่งที่ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางของเราโดยสิ้นเชิง บุรุษคนนั้นคือ นาย Alex John เป็นเหมือนหุ้นส่วนคิวรถแท็กซี่สาธารณะกึ่งนำเที่ยวในมาเลเซีย (บริษัท Golden Kingdom Transport Tour & Travel) ใครสนใจใช้บริการสอบถามได้นะ
เค้าแนะนำเราเรื่องการท่องเที่ยวในมาเลเซียว่า ถ้าอยากไปให้ครบทุกที่ ในราคาประหยัด และไม่เหนื่อยในการเดินทาง แนะนำว่าให้เหมารถแท็กซี่เที่ยวจะคุ้มกว่า เค้าคำนวณราคาเปรียบเทียบกับการใช้บริการรถไฟฟ้าให้ดูว่า หากใช้รถไฟฟ้าจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า ประมาณ 20-30% พวกเราเลยปรึกษากันว่าจะเอายังไงกันดี ผลสรุปคือ เราหลงเสน่ห์ของ Alex John ซะแล้ว ก็เลยตกลงจะใช้บริการของเค้า สรุปราคาเที่ยว 3 วันอยู่ที่คนละ 350 ริงกิต หรือประมาณ 2,800 บาท โดยรายละเอียดการเดินทางมีดังนี้
วันที่ 1 City tour
วันที่ 2 ถ้ำบาตู และ Genting Highland
วันที่ 3 มะละกา
เมื่อตกลงราคา ชำระเงินส่วนหนึ่งเรียบร้อยก็ออกเดินทาง โดยรถที่จะใช้ในการเดินทางของเราเป็นรถInnova และโชเฟอร์ที่จะพาเราเที่ยวทั้ง 3 วันคือ Mr. Ravi หรือเราเรียกเค้าว่า “ราวี”
ที่แรกที่ราวีจะพาเราไปคือ มัสยิดสีชมพู หรือ มัสยิดปุตรา ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรมมาประมาณ 20 นาทีก็ถึง อากาศที่นี่ร้อนเหมือนประเทศไทยเลย
เราถ่ายรูปเล่นกันสักพักก็เดินทางต่อไปที่ จัตุรัสเมอเดก้าร์ (รายละเอียดเพิ่มเติมของแต่ละสถานที่ สามารถหาได้ในอินเตอร์เน็ตนะคะ)
ถึงแล้วจ้า จัตุรัสเมอเดก้าร์ ถ่ายรูปกันสนุกสนาน พอได้เวลาก็เดินทางต่อ โปรแกรมวันนี้เป็น City tour ก็จะเดินทางอยู่แต่ในเมืองนี่แหละค่ะ
สถานที่ต่อไปคือ พระราชวังของกษัตริย์มาเลเซีย Istana Negara ที่นี่เราไม่สามารถเข้ารั้วไปข้างในได้ แต่สามารถถ่ายรูปอยู่ภายนอกได้ค่ะ
บ่ายๆคนเริ่มเยอะ เราก็เลยถ่ายรูปได้นิดหน่อย ก็เดินทางต่อ ที่ต่อไป ราวีจะพาเราไปดูผ้าบาติค และซื้อช็อคโกแลตเป็นของฝากกัน ซึ่งสถานที่ตั้งอยู่ย่าน Bukit Bintang
สำหรับผ้าบาติคเราแค่มาดูเฉยๆ เพราะความรู้สึกเหมือนบ้านเรา แต่มาอีกที่คือร้านจำหน่ายช็อคโกแลต เราได้ของติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง เราใช้เวลาอยู่ที่นี่ประมาณ 40 นาทีก็เดินทางต่อไปที่ Central Market และ China town สองที่นี้อยู่ใกล้ๆกัน
ราวีส่งเราลงรถที่ Central Market ที่นี่มีของฝากที่เป็นงาน Handmade งานศิลปะต่างๆ ราคาก็แตกต่างกันไป พวกเราเน้นพวงกุญแจ และแม่เหล็กติดตู้เย็นกันเป็นส่วนใหญ่ (ราคาไม่แพง555) หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นกันเรื่อยๆไปจนถึง China town ท้องก็เริ่มหิว เราเดินผ่านร้านริมถนนอยู่ร้านนึง บรรยากาศไม่ดี แต่กลิ่นอาหารนะ เตะจมูกเรามาก พวกเรามองหน้ากัน ท้องก็เริ่มหิวเลยเลี้ยวเข้าไปชิมซะหน่อย
เมนูวันนี้เป็นเหมือนแกงมัสมั่น แต่กลิ่นเครื่องเทศนะ หอมมาก แล้วก็หมี่ผัดเส้นนุ่ม หอมมาก แต่ลืมถ่ายรูปร้านมาให้ดู เสียดายจัง พออิ่มก็เรียกพ่อค้าเก็บเงิน มื้อนี้ราคารวมอยู่ที่ 49 ริงกิต หรือประมาณ 392 บาท ราคาพอรับได้เมื่อเทียบกับรสชาติ หลังจากอิ่มท้องเราก็เดินเล่นต่อใน China town บรรยากาศเหมือนๆกับ สำเพ็ง เยาวราชบ้านเราเลย
ณ ขณะนี้เป็นเวลา 19.00 น. แต่ท้องฟ้ายังสว่างเหมือนห้าโมงเย็นบ้านเราเลย แต่เราก็ต้องเดินทางต่อไปที่สุดท้ายของวันนี้ แลนด์มาร์คของมาเลเซีย จะเป็นที่อื่นไปไม่ได้เลยนอกจาก “ตึกแฝดปิโตรนาส” บ้างก็เรียก “ตึกแฝดเปโตรนาส” เอาเป็นว่าที่เดียวกันนั่นแหละ
ที่นี่ยิ่งดึกยิ่งสวย แต่พวกเราเริ่มจะไม่สวยกันละ เพราะเพลียกันมากมาย ถ่ายรูปกันจุใจ ว่าแล้วก็เดินทางกลับโรงแรมไปพักผ่อนตามอัธยาศัยกันดีกว่า เพราะพรุ่งนี้เช้ามีเที่ยวต่ออีกสองที่ และต้องใช้พลังงานเยอะเสียด้วย เราออกจากตึกแฝดประมาณสองทุ่ม ถึงโรงแรมประมาณเกือบสามทุ่ม ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ เจอกันใหม่วันรุ่งขึ้น ราตรีสวัสดิ์ค่ะ