สวัสดีครับ ผมจะมาเล่าประสบการณ์หลอนอีกเรื่องนึงให้ฟังนะครับ ต่อจากกระทู้เรื่อง เสียงเตือน กับนักวิ่ง ตามลิงค์นี้นะครับ
https://ppantip.com/topic/36093658 ในนั้นจะมีอีกเรื่องนึงที่โพสต่อกันไว้ด้วย ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับ
จากเรื่องเดิมที่เคยบอกกันไว้ว่าผมเป็นคนกรุงเทพและได้อาศัยอยู่ในจังหวัดๆนึงทางภาคเหนือ และก็ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานโรงพิมพ์หนึ่งในตัวเมืองจังหวัด โดยการเดินทางต่อใช้มอเตอร์ไซค์เดินทางไปทำงานครับ ซึ่งจากที่พักไปยังที่ทำงานที่อยู่ในตัวเมือง มีระยะทางห่างกันประมาณ 12 กิโล เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมต้องหลับตาขับรถ แต่ไม่โหดร้ายทารุณเหมือนนักวิ่งตอนนั้น แต่เส้นทางที่เจอเป็นเส้นทางเดียวกัน เวลาเดียวกันแต่ด้วยความลืมตัวและรีบร้อนจึงทำให้ผมโง่เป็นครั้งที่สอง และด้วยที่เส้นทางนั้นมีไฟนีออนซ์ที่มาจากเสาโซราเซลของเทศบาลที่เอามาติดตั้ง จึงทำให้เส้นทางนั้นไม่มืดมิดเหมือนเรื่องครับ
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ จากประสบการณ์ทั้งหมดที่เคยเจอมา ครั้งนี้นับเป็นการเจอที่ธรรมดา พื้นฐาน เบสิก ชัดเจน และสับสนปนเปกันไปเยอะมากครับ โดยที่ไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งที่เจอนั้นเป็นอะไรกันแน่
วันนั้นเป็นอีกวันที่ผมไปทำงานตามปกติครับ ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดี แล้วผมก็มีงานที่ต้องอยู่ดึกทำโอทีอีกเช่นเคย เย็นวันนั้นผมพยายามเคลียร์งานให้เสร็จไวที่สุดครับ แต่เนื่องจากต้องมีการแก้ไขงานหลายรอบและเป็นงานด่วน จึงมีความจำเป็นอย่างสูงมากที่ต้องอยุ่โอที เวลาโอทีก็ผ่านไป หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง งานผมก็ยังไม่เสร็จ จนถึงเวลาประมาณ 21.00 น. ผู้จัดการคงจะเห็นใจหรือง่วงนอนแล้วก็ไม่แน่ใจครับเค้าเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาแล้วก็เอ่ยปากไล่ทันที
"ไปๆกลับบ้านได้แล้ว เสร็จเยอะแล้วพรุ่งนี้มาทำเช้าก็ยังทันส่งให้ดูแบบตอนบ่าย"
"อีกนิดเดียวครับ ขอเซฟงานตรงนี้ก่อน"
"โอเค เสร็จแล้วเรียกพี่ด้วยนะ จะได้ไปปิดประตูหลังบ้าน"
พอจบบทสนทนากับหัวหน้าแล้ว ผมก็ก้มหน้าก้มตาเซฟงานที่ทำอยู่ตรงหน้าให้เสร็จ เนื่องด้วยคอมมันเก่า และข้อมูลในคอมมีค่อนข้างเยอะมาก เลยทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ช้ามากถึงมากที่สุด (ใครใช้คอมเครื่องนี้ได้ถือว่าเป็นการฝึกสมาธิขั้นสูง) กว่าผมจะเซฟงานปิดคอมเวลาก็ปาไป 21.30 น. เพราะปิดไฟ อินเตอร์เน็ตอะไรเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินเข้าไปบอกหัวหน้าในห้องทำงานครับ
"พี่ผมกลับละนะ..."
"เออได้ๆ กลับบ้านดีๆนะ อย่าไปเกาะติดขอบสนามอีกหละ"
"โถ่พี่..."
รู้สึกใจสั่นนิดๆเมื่อโดนแซวทีเล่นทีจริงในเรื่องที่ชวนสยองแบบนั้น อย่างที่บอกว่าในการเจอครั้งนี้ มันเว้นระยะเวลานานพอสมควรจากเรื่องนักวิ่ง ผมจึงไม่ค่อยจะอินกับความรู้สึกนั้นสักเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ยังมีความกังวลปนหลอนอยู่ในใจลึกๆเหมือนกัน
ผมเดินออกมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์คันแดงของผมที่จอดอยู่ด้านหลังที่ทำงานซึ่งเป็นลานจอดรถของทางโรงพิมพ์ ในใจตอนนั้นผมก็มีความคิดเกิดขึ้นครับ เป็นความคิดที่นึกถึงเสียงเตือนเมื่อครั้งก่อน ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องผมก็พยายามจะไม่พูดถึง จนเรื่องราวได้จมหายไปในเมมโมรี่ แต่วันนั้นกลับมีความคิดนึกถึง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะที่หัวหน้าทักเรื่องเกาะขอบสนามเมื่อสักครู่ แต่เซ้นส์ผมตอนนั้นมันตะหงิดๆในใจครับ
ผมขับรถออกมาจากที่ทำงานได้สักพัก ก็แวะ 7-11 ตรงเขตตำบลหนึ่งก่อนจะออกจากตัวเมืองครับ และผมก็เจอกับคนรู้จักซึ่งเป็นลูกค้าในโรงพิมพ์ เค้าก็ทักทายปกติธรรมตามประสาคนรู้จัก แต่ก่อนจะไปพี่เค้าก็บอกลาด้วยความเป็นห่วงอีกว่า
"พี่ไปละ....ขับรถกลับกันดีๆ"
พอผมได้ฟังก็ไม่ได้ตอบอะไรไปครับ แต่สายตาผมกลับหันไปมองที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าร้าน ผ่านกระจกร้าน 7-11 ทำไมผมถึงต้องมอง ก็เพราะคำพูดของพี่ที่ผมรู้จักเมื่อสักครู่ มันเหมือนกับผมไม่ได้มาคนเดียว เหมือนกับว่าผมต้องดูแลคนอีกหนึ่งหรือสองคนบนรถมอเตอร์ไซค์ของผมด้วย
ด้วยประโยคแค่นั้นทำให้ผมเสียวสันหลังวาบขึ้นมา รีบร้อนจ่ายตังและก็เก็บของลงกระเป๋า พอผมเดินไปถึงงรถก็ดึงรถออกมาจากซองจอดรถที่มีมอเตอร์ไซค์คันอื่นขนาบข้างอยู่ จังหวะที่ผมยกขาค่อมมอเตอร์ไซค์นั้น ความรู้สึกเจ็บที่ต้นคอผมก็แล่นขึ้นมาครับ มันเจ็บจนผมมึนหัวและตาลายจนต้องนั่งเฉยๆบนรถมอเตอร์ไซค์เป็นเวลานานพอสมควร เนื่องจากความเจ็บที่แล่นขึ้นมานั้นทำให้ผมกลัวที่จะต้องขับรถครับ
ตอนนั้นผมเลยตัดสินใจที่จะโทรหาคนทางบ้าน แล้วก็เล่าอาการให้ฟังพร้อมกับบอกสถานที่ที่ผมอยู่ตอนนี้ครับ ด้วยความเป็นห่วง คนทางบ้านก็บอกว่าให้ผมรออยู่ตรงหน้า 7-11 ไม่ต้องรีบไปไหน พอคนที่บ้านพูดจบ อาการเจ็บที่ต้นคอนั้นก็หายไปทันที ผมตอนนั้นรู้สึกโล่งและหายมึนขึ้นมาแบบเหมือนเมื่อกี้ผมไม่ได้เป็นอะไร เมื่อผมลองสังเกตอาการตัวเองว่าชัวร์แล้วผมก็ตัดสินใจบอกคนที่บ้านว่าผมกลับเองไหว ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว จะค่อยๆขับรถกลับครับ ผมพูดอยู่นานกว่าคนที่บ้านจะยอม แต่สุดท้ายก็จบลงที่ผมขับรถกลับบ้านเอง
ระหว่างทางที่ผมค่อยๆขับรถกลับบ้านนั้นมันมีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้น ทั้งเรื่องที่ผมเผลอบิดมอเตอร์ไซค์เร็วขึ้นเพียงเพราะอยากให้ถึงบ้านเร็วๆ ผมก็รู้สึกว่ามอเตอร์ไซค์มันบิดไม่ขึ้น เหมือนมีคนมาซ้อนท้ายอยุ่อีก 1-2 คน และยังมีรถเก๋งเปิดไฟสูงใส่ผมพร้อมกับบีบแตรเสียงดัง เหมือนผมกำลังจะขับปาดหน้าเขายังไงอย่างงั้น
เดี๋ยวมาต่อนะครับ.................
สิ่งที่เห็น...มันผิดที่ผิดเวลา
จากเรื่องเดิมที่เคยบอกกันไว้ว่าผมเป็นคนกรุงเทพและได้อาศัยอยู่ในจังหวัดๆนึงทางภาคเหนือ และก็ได้มีโอกาสเข้าไปทำงานโรงพิมพ์หนึ่งในตัวเมืองจังหวัด โดยการเดินทางต่อใช้มอเตอร์ไซค์เดินทางไปทำงานครับ ซึ่งจากที่พักไปยังที่ทำงานที่อยู่ในตัวเมือง มีระยะทางห่างกันประมาณ 12 กิโล เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมต้องหลับตาขับรถ แต่ไม่โหดร้ายทารุณเหมือนนักวิ่งตอนนั้น แต่เส้นทางที่เจอเป็นเส้นทางเดียวกัน เวลาเดียวกันแต่ด้วยความลืมตัวและรีบร้อนจึงทำให้ผมโง่เป็นครั้งที่สอง และด้วยที่เส้นทางนั้นมีไฟนีออนซ์ที่มาจากเสาโซราเซลของเทศบาลที่เอามาติดตั้ง จึงทำให้เส้นทางนั้นไม่มืดมิดเหมือนเรื่องครับ
มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าครับ จากประสบการณ์ทั้งหมดที่เคยเจอมา ครั้งนี้นับเป็นการเจอที่ธรรมดา พื้นฐาน เบสิก ชัดเจน และสับสนปนเปกันไปเยอะมากครับ โดยที่ไม่อาจรู้ได้ว่าสิ่งที่เจอนั้นเป็นอะไรกันแน่
วันนั้นเป็นอีกวันที่ผมไปทำงานตามปกติครับ ซึ่งตรงกับวันพฤหัสบดี แล้วผมก็มีงานที่ต้องอยู่ดึกทำโอทีอีกเช่นเคย เย็นวันนั้นผมพยายามเคลียร์งานให้เสร็จไวที่สุดครับ แต่เนื่องจากต้องมีการแก้ไขงานหลายรอบและเป็นงานด่วน จึงมีความจำเป็นอย่างสูงมากที่ต้องอยุ่โอที เวลาโอทีก็ผ่านไป หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง งานผมก็ยังไม่เสร็จ จนถึงเวลาประมาณ 21.00 น. ผู้จัดการคงจะเห็นใจหรือง่วงนอนแล้วก็ไม่แน่ใจครับเค้าเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาแล้วก็เอ่ยปากไล่ทันที
"ไปๆกลับบ้านได้แล้ว เสร็จเยอะแล้วพรุ่งนี้มาทำเช้าก็ยังทันส่งให้ดูแบบตอนบ่าย"
"อีกนิดเดียวครับ ขอเซฟงานตรงนี้ก่อน"
"โอเค เสร็จแล้วเรียกพี่ด้วยนะ จะได้ไปปิดประตูหลังบ้าน"
พอจบบทสนทนากับหัวหน้าแล้ว ผมก็ก้มหน้าก้มตาเซฟงานที่ทำอยู่ตรงหน้าให้เสร็จ เนื่องด้วยคอมมันเก่า และข้อมูลในคอมมีค่อนข้างเยอะมาก เลยทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ช้ามากถึงมากที่สุด (ใครใช้คอมเครื่องนี้ได้ถือว่าเป็นการฝึกสมาธิขั้นสูง) กว่าผมจะเซฟงานปิดคอมเวลาก็ปาไป 21.30 น. เพราะปิดไฟ อินเตอร์เน็ตอะไรเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินเข้าไปบอกหัวหน้าในห้องทำงานครับ
"พี่ผมกลับละนะ..."
"เออได้ๆ กลับบ้านดีๆนะ อย่าไปเกาะติดขอบสนามอีกหละ"
"โถ่พี่..."
รู้สึกใจสั่นนิดๆเมื่อโดนแซวทีเล่นทีจริงในเรื่องที่ชวนสยองแบบนั้น อย่างที่บอกว่าในการเจอครั้งนี้ มันเว้นระยะเวลานานพอสมควรจากเรื่องนักวิ่ง ผมจึงไม่ค่อยจะอินกับความรู้สึกนั้นสักเท่าไหร่แล้ว แต่ก็ยังมีความกังวลปนหลอนอยู่ในใจลึกๆเหมือนกัน
ผมเดินออกมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์คันแดงของผมที่จอดอยู่ด้านหลังที่ทำงานซึ่งเป็นลานจอดรถของทางโรงพิมพ์ ในใจตอนนั้นผมก็มีความคิดเกิดขึ้นครับ เป็นความคิดที่นึกถึงเสียงเตือนเมื่อครั้งก่อน ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องผมก็พยายามจะไม่พูดถึง จนเรื่องราวได้จมหายไปในเมมโมรี่ แต่วันนั้นกลับมีความคิดนึกถึง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะที่หัวหน้าทักเรื่องเกาะขอบสนามเมื่อสักครู่ แต่เซ้นส์ผมตอนนั้นมันตะหงิดๆในใจครับ
ผมขับรถออกมาจากที่ทำงานได้สักพัก ก็แวะ 7-11 ตรงเขตตำบลหนึ่งก่อนจะออกจากตัวเมืองครับ และผมก็เจอกับคนรู้จักซึ่งเป็นลูกค้าในโรงพิมพ์ เค้าก็ทักทายปกติธรรมตามประสาคนรู้จัก แต่ก่อนจะไปพี่เค้าก็บอกลาด้วยความเป็นห่วงอีกว่า
"พี่ไปละ....ขับรถกลับกันดีๆ"
พอผมได้ฟังก็ไม่ได้ตอบอะไรไปครับ แต่สายตาผมกลับหันไปมองที่รถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่หน้าร้าน ผ่านกระจกร้าน 7-11 ทำไมผมถึงต้องมอง ก็เพราะคำพูดของพี่ที่ผมรู้จักเมื่อสักครู่ มันเหมือนกับผมไม่ได้มาคนเดียว เหมือนกับว่าผมต้องดูแลคนอีกหนึ่งหรือสองคนบนรถมอเตอร์ไซค์ของผมด้วย
ด้วยประโยคแค่นั้นทำให้ผมเสียวสันหลังวาบขึ้นมา รีบร้อนจ่ายตังและก็เก็บของลงกระเป๋า พอผมเดินไปถึงงรถก็ดึงรถออกมาจากซองจอดรถที่มีมอเตอร์ไซค์คันอื่นขนาบข้างอยู่ จังหวะที่ผมยกขาค่อมมอเตอร์ไซค์นั้น ความรู้สึกเจ็บที่ต้นคอผมก็แล่นขึ้นมาครับ มันเจ็บจนผมมึนหัวและตาลายจนต้องนั่งเฉยๆบนรถมอเตอร์ไซค์เป็นเวลานานพอสมควร เนื่องจากความเจ็บที่แล่นขึ้นมานั้นทำให้ผมกลัวที่จะต้องขับรถครับ
ตอนนั้นผมเลยตัดสินใจที่จะโทรหาคนทางบ้าน แล้วก็เล่าอาการให้ฟังพร้อมกับบอกสถานที่ที่ผมอยู่ตอนนี้ครับ ด้วยความเป็นห่วง คนทางบ้านก็บอกว่าให้ผมรออยู่ตรงหน้า 7-11 ไม่ต้องรีบไปไหน พอคนที่บ้านพูดจบ อาการเจ็บที่ต้นคอนั้นก็หายไปทันที ผมตอนนั้นรู้สึกโล่งและหายมึนขึ้นมาแบบเหมือนเมื่อกี้ผมไม่ได้เป็นอะไร เมื่อผมลองสังเกตอาการตัวเองว่าชัวร์แล้วผมก็ตัดสินใจบอกคนที่บ้านว่าผมกลับเองไหว ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว จะค่อยๆขับรถกลับครับ ผมพูดอยู่นานกว่าคนที่บ้านจะยอม แต่สุดท้ายก็จบลงที่ผมขับรถกลับบ้านเอง
ระหว่างทางที่ผมค่อยๆขับรถกลับบ้านนั้นมันมีความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้น ทั้งเรื่องที่ผมเผลอบิดมอเตอร์ไซค์เร็วขึ้นเพียงเพราะอยากให้ถึงบ้านเร็วๆ ผมก็รู้สึกว่ามอเตอร์ไซค์มันบิดไม่ขึ้น เหมือนมีคนมาซ้อนท้ายอยุ่อีก 1-2 คน และยังมีรถเก๋งเปิดไฟสูงใส่ผมพร้อมกับบีบแตรเสียงดัง เหมือนผมกำลังจะขับปาดหน้าเขายังไงอย่างงั้น
เดี๋ยวมาต่อนะครับ.................