[คำเตือน: บทความอาจมีสปอยล์เล็กๆน้อยๆในบางจุด]
ผลงานล่าสุดจาก กอร์ เวอบินสกี้ ผู้กำกับที่โดดเด่นด้านวิสัยทัศน์ด้านภาพอย่างมากคนหนึ่งของฮอลลีวูดนะครับ จากการทำหนังสยองขวัญรีเมคอย่าง The Ring ให้ออกมาเป็น Ringu เวอร์ชั่นฮอลลีวูดได้อย่างเนียน หรือ Pirates of the Caribbean สามภาคแรก ให้เป็นหนังโจรสลัดที่สนุกและมีสเน่ห์มาก หรือหนังอนิเมชันล้อหนังคาวบอยแบบ Rango ที่มีเอกลักษณ์ในตัวแบบสุดๆ หรือแม้แต่งานเจ๊งแบบ The Lone Ranger ที่ถ้ามองแบบไม่อคติ หนังก็มีการกำกับศิลป์สไตส์พีเรียดที่สวยงามไม่เสียชื่อเฮียกอร์
และผลงานล่าสุดของแกอย่าง A Cure For Wellness ก็เป็นการกลับมาจับงานสยองขวัญอีกครั้งในรอบหลายปี ...หนังเล่าเรื่องราวของ ล็อคฮาร์ต นักธุรกิจหนุ่มผู้ได้รับมอบหมายงานให้ไปตามเอาตัว CEO ของบริษัท ที่หายตัวไปอย่างลึกลับในสถานบำบัดโรคแห่งหนึ่งบนเทือกเขาแอลป์ และเมื่อล็อคฮาร์ตไปถึงที่นั่น เขาก็ได้ประสบอุบัติเหตุจนขาหัก และต้องกลายเป็นหนึ่งในคนไข้ของสถานที่แห่งนั้นซะเอง
...และเมื่อล็อคฮาร์ตมาติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เขาก็ได้พบกับ ความจริงอันน่ากลัว ที่อาจทำให้เขาไม่ได้กลับออกไปอีก...
สรุปสั้นๆเลย... ส่วนตัวผมชอบครึ่งแรกของหนังมาก แต่ผิดหวังกับครึ่งหลังกับไคลแม็กส์ของหนังมากเช่นกันครับ ^ ^''
รู้สึกมันเป็นหนังพล็อตดีมาก แต่ไม่ถูกดันในทางที่มันน่าจะควรเป็น โดยพล็อตเรื่องมันดูน่าสนใจและน่าติดตามมาก แต่เหมือนเฮีย กอร์ เวอบินสกี้ จะยังสับสนอยู่ว่าควรจะให้มันไปในทิศทางไหนดี ระหว่าง หนังสยองขวัญคัลท์ๆ กับ หนังสยองขวัญสไตส์ฮอลลีวูดจ๋า สุดท้ายมันเลยเป๋มาสู่ไคลแม็กส์ตามสูตรฮอลลีวูดเด๊ะ ทั้งๆที่มันเดินเรื่องมาด้วยแนวทางแบบ สยองขวัญ/กอธิค ได้ดีมาตลอดเรื่องแท้ๆเชียว
แต่มองโดยภาพรวมทั้งหมด ส่วนตัวผมไม่ได้ผิดหวังกับหนังไปซะหมดนะครับ... ส่วนตัวค่อนข้างโอเคกับสิ่งที่หนังเล่าเลย ชอบในการนำเสนอด้วยภาพ ทุกช็อตทุกตอนดูสวยงามแบบจิตๆ ตัวละครมนุษย์ที่ท่าทางแปลกๆดูไม่น่าไว้ใจ และมี Meaning สื่อถึงความหมายในฉากนั้นได้ดี ชวนให้นึกถึงงานดาร์คแฟนตาซีจิดหลุดแบบ City of the Lost Children (ภาพโทนเขียวๆ บรรยากาศกึ่งจริงกึ่งฝัน หลายๆอย่างบอกไม่ได้ว่า มันคืออะไร และทำไปทำไม) กับหนังสยองขวัญยุโรปหลายๆเรื่อง ที่เอาความน่าขยะแขยง มาผสมผสานเข้ากับความสวยงาม จนแทบจะกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว ...ใครชอบเสพงานภาพสวยๆสไตส์นี้ ดูหนังเรื่องนี้น่าจะอิ่มเลย
ด้วยบรรยากาศที่สวยงามแบบหลอนๆ หนังในช่วงครึ่งแรกเลยไม่ใช่หนังสไตส์น่ากลัวตุ้งแช่ มีมุข Jumpscare อะไรแบบนั้น.. แต่มันจะน่าขุนลุกที่การสร้างบรรรยากาศเพี้ยนๆ ไม่ปกติ เหมือนอยู่ในฝันร้ายของใครซักคน ที่อะไรก็ดูอยู่ผิดที่ผิดทางไปหมด ซึ่งเป็นส่วนที่หนังทำได้ดีมากครับ ..ย้ำว่าครึ่งแรกนะ
แต่แม้ภาพจะดูสวยงาม หลอน น่าค้นหา และน่ากลัว อะไรขนาดไหน สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดเลยคือ ภาพเหล่านั้นมันไม่ซัพพอร์ทหรือสร้างอิมแพคอะไรใดๆต่อเรื่องเลยนี่สิครับ... อารมณ์ประมาณ งานศิลป์ที่สวยงาม แต่ไม่มีเรื่องราวในนั้น ดูแล้วรู้สึกตลอดว่า "หรือว่าจริงๆแล้ว ภาพมันมาก่อนพล็อตวะ?"
ประมาณว่า "เฮ้ย ฉากคนอยู่ในแท็งค์น้ำใหญ่ๆ ดูแล้วมันน่ากลัวดีว่ะ มาทำฉากแบบนั้นกันเถอะ" ไม่ก็ "เฮ้ย ฉากผู้หญิงนอนอยู่ในอ่างปลาไหลยั้วเยี่ยนี่น่าจะขนลุกเนอะ มาทำฉากแบบนี้กันเถอะ" อะไรแบบนั้น... มันเหมือนงานศิลป์ที่ถูกวาดออกมาจากความรู้สึก จากความหลงใหล ความกลัว ความงดงาม ที่ไม่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากเนื้อหาอะไร เสร็จแล้วก็ค่อยเติม Comment กับ Story ลงไปกำกับบนภาพอีกทีนึง เลยมีหลายฉากที่คนดูจะไม่เข้าใจเลยว่า ฉากนี้มีผลอะไรกับพล็อตของหนังตรงไหนฟะ? ในแง่การนำเสนอมันโอเคนะครับ แต่ในแง่ของการเล่าเรื่องถือว่าไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่
กับอีกอย่างคือ ไคลแม็กส์ของหนังเมื่อมันเฉลยทุกอย่างออก ...อันนี้คงเพราะผมอาจจะไปคาดหวังกับหนังผิดจุดเองก็ได้นะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ หนังไม่ได้เดินเรื่องในทิศทางแบบที่ผมหวัง มันเลยกลายเป็น แทนที่เราจะได้ดูหนังสยองขวัญไซไฟจิตวิทยา เรากลับได้ดู Pirates of the Caribbean อีกภาคแทน (ฮาาาา ...บอกไปก็จะเป็นการสปอยล์ แต่อารมณ์โดยรวมมันเป็นแบบนั้นแหละ)
สรุป A Cure For Wellness เป็นหนังที่พล็อตน่าสนใจมาก แต่มันพาตัวเองไปยังไม่สุดเท่าที่ควรจะเป็น สิ่งที่เป็นข้อดีที่สุดของหนังเลยก็คือ การถ่ายทอดเรื่องราวด้วยภาพที่สวยอย่างกับงานศิลป์ มีความเป็นหนังดาร์คแฟนตาซียุโรปที่หาชมได้ยากในหนังฮอลลีวูด ช่วยทำให้รู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในสถานบำบัดพิลึกพิลั่นแบบเดียวกับที่ล็อคฮาร์ตพระเอกของเรื่อง ต้องมาติดอยู่ในที่แห่งนี้ เสียอย่างเดียวจริงๆคือพอมามองดูภาพรวมของหนัง กับไคลแม็กส์ของหนัง ที่มันดูไม่ซัพพอร์ทกันเอาซะเลย
ถึงกระนั้นก็มีหลายอย่างในหนังที่ผมรู้สึกถูกใจ หรืออยากจะวิเคราะห์ต่ออยู่ไม่น้อยเหมือนกันครับ โดยเฉพาะฉากจบของหนัง ที่ทิ้งคำถามเอาไว้ให้คนดูตีความต่อไปได้อีก... แต่ก็นั่นแหละ หนังที่ทิ้งคำถามมากมาย ไม่น่าจะใช่อะไรที่จะโดนใจคนได้ทุกๆคนแน่นอน
ฉะนั้น หากท่านใดยังสงสัย กับหลายๆอย่างในหนังอยู่ ก็ลองทำแบบที่ผมบอกดูครับว่า "ลองมองภาพวาด แล้วตีความเรื่องราวที่อยู่ในภาพดูสิ"
[Review] A Cure For Wellness - "งานศิลป์ที่ถูกเพิ่มเรื่องราวลงไปทีหลัง"
ผลงานล่าสุดจาก กอร์ เวอบินสกี้ ผู้กำกับที่โดดเด่นด้านวิสัยทัศน์ด้านภาพอย่างมากคนหนึ่งของฮอลลีวูดนะครับ จากการทำหนังสยองขวัญรีเมคอย่าง The Ring ให้ออกมาเป็น Ringu เวอร์ชั่นฮอลลีวูดได้อย่างเนียน หรือ Pirates of the Caribbean สามภาคแรก ให้เป็นหนังโจรสลัดที่สนุกและมีสเน่ห์มาก หรือหนังอนิเมชันล้อหนังคาวบอยแบบ Rango ที่มีเอกลักษณ์ในตัวแบบสุดๆ หรือแม้แต่งานเจ๊งแบบ The Lone Ranger ที่ถ้ามองแบบไม่อคติ หนังก็มีการกำกับศิลป์สไตส์พีเรียดที่สวยงามไม่เสียชื่อเฮียกอร์
และผลงานล่าสุดของแกอย่าง A Cure For Wellness ก็เป็นการกลับมาจับงานสยองขวัญอีกครั้งในรอบหลายปี ...หนังเล่าเรื่องราวของ ล็อคฮาร์ต นักธุรกิจหนุ่มผู้ได้รับมอบหมายงานให้ไปตามเอาตัว CEO ของบริษัท ที่หายตัวไปอย่างลึกลับในสถานบำบัดโรคแห่งหนึ่งบนเทือกเขาแอลป์ และเมื่อล็อคฮาร์ตไปถึงที่นั่น เขาก็ได้ประสบอุบัติเหตุจนขาหัก และต้องกลายเป็นหนึ่งในคนไข้ของสถานที่แห่งนั้นซะเอง
...และเมื่อล็อคฮาร์ตมาติดอยู่ในสถานที่แห่งนี้ เขาก็ได้พบกับ ความจริงอันน่ากลัว ที่อาจทำให้เขาไม่ได้กลับออกไปอีก...
สรุปสั้นๆเลย... ส่วนตัวผมชอบครึ่งแรกของหนังมาก แต่ผิดหวังกับครึ่งหลังกับไคลแม็กส์ของหนังมากเช่นกันครับ ^ ^''
รู้สึกมันเป็นหนังพล็อตดีมาก แต่ไม่ถูกดันในทางที่มันน่าจะควรเป็น โดยพล็อตเรื่องมันดูน่าสนใจและน่าติดตามมาก แต่เหมือนเฮีย กอร์ เวอบินสกี้ จะยังสับสนอยู่ว่าควรจะให้มันไปในทิศทางไหนดี ระหว่าง หนังสยองขวัญคัลท์ๆ กับ หนังสยองขวัญสไตส์ฮอลลีวูดจ๋า สุดท้ายมันเลยเป๋มาสู่ไคลแม็กส์ตามสูตรฮอลลีวูดเด๊ะ ทั้งๆที่มันเดินเรื่องมาด้วยแนวทางแบบ สยองขวัญ/กอธิค ได้ดีมาตลอดเรื่องแท้ๆเชียว
แต่มองโดยภาพรวมทั้งหมด ส่วนตัวผมไม่ได้ผิดหวังกับหนังไปซะหมดนะครับ... ส่วนตัวค่อนข้างโอเคกับสิ่งที่หนังเล่าเลย ชอบในการนำเสนอด้วยภาพ ทุกช็อตทุกตอนดูสวยงามแบบจิตๆ ตัวละครมนุษย์ที่ท่าทางแปลกๆดูไม่น่าไว้ใจ และมี Meaning สื่อถึงความหมายในฉากนั้นได้ดี ชวนให้นึกถึงงานดาร์คแฟนตาซีจิดหลุดแบบ City of the Lost Children (ภาพโทนเขียวๆ บรรยากาศกึ่งจริงกึ่งฝัน หลายๆอย่างบอกไม่ได้ว่า มันคืออะไร และทำไปทำไม) กับหนังสยองขวัญยุโรปหลายๆเรื่อง ที่เอาความน่าขยะแขยง มาผสมผสานเข้ากับความสวยงาม จนแทบจะกลมกลืนเป็นเนื้อเดียว ...ใครชอบเสพงานภาพสวยๆสไตส์นี้ ดูหนังเรื่องนี้น่าจะอิ่มเลย
ด้วยบรรยากาศที่สวยงามแบบหลอนๆ หนังในช่วงครึ่งแรกเลยไม่ใช่หนังสไตส์น่ากลัวตุ้งแช่ มีมุข Jumpscare อะไรแบบนั้น.. แต่มันจะน่าขุนลุกที่การสร้างบรรรยากาศเพี้ยนๆ ไม่ปกติ เหมือนอยู่ในฝันร้ายของใครซักคน ที่อะไรก็ดูอยู่ผิดที่ผิดทางไปหมด ซึ่งเป็นส่วนที่หนังทำได้ดีมากครับ ..ย้ำว่าครึ่งแรกนะ
แต่แม้ภาพจะดูสวยงาม หลอน น่าค้นหา และน่ากลัว อะไรขนาดไหน สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดเลยคือ ภาพเหล่านั้นมันไม่ซัพพอร์ทหรือสร้างอิมแพคอะไรใดๆต่อเรื่องเลยนี่สิครับ... อารมณ์ประมาณ งานศิลป์ที่สวยงาม แต่ไม่มีเรื่องราวในนั้น ดูแล้วรู้สึกตลอดว่า "หรือว่าจริงๆแล้ว ภาพมันมาก่อนพล็อตวะ?"
ประมาณว่า "เฮ้ย ฉากคนอยู่ในแท็งค์น้ำใหญ่ๆ ดูแล้วมันน่ากลัวดีว่ะ มาทำฉากแบบนั้นกันเถอะ" ไม่ก็ "เฮ้ย ฉากผู้หญิงนอนอยู่ในอ่างปลาไหลยั้วเยี่ยนี่น่าจะขนลุกเนอะ มาทำฉากแบบนี้กันเถอะ" อะไรแบบนั้น... มันเหมือนงานศิลป์ที่ถูกวาดออกมาจากความรู้สึก จากความหลงใหล ความกลัว ความงดงาม ที่ไม่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากเนื้อหาอะไร เสร็จแล้วก็ค่อยเติม Comment กับ Story ลงไปกำกับบนภาพอีกทีนึง เลยมีหลายฉากที่คนดูจะไม่เข้าใจเลยว่า ฉากนี้มีผลอะไรกับพล็อตของหนังตรงไหนฟะ? ในแง่การนำเสนอมันโอเคนะครับ แต่ในแง่ของการเล่าเรื่องถือว่าไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่
กับอีกอย่างคือ ไคลแม็กส์ของหนังเมื่อมันเฉลยทุกอย่างออก ...อันนี้คงเพราะผมอาจจะไปคาดหวังกับหนังผิดจุดเองก็ได้นะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ หนังไม่ได้เดินเรื่องในทิศทางแบบที่ผมหวัง มันเลยกลายเป็น แทนที่เราจะได้ดูหนังสยองขวัญไซไฟจิตวิทยา เรากลับได้ดู Pirates of the Caribbean อีกภาคแทน (ฮาาาา ...บอกไปก็จะเป็นการสปอยล์ แต่อารมณ์โดยรวมมันเป็นแบบนั้นแหละ)
สรุป A Cure For Wellness เป็นหนังที่พล็อตน่าสนใจมาก แต่มันพาตัวเองไปยังไม่สุดเท่าที่ควรจะเป็น สิ่งที่เป็นข้อดีที่สุดของหนังเลยก็คือ การถ่ายทอดเรื่องราวด้วยภาพที่สวยอย่างกับงานศิลป์ มีความเป็นหนังดาร์คแฟนตาซียุโรปที่หาชมได้ยากในหนังฮอลลีวูด ช่วยทำให้รู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปในสถานบำบัดพิลึกพิลั่นแบบเดียวกับที่ล็อคฮาร์ตพระเอกของเรื่อง ต้องมาติดอยู่ในที่แห่งนี้ เสียอย่างเดียวจริงๆคือพอมามองดูภาพรวมของหนัง กับไคลแม็กส์ของหนัง ที่มันดูไม่ซัพพอร์ทกันเอาซะเลย
ถึงกระนั้นก็มีหลายอย่างในหนังที่ผมรู้สึกถูกใจ หรืออยากจะวิเคราะห์ต่ออยู่ไม่น้อยเหมือนกันครับ โดยเฉพาะฉากจบของหนัง ที่ทิ้งคำถามเอาไว้ให้คนดูตีความต่อไปได้อีก... แต่ก็นั่นแหละ หนังที่ทิ้งคำถามมากมาย ไม่น่าจะใช่อะไรที่จะโดนใจคนได้ทุกๆคนแน่นอน
ฉะนั้น หากท่านใดยังสงสัย กับหลายๆอย่างในหนังอยู่ ก็ลองทำแบบที่ผมบอกดูครับว่า "ลองมองภาพวาด แล้วตีความเรื่องราวที่อยู่ในภาพดูสิ"