ในจักวาลของเรามีดวงดาวมากมายเกินที่มนุษย์จะจินตนาการถึงเเต่เราก็สารมารถคำนวณออกมาเป็นค่าประมาณได้ ดังที่ Carl Sagan เคยกล่าวว่า"ดาวทุกดวงในอวกาศมีมากกว่าเม็ดทรายบนชายหาดทั้งโลกรวมกัน"
ดาวในที่นี้หมายถึงดาวฤกษ์ ซึ่งยังไม่รวมดาวเคราะ เเล้วเราสิ่งมีชีวิตสปีชีส์Homo sapiens ที่บังเอิญเกิดมาในดาวเคราะห์ดวงสีฟ้าดวงน้อยของเรา เเล้วมีวิวัฒนาการเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งเราอาจคิดว่าพวกเรามาไกลเเล้ว....... เเต่เราเป็นสิ่งที่ใหม่ที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้ โลกเปรียบเหมื่อนผู้เฒ่าอายุ 4.6พันล้านปี หรือ4.6ตามด้วยศูนย์อีกเก้าตัว ส่วน มนุษย์ Homo sapiens หรือพวกเรานั่นเองที่เป็นเด็กทารกอายุ 200,000 ปี เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าอย่างโลก เเล้วตอนนี้อารยธรรมเราอยู่ในระดับไหนกันเเล้ว เเล้วเราจะสามารถพัฒนาไปถึงขั้นไหนอีกได้บ้าง เชิญเสพกันได้เลยครับ
Nikolai Kardashev นักดาราศาสตร์ชาวรัสเซียได้คิดค้น Kardashev scale หรือมาตราวัดความเจริญทางด้านเทคโนโลยีของอารยธรรม
โดยวัดจากพลังงานที่อารยธรรมนั้นๆดึงมาใช้
จาก Kardashev scale เราสามารถเเบ่งอารยธรรมออกเป็น 4 ระดับได้ดังนี้ครับ
Civilization type I
"First type"
อารยธรรมของมนุษย์เรากำลังอยู่ในระดับนี้ครับซึ่งก็คือการนำเอาพลังงานของดวงอาทิตย์มาใช้ในรูปเเบบต่างๆเช่น นำมาผลิตไฟฟ้า พืชใช้สังเคราะห์เเสง ฯล เเต่ในระดับนี้เรายังคงใช้พลังงานจากดาวฤกษ์ได้เเค่พื้นผิวของโลกเราจะรับจากดวงอาทิตย์ได้ เราไม่สามารถรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ได้จากทุกทิศทางของดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดคำถามต่อมาว่า
เเล้วเราจะทำยังไงกันถึงจะนำพลังงานจากดวงอาทิตย์มาใช้ได้ทั้งหมด? คำถามนี้นำไปสู้ type ต่อไปครับ
Civilization type II
"Second type"
อารยธรรมในระดับนี้ต้องก้าวไปอีกขั้นหนึ่งในการนำพลังงานจากดาวฤกษ์มาใช้ โดยสามรถนำพลังงานมาใช้ได้เกือบทั้งหมดรับได้ทุกทิศทุกทางซึ่งเเน่นอนว่าถ้าเราสามารถนำมาใช้ได้ถึงระดับนี้เราอาจไม่จำเป็นต้องหาพลังงานทดเเทนอื่นๆอีกเลยก็ได้ น้ำมันอาจกลายเป็นของฟรีที่มนุษย์ไม่ต้องการใช้มากอย่างปัจจุบัน เเล้วเรามีเเนวคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้หรือป่าว?
นักฟิสิกส์ชางอังกฤษ Freeman Dyson ได้เสนอโปรเจ็คขนาดมหึมาที่เรียกกันว่า Dyson sphere ที่จะสามารถกักเก็บพลังงานของดาวฤกษ์เอาไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการสะท้อนพลังงานทั้งหมดจากดาวฤกษ์ด้วยวัตถุคล้ายกระจกเงาขนาดยักษ์ที่ โคจรเป็นวงกลมล้อมรอบดาวฤกษ์ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีพอที่จะสามารถ สร้างเครื่องจักรมหึมมาขนาดนี้ได้
Alderson disk ที่เสนอโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านพลังงาน Dan Alderson
ซึ่งเป็นแผ่นจานหมุนขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับวงโคจรของดาวอังคาร หรือดาวพฤหัส ใจกลางของแผ่นดิสก์เป็นดาวฤกษ์ที่ให้พลังงานสูงซึ่งแรงโน้มถ่วงจะเกิดขึ้นในแนวตั้งฉากกับจานหมุนทำให้ประชากรทั้งหมดจึงอาศัยอยู่ในเเต่ละด้านของจานนั้นได้ เเต่ก็เหตุผลเดิมเรายังไม่มีเทคโนโลยีพอที่จะสร้างสิ่งดังกล่าวได้
และ เมื่อแหล่งพลังงานจากดาวฤกษ์ถูกใช้จนหมดสิ้นแล้ว Civilization type II ก็สามารถเดินทางไปยังระบบสุริยะอื่นและจุดดวงดาวที่ตายแล้วให้เผาไหม้เป็น แหล่งพลังงานได้อีกครั้ง หรือแม้แต่ใช้พลังงานที่ระเหยออกจากหลุมดำขนาดย่อมได้
Civilization type III
"Third type"
ระดับ ขั้นอารยธรรมสูงสุดของสิ่งมีชีวิตซึ่งสามารถขยายอาณาจักรไปไกลโพ้นกาแล็กซี่ และดึงพลังงานจากดาวฤกษ์นับสิบล้านดวง รวมถึงพลังงานที่ระเหยออกจากหลุมดำขนาดยักษ์ ด้วยระดับพลังงานดังกล่าว อารยธรรมนี้จะสามารถสร้างเครื่องยนต์ที่เดินทางด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสง ได้ ดังนั้นการเดินทางระหว่างอาณานิคมก็ไม่ได้ยากเย็นอีกต่อไป
หาก แต่เรากำลังพูดถึงระดับจักรวาล...แค่กาแล็กซี่ทางช้างเผือกก็มีเส้นผ่าน ศูนย์กลางกว่าแสนปีแสง ความห่างไกลกันของแต่ละนิคมเทียบได้กับชนเผ่าต่างๆในยุคโบราณที่มีวัฒนธรรม ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการต่างกันราวฟ้ากับเหว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหานั้น นักวิทยาศาสตร์มองว่าการเดินทางด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสงอาจไม่เพียงพอ เชื่อว่า Civilization type III จะสามารถสร้างรูหนอน-ทางลัดจักรวาลได้สำเร็จ (Wormhole) เพื่อเชื่อมระหว่างนิคมต่างๆที่อยู่ห่างไกลกัน
Civilization type IV
"God type"
ใน ครั้งที่ Michio Kaku ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ได้ไปบรรยายเกี่ยวกับ Kardashev scale ที่กรุงลอนดอน เด็กชายอายุสิบขวบได้ท้วงว่า “มันต้องมี Civilization type IV ด้วยสิครับ” คุณมิชิโอะก็เป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักผู้รับฟังคำพูดของเด็กน้อย เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นจริง แหล่งพลังงานของจักรวาลยังไม่สิ้นสุด
หาก จะมี Civilization type IV ก็คงเป็นอารยธรรมที่สามารถดึงพลังงานมืด (Dark energy) ที่เป็นองค์ประกอบกว่า 73% ในจักรวาลซึ่งเราไม่อาจมองเห็น เหมือนเงาลึกลับที่กระจายอยู่ทั่วจักรวาล การสกัดพลังงานดังกล่าวออกมาใช้เทียบเท่ากับการสกัดทองคำจากมหาสมุทร แต่หากมีอารยธรรมใดที่สามารถทำได้จริง—อารยธรรมนั้นคงครองจักรวาลได้อย่างเเน่เเท้
ที่มา:
http://www.iconempire.com/dark-solar-system
ในบทสรุปสุดท้ายเมื่อจักรวาลที่ เราอยู่จะล่มสลายอย่างช้าๆด้วยปรากฏการณ์ Big Freeze มีเพียงอารยธรรมระดับ III ละ IV เท่านั้นครับที่สามารถหนีหลุดพ้นจักรวาลเก่าไปจักรวาลใหม่ได้ หากทฤษฎีหลายจักรวาล (Multiverse) เป็นความจริง (รายละเอียดเกี่ยวกับการ “หนี” จากจักรวาลเก่าไปจักรวาลใหม่เป็นวิทยาศาสตร์ระดับโหดหินที่จขบ.ไม่สามารถ อธิบายได้ แนะนำให้อ่านหนังสือตามที่อ้างอิงครับ)
ดังนั้นหลีกเลี่ยง ไม่ได้ครับ ที่เราจะต้องฟันฝ่า วิวัฒน์ตัวเองให้มีระดับอารยธรรมถึงขั้นนั้นด้วยหนทางตามที่กล่าวมา หากอารยธรรมของเราเจริญก้าวหน้าด้วยอัตรากำลังการผลิตพลังงานที่เพิ่มขึ้น 2-3% ต่อปี นั่นหมายความว่าเราต้องใช้เวลา 1,000-5,000 ปี Civilization type II…และ 100,000-1,000,000 ปีกว่าจะไปถึง Civilization type III เห้อออออออออออ คิดเเล้วท้อ
...สู้ต่อไป มนุษยชาติ
ขอขอบคุณเนื้อหากว่า70%จาก
http://zentonize.blogspot.com/2010/08/blog-post_7649.html
ถ้าผิดพลาดจุดไหนขออภัยด้วยครับ
ระดับอารยธรรมของสิ่งมีชีวิตทรงปัญญาในจักวาล (Civilization Level)
ดาวในที่นี้หมายถึงดาวฤกษ์ ซึ่งยังไม่รวมดาวเคราะ เเล้วเราสิ่งมีชีวิตสปีชีส์Homo sapiens ที่บังเอิญเกิดมาในดาวเคราะห์ดวงสีฟ้าดวงน้อยของเรา เเล้วมีวิวัฒนาการเทคโนโลยีต่างๆ ซึ่งเราอาจคิดว่าพวกเรามาไกลเเล้ว....... เเต่เราเป็นสิ่งที่ใหม่ที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้ โลกเปรียบเหมื่อนผู้เฒ่าอายุ 4.6พันล้านปี หรือ4.6ตามด้วยศูนย์อีกเก้าตัว ส่วน มนุษย์ Homo sapiens หรือพวกเรานั่นเองที่เป็นเด็กทารกอายุ 200,000 ปี เมื่อเทียบกับผู้เฒ่าอย่างโลก เเล้วตอนนี้อารยธรรมเราอยู่ในระดับไหนกันเเล้ว เเล้วเราจะสามารถพัฒนาไปถึงขั้นไหนอีกได้บ้าง เชิญเสพกันได้เลยครับ
Nikolai Kardashev นักดาราศาสตร์ชาวรัสเซียได้คิดค้น Kardashev scale หรือมาตราวัดความเจริญทางด้านเทคโนโลยีของอารยธรรม
โดยวัดจากพลังงานที่อารยธรรมนั้นๆดึงมาใช้
จาก Kardashev scale เราสามารถเเบ่งอารยธรรมออกเป็น 4 ระดับได้ดังนี้ครับ
Civilization type I
"First type"
อารยธรรมของมนุษย์เรากำลังอยู่ในระดับนี้ครับซึ่งก็คือการนำเอาพลังงานของดวงอาทิตย์มาใช้ในรูปเเบบต่างๆเช่น นำมาผลิตไฟฟ้า พืชใช้สังเคราะห์เเสง ฯล เเต่ในระดับนี้เรายังคงใช้พลังงานจากดาวฤกษ์ได้เเค่พื้นผิวของโลกเราจะรับจากดวงอาทิตย์ได้ เราไม่สามารถรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ได้จากทุกทิศทางของดวงอาทิตย์ ทำให้เกิดคำถามต่อมาว่า
เเล้วเราจะทำยังไงกันถึงจะนำพลังงานจากดวงอาทิตย์มาใช้ได้ทั้งหมด? คำถามนี้นำไปสู้ type ต่อไปครับ
Civilization type II
"Second type"
อารยธรรมในระดับนี้ต้องก้าวไปอีกขั้นหนึ่งในการนำพลังงานจากดาวฤกษ์มาใช้ โดยสามรถนำพลังงานมาใช้ได้เกือบทั้งหมดรับได้ทุกทิศทุกทางซึ่งเเน่นอนว่าถ้าเราสามารถนำมาใช้ได้ถึงระดับนี้เราอาจไม่จำเป็นต้องหาพลังงานทดเเทนอื่นๆอีกเลยก็ได้ น้ำมันอาจกลายเป็นของฟรีที่มนุษย์ไม่ต้องการใช้มากอย่างปัจจุบัน เเล้วเรามีเเนวคิดเกี่ยวกับสิ่งนี้หรือป่าว?
นักฟิสิกส์ชางอังกฤษ Freeman Dyson ได้เสนอโปรเจ็คขนาดมหึมาที่เรียกกันว่า Dyson sphere ที่จะสามารถกักเก็บพลังงานของดาวฤกษ์เอาไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการสะท้อนพลังงานทั้งหมดจากดาวฤกษ์ด้วยวัตถุคล้ายกระจกเงาขนาดยักษ์ที่ โคจรเป็นวงกลมล้อมรอบดาวฤกษ์ ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีพอที่จะสามารถ สร้างเครื่องจักรมหึมมาขนาดนี้ได้
Alderson disk ที่เสนอโดยนักวิทยาศาสตร์ด้านพลังงาน Dan Alderson
ซึ่งเป็นแผ่นจานหมุนขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับวงโคจรของดาวอังคาร หรือดาวพฤหัส ใจกลางของแผ่นดิสก์เป็นดาวฤกษ์ที่ให้พลังงานสูงซึ่งแรงโน้มถ่วงจะเกิดขึ้นในแนวตั้งฉากกับจานหมุนทำให้ประชากรทั้งหมดจึงอาศัยอยู่ในเเต่ละด้านของจานนั้นได้ เเต่ก็เหตุผลเดิมเรายังไม่มีเทคโนโลยีพอที่จะสร้างสิ่งดังกล่าวได้
และ เมื่อแหล่งพลังงานจากดาวฤกษ์ถูกใช้จนหมดสิ้นแล้ว Civilization type II ก็สามารถเดินทางไปยังระบบสุริยะอื่นและจุดดวงดาวที่ตายแล้วให้เผาไหม้เป็น แหล่งพลังงานได้อีกครั้ง หรือแม้แต่ใช้พลังงานที่ระเหยออกจากหลุมดำขนาดย่อมได้
Civilization type III
"Third type"
ระดับ ขั้นอารยธรรมสูงสุดของสิ่งมีชีวิตซึ่งสามารถขยายอาณาจักรไปไกลโพ้นกาแล็กซี่ และดึงพลังงานจากดาวฤกษ์นับสิบล้านดวง รวมถึงพลังงานที่ระเหยออกจากหลุมดำขนาดยักษ์ ด้วยระดับพลังงานดังกล่าว อารยธรรมนี้จะสามารถสร้างเครื่องยนต์ที่เดินทางด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสง ได้ ดังนั้นการเดินทางระหว่างอาณานิคมก็ไม่ได้ยากเย็นอีกต่อไป
หาก แต่เรากำลังพูดถึงระดับจักรวาล...แค่กาแล็กซี่ทางช้างเผือกก็มีเส้นผ่าน ศูนย์กลางกว่าแสนปีแสง ความห่างไกลกันของแต่ละนิคมเทียบได้กับชนเผ่าต่างๆในยุคโบราณที่มีวัฒนธรรม ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการต่างกันราวฟ้ากับเหว เพื่อไม่ให้เกิดปัญหานั้น นักวิทยาศาสตร์มองว่าการเดินทางด้วยความเร็วใกล้ความเร็วแสงอาจไม่เพียงพอ เชื่อว่า Civilization type III จะสามารถสร้างรูหนอน-ทางลัดจักรวาลได้สำเร็จ (Wormhole) เพื่อเชื่อมระหว่างนิคมต่างๆที่อยู่ห่างไกลกัน
Civilization type IV
"God type"
ใน ครั้งที่ Michio Kaku ศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ได้ไปบรรยายเกี่ยวกับ Kardashev scale ที่กรุงลอนดอน เด็กชายอายุสิบขวบได้ท้วงว่า “มันต้องมี Civilization type IV ด้วยสิครับ” คุณมิชิโอะก็เป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักผู้รับฟังคำพูดของเด็กน้อย เมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นจริง แหล่งพลังงานของจักรวาลยังไม่สิ้นสุด
หาก จะมี Civilization type IV ก็คงเป็นอารยธรรมที่สามารถดึงพลังงานมืด (Dark energy) ที่เป็นองค์ประกอบกว่า 73% ในจักรวาลซึ่งเราไม่อาจมองเห็น เหมือนเงาลึกลับที่กระจายอยู่ทั่วจักรวาล การสกัดพลังงานดังกล่าวออกมาใช้เทียบเท่ากับการสกัดทองคำจากมหาสมุทร แต่หากมีอารยธรรมใดที่สามารถทำได้จริง—อารยธรรมนั้นคงครองจักรวาลได้อย่างเเน่เเท้
ที่มา: http://www.iconempire.com/dark-solar-system
ในบทสรุปสุดท้ายเมื่อจักรวาลที่ เราอยู่จะล่มสลายอย่างช้าๆด้วยปรากฏการณ์ Big Freeze มีเพียงอารยธรรมระดับ III ละ IV เท่านั้นครับที่สามารถหนีหลุดพ้นจักรวาลเก่าไปจักรวาลใหม่ได้ หากทฤษฎีหลายจักรวาล (Multiverse) เป็นความจริง (รายละเอียดเกี่ยวกับการ “หนี” จากจักรวาลเก่าไปจักรวาลใหม่เป็นวิทยาศาสตร์ระดับโหดหินที่จขบ.ไม่สามารถ อธิบายได้ แนะนำให้อ่านหนังสือตามที่อ้างอิงครับ)
ดังนั้นหลีกเลี่ยง ไม่ได้ครับ ที่เราจะต้องฟันฝ่า วิวัฒน์ตัวเองให้มีระดับอารยธรรมถึงขั้นนั้นด้วยหนทางตามที่กล่าวมา หากอารยธรรมของเราเจริญก้าวหน้าด้วยอัตรากำลังการผลิตพลังงานที่เพิ่มขึ้น 2-3% ต่อปี นั่นหมายความว่าเราต้องใช้เวลา 1,000-5,000 ปี Civilization type II…และ 100,000-1,000,000 ปีกว่าจะไปถึง Civilization type III เห้อออออออออออ คิดเเล้วท้อ
...สู้ต่อไป มนุษยชาติ
ขอขอบคุณเนื้อหากว่า70%จาก http://zentonize.blogspot.com/2010/08/blog-post_7649.html
ถ้าผิดพลาดจุดไหนขออภัยด้วยครับ