สวัสดีครับ เมื่อราวๆ 1-2 สัปดาห์ก่อนผมได้อ่านกระทู้ที่เกี่ยวกับการโดนศุลกากรเรียกตรวจกระเป๋าเดินทางคนที่เดินออกช่องเขียว แล้วผมพึ่งทราบจากกระทู้นั้นเองว่า ตามหลักแล้วหากจะนำทรัพย์สินมีค่าออกนอกประเทศแล้วจะนำกลับเข้ามาใหม่ตอนขากลับ จะต้องทำการดีแคลร์สินค้าต่างๆที่จะนำออกไปอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรเสียก่อน ไม่เช่นนั้นหากขากลับเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจเจอของในกระเป๋าเดินทางมีมูลค่ามากกว่า 20000 บาท จะต้องเสียค่าปรับตามมูลค่าที่ทางเจ้าหน้าที่ประเมิน
ผมสงสัยว่า
1. หากกรณีที่เราต้องการนำทรัพย์สินมีมูลค่าออกนอกประเทศแต่ไม่ได้ดีแคลร์ของ เช่น เสื้อผ้าที่ต้องใส่ รองเท้า นาฬิกา กระเป๋าแบรนด์เนม คอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊ค โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ซึ่งรวมแล้วมีมูลค่าเกิน 20000 บาทแน่นอน แต่ของทุกชิ้นล้วนแต่เป็นของที่ซื้อที่ห้างไทย เสียภาษีมูลค่าเพิ่มถูกต้อง พอขากลับเข้าประเทศเดินออกช่องเขียวแล้วโดนเจ้าหน้าที่ศุลกากรเรียกตรวจกระเป๋า เจ้าหน้าที่จะทราบได้อย่างไรครับว่าของชิ้นไหนผมซื้อที่ไทย ของชิ้นไหนผมซื้อจากเมืองนอก หรือว่าเจ้าหน้าที่ไม่สนใจ ถ้ามูลค่าในกระเป๋าเกิน 20000 ก็คือต้องโดนเสียภาษีหมดทุกชิ้นตามแต่เจ้าหน้าที่จะประเมินราคาที่ต้องจ่าย
2. หากผมโดนเจ้าหน้าที่ขอตรวจกระเป๋าที่ช่องเขียวแล้วทรัพย์สินในกระเป๋ามีมูลค่ารวมเกิน 20000 บาท โดยก่อนออกจากประเทศไม่ได้ทำเรื่องดีแคลร์ของแต่อย่างใด แต่ผมพกป้ายราคาและป้ายแท็ก สคบ.จากห้างไทยไปแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูเพื่อยืนยันว่าสินค้าชิ้นนี้ซื้อในไทยและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ของหิ้วหนีภาษีเข้ามาจากเมืองนอกเพื่อเอามาขาย เจ้าหน้าที่จะเชื่อและปล่อยให้ของเหล่านั้นผ่านมั้ยครับ (ผมสะสมป้ายแท็ก ป้ายราคาเสื้อผ้าและของใช้ต่างๆ รวมทั้งใบเสร็จที่ชำระเงินด้วยครับ)
3. ถ้าหากข้อ 2. ผ่านได้ หากผมมีเสื่อผ้าหรือของใช้ต่างๆที่ซื้อมาจากต่างประเทศ (ซื้อมาในทริปก่อนๆ เคยใส่หลายครั้งแล้ว) แล้วผมพกป้ายแท็กกับป้ายราคาเสื้อตัวนั้นไปแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูเมื่อโดนตรวจขากลับ ของชิ้นนั้นจะถูกเสียภาษีใหม่อีกรอบไหมครับ เพราะป้ายราคาเป็นของต่างประเทศ ถ้าผมนำเสื้อตัวนั้นไปใส่ต่างประเทศบ่อยๆ แล้วสมมุติว่าทุกครั้งเจอแจ็กพ็อตโดนเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจทุกครั้ง ผมก็ต้องเสียภาษีทุกครั้งเลยใช่ไหมครับ
4. หากผมซื้อสินค้าจากดิวตี้ฟรีในไทย แล้วพอถึงต่างประเทศแกะของออกมาใช้ตามปกติ (ยกตัวอย่างเช่น น้ำหอม) แบบถ้าโดนสุ่มตรวจตอนกลับของชิ้นนั้นก็จะต้องเสียภาษีใหม่อีกรอบใช่มั้ยครับ ถ้าโชว์ป้ายกับใบเสร็จที่แสดงให้เห็นว่าซื้อจากดิวตี้ฟรีไทยจริงๆจะผ่านมั้ยครับ
5. หากต้องการดีแคลร์ของก่อนนำออกจากประเทศ ต้องทำอย่างไรบ้างครับ ติดต่อที่ไหน (ทั้งสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ) ต้องทำเรื่องก่อนออกเดินทางนานเท่าไหร่ แล้วโดยปกติคนส่วนมากที่ทำการดีแคลร์ของกันนั้นนิยมทำเกี่ยวกับอะไรบ้างครับ ของใช้ส่วนตัวพวกเสื้อผ้าราคารวมเกิน 20000 มีใครทำบ้างไหม เพราะผมสารภาพตามตรงว่าที่ผ่านมาผมไม่ทราบมาก่อน และไม่เคยดีแคลร์ของเลยแม้แต่ครั้งเดียว
คำถามอาจจะดูคิดเยอะและเวิ่นเว้อไปบ้าง แต่แค่สงสัยเฉยๆนะครับ เป็นความรู้ไว้ เผื่อไว้ว่าหากเหตุการณ์แบบ จขกท กระทู้ดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวเองบ้างจะได้ปฏิบัติถูก ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านและตอบคำถามผมนะครับ ^^
สอบถามเกี่ยวกับการดีแคลร์ทรัพย์สินมีค่าก่อนออกจากประเทศไทยครับ
ผมสงสัยว่า
1. หากกรณีที่เราต้องการนำทรัพย์สินมีมูลค่าออกนอกประเทศแต่ไม่ได้ดีแคลร์ของ เช่น เสื้อผ้าที่ต้องใส่ รองเท้า นาฬิกา กระเป๋าแบรนด์เนม คอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊ค โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ซึ่งรวมแล้วมีมูลค่าเกิน 20000 บาทแน่นอน แต่ของทุกชิ้นล้วนแต่เป็นของที่ซื้อที่ห้างไทย เสียภาษีมูลค่าเพิ่มถูกต้อง พอขากลับเข้าประเทศเดินออกช่องเขียวแล้วโดนเจ้าหน้าที่ศุลกากรเรียกตรวจกระเป๋า เจ้าหน้าที่จะทราบได้อย่างไรครับว่าของชิ้นไหนผมซื้อที่ไทย ของชิ้นไหนผมซื้อจากเมืองนอก หรือว่าเจ้าหน้าที่ไม่สนใจ ถ้ามูลค่าในกระเป๋าเกิน 20000 ก็คือต้องโดนเสียภาษีหมดทุกชิ้นตามแต่เจ้าหน้าที่จะประเมินราคาที่ต้องจ่าย
2. หากผมโดนเจ้าหน้าที่ขอตรวจกระเป๋าที่ช่องเขียวแล้วทรัพย์สินในกระเป๋ามีมูลค่ารวมเกิน 20000 บาท โดยก่อนออกจากประเทศไม่ได้ทำเรื่องดีแคลร์ของแต่อย่างใด แต่ผมพกป้ายราคาและป้ายแท็ก สคบ.จากห้างไทยไปแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูเพื่อยืนยันว่าสินค้าชิ้นนี้ซื้อในไทยและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ของหิ้วหนีภาษีเข้ามาจากเมืองนอกเพื่อเอามาขาย เจ้าหน้าที่จะเชื่อและปล่อยให้ของเหล่านั้นผ่านมั้ยครับ (ผมสะสมป้ายแท็ก ป้ายราคาเสื้อผ้าและของใช้ต่างๆ รวมทั้งใบเสร็จที่ชำระเงินด้วยครับ)
3. ถ้าหากข้อ 2. ผ่านได้ หากผมมีเสื่อผ้าหรือของใช้ต่างๆที่ซื้อมาจากต่างประเทศ (ซื้อมาในทริปก่อนๆ เคยใส่หลายครั้งแล้ว) แล้วผมพกป้ายแท็กกับป้ายราคาเสื้อตัวนั้นไปแสดงให้เจ้าหน้าที่ดูเมื่อโดนตรวจขากลับ ของชิ้นนั้นจะถูกเสียภาษีใหม่อีกรอบไหมครับ เพราะป้ายราคาเป็นของต่างประเทศ ถ้าผมนำเสื้อตัวนั้นไปใส่ต่างประเทศบ่อยๆ แล้วสมมุติว่าทุกครั้งเจอแจ็กพ็อตโดนเจ้าหน้าที่สุ่มตรวจทุกครั้ง ผมก็ต้องเสียภาษีทุกครั้งเลยใช่ไหมครับ
4. หากผมซื้อสินค้าจากดิวตี้ฟรีในไทย แล้วพอถึงต่างประเทศแกะของออกมาใช้ตามปกติ (ยกตัวอย่างเช่น น้ำหอม) แบบถ้าโดนสุ่มตรวจตอนกลับของชิ้นนั้นก็จะต้องเสียภาษีใหม่อีกรอบใช่มั้ยครับ ถ้าโชว์ป้ายกับใบเสร็จที่แสดงให้เห็นว่าซื้อจากดิวตี้ฟรีไทยจริงๆจะผ่านมั้ยครับ
5. หากต้องการดีแคลร์ของก่อนนำออกจากประเทศ ต้องทำอย่างไรบ้างครับ ติดต่อที่ไหน (ทั้งสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ) ต้องทำเรื่องก่อนออกเดินทางนานเท่าไหร่ แล้วโดยปกติคนส่วนมากที่ทำการดีแคลร์ของกันนั้นนิยมทำเกี่ยวกับอะไรบ้างครับ ของใช้ส่วนตัวพวกเสื้อผ้าราคารวมเกิน 20000 มีใครทำบ้างไหม เพราะผมสารภาพตามตรงว่าที่ผ่านมาผมไม่ทราบมาก่อน และไม่เคยดีแคลร์ของเลยแม้แต่ครั้งเดียว
คำถามอาจจะดูคิดเยอะและเวิ่นเว้อไปบ้าง แต่แค่สงสัยเฉยๆนะครับ เป็นความรู้ไว้ เผื่อไว้ว่าหากเหตุการณ์แบบ จขกท กระทู้ดังกล่าวเกิดขึ้นกับตัวเองบ้างจะได้ปฏิบัติถูก ขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาอ่านและตอบคำถามผมนะครับ ^^