เหตุการณืที่จะเล่าคือเหตุการณ์7-8ปีก่อน ซึ่งตอนนี้เราอายุ 24ปีแล้ว
คือตอนนั้นเราเล่นMSN เจอพี่คนนี้ ตอนนั้นเราเรียน ปวช.และพี่เค้าชื่อรุท เพิ่งจบปริญญาตรีมา ยังไม่มีงานทำเลยช่วยแม่ขายของชำตลาดสดตอนเช้า
เราแลกเบอร์คุยกัน เพราะคุยกันถูกคอมากกๆ และเราก็ขอให้เค้าเป็นพี่ชายเค้าก็ตกลง เราโทรคุยกันเกือบทุกวันและคุยกันแบบพี่น้องจริงๆคุยแบบกวน เราก็เป็นคนกวนอยู่ละ ยิ่งสนุกสนาน แต่ส่วนมากพี่เค้าจะโทรมานะคะ หรือไม่เราก็โทรไปแล้วบอกให้พี่เค้าโทรกลับ พี่เค้าเหมือนเป็นคนเรียบร้อยและดุเราอยู่บ่อยๆ แต่เราก็ไม่เคยกลัว ก็ดูไม่น่ากลัวอะค่ะ ทุกครั้งที่เรามีเรื่อง หรือปัญหา ก็จะโทรหาตลอด เราคุยระยะหนึ่งก็เลยนัดเจอกัน
(เจอกันครั้ง) เราไม่ได้คิดเลยว่าพี่เค้าจะหน้าตาเป็นไง เจอกันตรงบ้านเรา บ้านเราอยู่บางพลีค่ะเส้นเทพารักษ์ บ้านพี่เค้าอยู่ซอยวัดศรีวารีน้อย บ้าง ม.หัวเฉียวค่ะ เจอกันแล้วก็พากันไปดูหนังเรารู้สึกดีอะ ไม่เขินอายเลย รู้สึกเหมือนมีพี่ชายจริงๆ วันนั้นผ่านไปเร็วมาก จากนั้นเราก็คุยกันเหมือนเดิมเรื่อยๆ ผ่านหลายเหตุการณืที่ทำให้เรารู้สึกแปลกๆ(รู้สึกแปลกๆเมื่อตอนที่เราไม่ได้เจอกันแล้ว) เหตุกาณแปลกๆมีไม่เยอะค่ะ จะเล้าให้ฟังนะคะ
(เจอกันครั้งที่ 2)
ก่อนอื่น เราเรียนปวช.วิทยาลัยตรงข้ามใบเทคบางนา บ้านเราอยู่บางพลี บ้านพี่เค้าอยู่ยวัดศรีวารีน้อย ตอนนั้นเรากระเป๋าตังหายที่โรงเรียนค่ะ เลยโทรไปเล่าให้พี่เค้าฟัง พี่เค้ารนรานมากค่ะ มีตังไม... จะกลับบ้านยังไง... ไปรับไม... เอกสารหายไม... ตอนเลิกเรียนเจอกันที่หน้าปากซอยสถานีตำรวจนะจะพาไปแจ้งความ... คืองงมาก กระเป่าตังใครกันแน่ บังคับให้นั่งวินเข้าซอยสถานีตำรวจคันเดียวกัน... แล้วพี่เค้าก็นั่งกลางให้เรานั่งหลัง สอนเรื่องการนั่งวิน และต้องนั่งรถเมล์กลับทางเดียวกันแต่บ้านพี่เค้าไกลกว่า ต้องนั่งคันเดียวกันอีก ระหว่างทางก็สอนโน่นนี่นั่น หลังจากนั้นเราก็คุยกันมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งคุยกันแล้วพี่เค้าโยงมาเข้าเรื่องว่า "ชอบพี่อะดิ้" ตามแบบฉบับคนกวนอย่างเราเลยตอบว่า "แหมพี่อะโทรมาหาหนูเกือบทุกวันคิดไรปะเนี่ย แต่ก็เป็นธรรมดาก็หนูสวยอะนะ" ซึ่งปกติก็คุยกวนๆอยู่แล้ว แต่ไม่เคยพูดแนวนี้เลย พักหลังคุยไปคุยมาเข้ามาเรื่องนี้ประจำแต่ก็กวนกันแบบนี้ประจำ
(เจอกันครั้งที่ 3)
วันสงกรานต์ พี่เค้าชวนเราไปไหว้พระที่วัดพระแก้ว และวัดระแวกใกล้เคียง แต่ไม่พาไปเล่นสงกรานต์นะ นัดเจอกันแถวบ้านเรา แต่เราเองหนีพี่เค้าไปเล่นสงกรานต์กับครอบครัวเพื่อนสนิท และอ้างว่ามีธุระด่วนทั้งที่พี่เค้ามาถึงแล้ว แต่เค้าก็ไม่โกรธ แต่กลับบอกว่ารีบไปเดี๋ยวที่บ้านจะว่า แล้วก็คุยกันเหมือนเดิม นอกจากจะถามเรื่องใครชอบใคร ยังมีเรื่องอื่นเพิ่มเข้ามา เช่นเคยมีแฟนไม ดูแลตัวเองด้วยนะ และเวลาจะนอนก็มักจะพูดว่า "หนูไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ไปเรียน ฝันดีล่ะ" ถ้าได้คุยกันตอนเช้าก็มักจะพูดว่า"ตั้งใจเรียนล่ะ ไม่ใช่นั่งหลับ" และดูเหมือนพี่เค้าก็มีเรื่องจะตักเตือนเรามากขึ้นเกี่ยวากับเรื่องของตัวเราเอง
และเราเรียนจบ ปวช.เรามีปัญหากับพ่อ เราเลยทำงาน และไม่ค่อยได้คุยกันเท่าที่ควร จากคุยกับเกือบทุกวัน กลายเป็นสัปดาห์ละครั้งเพราะเราเลิกงานมาแล้วรู้สึกอยากอยู่กับตัวเองมากกว่า พี่แกก็ไม่ได้ว่าไรก็ยังเหมือนเดิมแต่ก็มักจะถามว่า เหนื่อยไม ไปเที่ยวไม ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ถามว่าพี่เค้าทำงานยังไปอยู่ไหน เป็นอย่างนั้นประมาณ 3-4เดือน อยู่ดีดีเราก็ถามพี่เค้าเรื่องงาน ปรากฎว่าพี่เค้าบอกว่า "นึกว่าจะไม่ถาม พี่ได้งานแล้วเป็นครูสอนกศน.แถวแหลมฉบัง ตอนนี้พี่อยู่แถวแหลมฉบัง" วินาทีนั้นรู้แล้วอึ้งไป3วิ จนพี่เค้าต้องเรียก ถึงได้กลับมา อ้าวหรอก็ดี ทั้งที่ใจหาย เลยรนรานถามต่อว่า "ทำไมไม่ทำงานแถวบ้าน ไปทำไมตั้งไกล" พี่เค้าเลยบอกว่า"สมัครในเว็บแล้วได้ พี่ก็เลยมาทำ เพราะที่นี่พี่ไม่ได้ติดภาระหรือติดอะไรนี่ เป็นอะไรเดือร้อนหรอไง..." ไม่รู้จะพูดไรต่อ ได้แต่บอกว่า ถามดูเฉยๆ แต่ที่จริงพี่เค้าก็ทำงานได้ 2-3เดือนละซึ่งเวลก็ใกล้เคียงกับที่เราทำงาน พี่เค้าเลยบอกว่ามาเที่ยวสิจะพาเที่ยว เลยรีบตอบว่าไปสิ แต่พี่เค้าหยุดวันเสาร์ เราหยุดวันอาทิตย์ เลยบอกว่ารอผ่านโปรก่อนแล้วจะขอเค้าหยุดวันเสาร์ เวลาผ่านไป2-3เดือน
(เจอกันครั้งที่4)
เราเลยบอกว่าเราจะไป ต้องนั่งรถอะไรไปยังไง ลงไหน พี่เค้าบอกให้ทุกอย่าง ละเอียดไม่หลงเลย ลงรถหนองมนต์ ไปใกล้ถึงเลยโทรหาเค้าบอกกำลังขับมอไซมารับ ซึ่งเราไม่เคยนั่งมอไซเที่ยวเลยกลัว แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ เมื่อไปถึงเค้าก็มารับจริงๆแต่พอเห็นมอไซแล้วอึ้ง มอไซว่าไม่ค่อยได้นั่งแล้ว ช่วงนั้นCBRดังมากค่ะ พี่เค้าซื้อCBRยิ่งทำใก้เราเกร็งและกลัวมากกว่าเดิม เราโชว์บ้านนอกมาก ได้แต่ถามว่าขึ้นยังไง พี่เค้าบอกให้ใส่เสื้อ ใส่ถุงเท้าอะไรอย่างนี้ด้วยเพราะเดี๋ยวดำ จะพาเราข้ามไปเกาะสีชังแต่พอจะข้ามเรือที่เกาะมีเมฆฝนดำมาก เราเลยบอกไม่ไปกลัวฝนตกแล้วกลับไม่ได้ พี่เค้าเลยบอก "กลับไม่ได้ก็ค้างคืนไง"
(แต่มันไม่ง่ายนะคะสำหรับผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานและทางบ้านก็คงเป็นห่วงเพราะเราไม่เคยค้างที่ไหนเลย) พี่เค้าก็เลยพาเราเที่ยวแถวเกาะลอย และพาไปกินข้าว ระหว่างนั่งมอไซค์เรากลัวมากกก พี่เค้าก็มักจะให้กอดโดยการพูดว่า"กอดพี่ไว้นะเดี๋ยวตกนะหนู" สุดท้ายพี่เค้าก็มาส่งที่หนองมนต์เพื่อขึ้นรถและระหว่างรอรถ พี่เค้าจึงถามว่า"สนใจมาทำงานแถวแหลมฉบังไม เดี๋ยวพี่ดูให้ ส่วนที่อยู่พี่อยู่ห้องชุด มี1ห้องนอน 1ห้องนั่งเล่น หนูนอนในห้องก็ได้จะได้ไม่ต้องเสียตังเช่าห้องและปลอดภัยด้วย" สายตาเค้ามองหน้าเราต้องการคำตอบมาก แต่เราตอบว่า"คงไม่ได้ เพราะหนูยังไม่ได้แต่งงานที่บ้านจะไม่ยอมให้ออกไปอยู่ที่อื่นหรอก" พี่เค้าตอบ"พี่ก็ถามดูเผื่อหนูอยากมา" "ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกพี่นะ" แล้วพี่เค้าบอกว่า"ไป ขึ้นรถ เดี๋ยวไปส่งบ้านที่บางพลี" เราก็งง เลยบอกไปว่า"อย่าเลยมันไกลและพรุ่งนี้พี่ก็ต้องทำงานอีก ขับรถมืดๆมันอันตราย" พี่เค้าบอก"คืนนี้จะแวะนอนบ้านแม่ พรุ่งนี้เช้าค่อยขับกลับ" แต่เมื่อส่งเราเสร็จ เราจะเข้านอนเลยโทรหาว่าพี่เค้าอยู่ไหน เค้าตอบ"ถึงที่แหลมฉบังแล้ว แค่ไปส่งเฉยๆ ขี้เกียจนอนบ้านแม่"
และหลังจากนั้นก็ค่อยๆห่างกัน และไม่ได้ติดต่อกัน
เป็นสิ่งที่ติดค้างในใจอะค่ะ ว่าเค้าคิดอย่างไรกับเรา แค่อยากทราบอะค่ะ ค้างคาใจมาหลายปีแล้ว แสดงความคิดเห็นมาได้นะคะ
ขอบคุณค่ะ
พี่ชายคนนี้คิดอะกับเรากันแน่ ช่วยตอบหน่อยค่ะ ค้างคาใจมานานมาก
คือตอนนั้นเราเล่นMSN เจอพี่คนนี้ ตอนนั้นเราเรียน ปวช.และพี่เค้าชื่อรุท เพิ่งจบปริญญาตรีมา ยังไม่มีงานทำเลยช่วยแม่ขายของชำตลาดสดตอนเช้า
เราแลกเบอร์คุยกัน เพราะคุยกันถูกคอมากกๆ และเราก็ขอให้เค้าเป็นพี่ชายเค้าก็ตกลง เราโทรคุยกันเกือบทุกวันและคุยกันแบบพี่น้องจริงๆคุยแบบกวน เราก็เป็นคนกวนอยู่ละ ยิ่งสนุกสนาน แต่ส่วนมากพี่เค้าจะโทรมานะคะ หรือไม่เราก็โทรไปแล้วบอกให้พี่เค้าโทรกลับ พี่เค้าเหมือนเป็นคนเรียบร้อยและดุเราอยู่บ่อยๆ แต่เราก็ไม่เคยกลัว ก็ดูไม่น่ากลัวอะค่ะ ทุกครั้งที่เรามีเรื่อง หรือปัญหา ก็จะโทรหาตลอด เราคุยระยะหนึ่งก็เลยนัดเจอกัน
(เจอกันครั้ง) เราไม่ได้คิดเลยว่าพี่เค้าจะหน้าตาเป็นไง เจอกันตรงบ้านเรา บ้านเราอยู่บางพลีค่ะเส้นเทพารักษ์ บ้านพี่เค้าอยู่ซอยวัดศรีวารีน้อย บ้าง ม.หัวเฉียวค่ะ เจอกันแล้วก็พากันไปดูหนังเรารู้สึกดีอะ ไม่เขินอายเลย รู้สึกเหมือนมีพี่ชายจริงๆ วันนั้นผ่านไปเร็วมาก จากนั้นเราก็คุยกันเหมือนเดิมเรื่อยๆ ผ่านหลายเหตุการณืที่ทำให้เรารู้สึกแปลกๆ(รู้สึกแปลกๆเมื่อตอนที่เราไม่ได้เจอกันแล้ว) เหตุกาณแปลกๆมีไม่เยอะค่ะ จะเล้าให้ฟังนะคะ
(เจอกันครั้งที่ 2)
ก่อนอื่น เราเรียนปวช.วิทยาลัยตรงข้ามใบเทคบางนา บ้านเราอยู่บางพลี บ้านพี่เค้าอยู่ยวัดศรีวารีน้อย ตอนนั้นเรากระเป๋าตังหายที่โรงเรียนค่ะ เลยโทรไปเล่าให้พี่เค้าฟัง พี่เค้ารนรานมากค่ะ มีตังไม... จะกลับบ้านยังไง... ไปรับไม... เอกสารหายไม... ตอนเลิกเรียนเจอกันที่หน้าปากซอยสถานีตำรวจนะจะพาไปแจ้งความ... คืองงมาก กระเป่าตังใครกันแน่ บังคับให้นั่งวินเข้าซอยสถานีตำรวจคันเดียวกัน... แล้วพี่เค้าก็นั่งกลางให้เรานั่งหลัง สอนเรื่องการนั่งวิน และต้องนั่งรถเมล์กลับทางเดียวกันแต่บ้านพี่เค้าไกลกว่า ต้องนั่งคันเดียวกันอีก ระหว่างทางก็สอนโน่นนี่นั่น หลังจากนั้นเราก็คุยกันมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งคุยกันแล้วพี่เค้าโยงมาเข้าเรื่องว่า "ชอบพี่อะดิ้" ตามแบบฉบับคนกวนอย่างเราเลยตอบว่า "แหมพี่อะโทรมาหาหนูเกือบทุกวันคิดไรปะเนี่ย แต่ก็เป็นธรรมดาก็หนูสวยอะนะ" ซึ่งปกติก็คุยกวนๆอยู่แล้ว แต่ไม่เคยพูดแนวนี้เลย พักหลังคุยไปคุยมาเข้ามาเรื่องนี้ประจำแต่ก็กวนกันแบบนี้ประจำ
(เจอกันครั้งที่ 3)
วันสงกรานต์ พี่เค้าชวนเราไปไหว้พระที่วัดพระแก้ว และวัดระแวกใกล้เคียง แต่ไม่พาไปเล่นสงกรานต์นะ นัดเจอกันแถวบ้านเรา แต่เราเองหนีพี่เค้าไปเล่นสงกรานต์กับครอบครัวเพื่อนสนิท และอ้างว่ามีธุระด่วนทั้งที่พี่เค้ามาถึงแล้ว แต่เค้าก็ไม่โกรธ แต่กลับบอกว่ารีบไปเดี๋ยวที่บ้านจะว่า แล้วก็คุยกันเหมือนเดิม นอกจากจะถามเรื่องใครชอบใคร ยังมีเรื่องอื่นเพิ่มเข้ามา เช่นเคยมีแฟนไม ดูแลตัวเองด้วยนะ และเวลาจะนอนก็มักจะพูดว่า "หนูไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ไปเรียน ฝันดีล่ะ" ถ้าได้คุยกันตอนเช้าก็มักจะพูดว่า"ตั้งใจเรียนล่ะ ไม่ใช่นั่งหลับ" และดูเหมือนพี่เค้าก็มีเรื่องจะตักเตือนเรามากขึ้นเกี่ยวากับเรื่องของตัวเราเอง
และเราเรียนจบ ปวช.เรามีปัญหากับพ่อ เราเลยทำงาน และไม่ค่อยได้คุยกันเท่าที่ควร จากคุยกับเกือบทุกวัน กลายเป็นสัปดาห์ละครั้งเพราะเราเลิกงานมาแล้วรู้สึกอยากอยู่กับตัวเองมากกว่า พี่แกก็ไม่ได้ว่าไรก็ยังเหมือนเดิมแต่ก็มักจะถามว่า เหนื่อยไม ไปเที่ยวไม ซึ่งเราเองก็ไม่ได้ถามว่าพี่เค้าทำงานยังไปอยู่ไหน เป็นอย่างนั้นประมาณ 3-4เดือน อยู่ดีดีเราก็ถามพี่เค้าเรื่องงาน ปรากฎว่าพี่เค้าบอกว่า "นึกว่าจะไม่ถาม พี่ได้งานแล้วเป็นครูสอนกศน.แถวแหลมฉบัง ตอนนี้พี่อยู่แถวแหลมฉบัง" วินาทีนั้นรู้แล้วอึ้งไป3วิ จนพี่เค้าต้องเรียก ถึงได้กลับมา อ้าวหรอก็ดี ทั้งที่ใจหาย เลยรนรานถามต่อว่า "ทำไมไม่ทำงานแถวบ้าน ไปทำไมตั้งไกล" พี่เค้าเลยบอกว่า"สมัครในเว็บแล้วได้ พี่ก็เลยมาทำ เพราะที่นี่พี่ไม่ได้ติดภาระหรือติดอะไรนี่ เป็นอะไรเดือร้อนหรอไง..." ไม่รู้จะพูดไรต่อ ได้แต่บอกว่า ถามดูเฉยๆ แต่ที่จริงพี่เค้าก็ทำงานได้ 2-3เดือนละซึ่งเวลก็ใกล้เคียงกับที่เราทำงาน พี่เค้าเลยบอกว่ามาเที่ยวสิจะพาเที่ยว เลยรีบตอบว่าไปสิ แต่พี่เค้าหยุดวันเสาร์ เราหยุดวันอาทิตย์ เลยบอกว่ารอผ่านโปรก่อนแล้วจะขอเค้าหยุดวันเสาร์ เวลาผ่านไป2-3เดือน
(เจอกันครั้งที่4)
เราเลยบอกว่าเราจะไป ต้องนั่งรถอะไรไปยังไง ลงไหน พี่เค้าบอกให้ทุกอย่าง ละเอียดไม่หลงเลย ลงรถหนองมนต์ ไปใกล้ถึงเลยโทรหาเค้าบอกกำลังขับมอไซมารับ ซึ่งเราไม่เคยนั่งมอไซเที่ยวเลยกลัว แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ เมื่อไปถึงเค้าก็มารับจริงๆแต่พอเห็นมอไซแล้วอึ้ง มอไซว่าไม่ค่อยได้นั่งแล้ว ช่วงนั้นCBRดังมากค่ะ พี่เค้าซื้อCBRยิ่งทำใก้เราเกร็งและกลัวมากกว่าเดิม เราโชว์บ้านนอกมาก ได้แต่ถามว่าขึ้นยังไง พี่เค้าบอกให้ใส่เสื้อ ใส่ถุงเท้าอะไรอย่างนี้ด้วยเพราะเดี๋ยวดำ จะพาเราข้ามไปเกาะสีชังแต่พอจะข้ามเรือที่เกาะมีเมฆฝนดำมาก เราเลยบอกไม่ไปกลัวฝนตกแล้วกลับไม่ได้ พี่เค้าเลยบอก "กลับไม่ได้ก็ค้างคืนไง"
(แต่มันไม่ง่ายนะคะสำหรับผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานและทางบ้านก็คงเป็นห่วงเพราะเราไม่เคยค้างที่ไหนเลย) พี่เค้าก็เลยพาเราเที่ยวแถวเกาะลอย และพาไปกินข้าว ระหว่างนั่งมอไซค์เรากลัวมากกก พี่เค้าก็มักจะให้กอดโดยการพูดว่า"กอดพี่ไว้นะเดี๋ยวตกนะหนู" สุดท้ายพี่เค้าก็มาส่งที่หนองมนต์เพื่อขึ้นรถและระหว่างรอรถ พี่เค้าจึงถามว่า"สนใจมาทำงานแถวแหลมฉบังไม เดี๋ยวพี่ดูให้ ส่วนที่อยู่พี่อยู่ห้องชุด มี1ห้องนอน 1ห้องนั่งเล่น หนูนอนในห้องก็ได้จะได้ไม่ต้องเสียตังเช่าห้องและปลอดภัยด้วย" สายตาเค้ามองหน้าเราต้องการคำตอบมาก แต่เราตอบว่า"คงไม่ได้ เพราะหนูยังไม่ได้แต่งงานที่บ้านจะไม่ยอมให้ออกไปอยู่ที่อื่นหรอก" พี่เค้าตอบ"พี่ก็ถามดูเผื่อหนูอยากมา" "ถ้าเปลี่ยนใจก็บอกพี่นะ" แล้วพี่เค้าบอกว่า"ไป ขึ้นรถ เดี๋ยวไปส่งบ้านที่บางพลี" เราก็งง เลยบอกไปว่า"อย่าเลยมันไกลและพรุ่งนี้พี่ก็ต้องทำงานอีก ขับรถมืดๆมันอันตราย" พี่เค้าบอก"คืนนี้จะแวะนอนบ้านแม่ พรุ่งนี้เช้าค่อยขับกลับ" แต่เมื่อส่งเราเสร็จ เราจะเข้านอนเลยโทรหาว่าพี่เค้าอยู่ไหน เค้าตอบ"ถึงที่แหลมฉบังแล้ว แค่ไปส่งเฉยๆ ขี้เกียจนอนบ้านแม่"
และหลังจากนั้นก็ค่อยๆห่างกัน และไม่ได้ติดต่อกัน
เป็นสิ่งที่ติดค้างในใจอะค่ะ ว่าเค้าคิดอย่างไรกับเรา แค่อยากทราบอะค่ะ ค้างคาใจมาหลายปีแล้ว แสดงความคิดเห็นมาได้นะคะ
ขอบคุณค่ะ