กระทู้ชวนดู | MOONLIGHT (2016) : ได้ยินบ้างไหมพระจันทร์
“แม้ราตรีจะมืดดำ แต่อย่าลืมว่า เรายังมีแสงจันทร์ให้มองเห็น”
*** จขกท. ขอแทนสรรพนามตัวเองว่า 'ฟี่' นะครับ เพราะได้คัดลอกรีวิวที่เขียนลงเพจเอาไว้
นี่คือภาพยนตร์ที่ฟี่ยกให้เป็น BEST of the year 2016 .. กับความดิบของการเป็นคนชายขอบที่แฝงด้วยความละมุน อบอุ่น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันชวนหดหู่ ... เป็นงานที่ยังคงตราไว้ในดวงจิตหลังจากรับชมจบ หนังที่จะพาเราไปดำดิ่งสู่ห้วงลึกของอารมณ์ .. จนยากจะสลัดมันออกจากหัวได้ในเวลาสั้น ๆ ครับ
*****
เรื่องย่อ :
หนังเล่าเรื่องราวในสามช่วงวัย ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ของไชรอน ชายผิวดำคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่กับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ติดยาอย่างหนัก ในแหล่งเสื่อมโทรมของไมอามี่
ที่ ๆ ทำให้เขาได้เรียนรู้ชีวิตต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพดี ๆ กับพ่อค้ายาเสพติดขาใหญ่ของชุมชน การดิ้นรนไปวัน ๆ เพื่อเอาตัวรอดจากการถูกกลั่นแกล้งของเพื่อนร่วมชั้นที่ล้อเลียนบุคลิกนุ่มนิ่มของเขาว่าไม่ต่างอะไรจาก ‘อีตุ๊ด’
แน่นอนว่า ไชรอนในวัยเด็ก แทบไม่รู้ความหมายของมันดี แต่ก็สร้างความสับสนในใจเกี่ยวกับการตามหาเพศของตัวเองเอาไว้จนกระทั่งเขาเติบโต
Review ….
My Score = A (9/10)
ค่อนข้างเป็นงานที่เซอร์ไพรซ์ฟี่มาก ๆ เพราะจากหน้าหนัง เข้าใจว่า เป็นงานตีแผ่ความฟอนเฟะของสังคมคนดำในย่านเสื่อมโทรมของอเมริกาทั่ว ๆ ไป ที่ก็คงมีปัญหายาเสพติด หรืออาชญากรรมอะไรก็ว่าไป ... แต่ปล่าวเลย .... Moonlight มันไปไกลกว่าที่ฟี่คิดเอาไว้มากกกกกกกกครับ
มันยังมีความดิบ ความเถื่อน ในสไตล์หนังที่เล่าถึงย่านคนดำแบบที่เคยเห็นมาก็จริง แต่พูดถึงในอีกแง่มุม ที่สะท้อนภาพความเป็นคนชายขอบของพวกเขาออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ผ่านตัวละครของไชรอน ... เด็กชายที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่ติดยา เติบโตในย่านเสื่อมโทรม คลุกคลีกับพ่อค้ายาเสพติด และ .. สับสนทางเพศ
แต่ในความโหดร้ายต่าง ๆ ที่ตัวละครต้องเจอนั้น ก็แฝงไปด้วยแง่งามของความอบอุ่น และละเมียดละไมทางความรู้สึก ตัวละครที่เหมือนกับห่อหุ้มด้วยสีดำ ท่ามกลางบริบทแวดล้อมที่ดำมืด แต่ทุกคน กลับมีอีกด้านที่ไม่ได้เป็นสีดำอย่างที่ตาเห็น
ตัวละครต่างขึ้นจอด้วยมิติสีเทา ๆ มีทั้งด้านดี และร้ายอยู่ในตัว พวกเขาไม่ได้มืดสนิท ... ไม่ต่างจากท้องฟ้าในยามค่ำ ที่แม้จะถูกทาทับด้วยสีดำ แต่ยามใดที่มีแสงจันทร์ส่องมา พวกเขาก็เปล่งประกายเป็นสีฟ้าหม่น ๆ
หรือจะพูดอีกแง่ก็คือ ... ต่อให้ต้องเจอ หรือมีชีวิตอยู่ท่ามกลางปัญหา อุปสรรค หรือความเลวร้ายจนมืดมองไม่เห็นหนทาง ... แต่อย่าลืมว่า ตอนกลางคืน ... อย่างน้อยก็ยังพอมีแสงจากดวงจันทร์จาง ๆ ที่พอจะให้เรามองเห็นครับ
ทุกอย่าง ... จึงไม่ได้มืดมิดอย่างแท้จริง แม้แต่ในเวลากลางคืนก็ตาม
ในส่วนของงานแสดง นักแสดงทั้งสามคน สามช่วงวัยต่างทำหน้าที่เป็นไชรอนในวัยของตัวได้อย่างยอดเยี่ยม และแม้ระหว่างถ่ายทำพวกเขาจะไม่เคยเจอกันเลย แต่พวกเขาต่างก็มอบบุคลิก และสร้างไชรอนออกมาราวกับเป็นคน ๆ เดียวกัน
และสำหรับสองนักแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ Mahershala Ali ในบทฮวน พ่อค้ายาเสพติดขาใหญ่ที่ให้ความเอ็นดูไชรอนในวัยเด็ก ขึ้นจอในเวลาแค่สั้น ๆ แต่ตัวละครของเขาก็มีอิทธิพลต่อหนังมากพอที่เราแทบจะไม่ลืมหน้าเขาไปจากจอ โดยเฉพาะในซีนที่เขาถูกตั้งคำถามเรื่องการค้ายาจากเด็กชายตัวน้อย
อีกรายคือ Naomi Harris ที่ใช้เวลาแค่สามวันในการถ่ายทำ รับบทเป็นแม่ขี้ยา ที่แม้จะดูเลวร้ายจากฤทธิ์ของยา แต่เธอก็รักลูกของเธอมาจากก้นบึ้งของหัวใจจริง ๆ
บทสรุป :
Moonlight … อาจจะดูเป็นงานที่ถ้าใครสัมผัสกับบางอย่างจากหนังได้ ก็อาจจะรักมันไปเลยมาก ๆ และฟี่เองก็เป็นหนึ่งคนที่รักหนังเรื่องนี้มากฮะ
มันเป็นงาน ที่มีความ “#สัมผัสใจ” สูงมาก มากจนเราพร้อมที่จะดำดิ่งไปกับเรื่องราว ๆ ต่าง ๆ ที่ตัวละครจะต้องเจอ โดยเฉพาะกับกลุ่มคนชายขอบ และคนที่อาจจะเคยมีความบอบช้ำจากประสบการณ์การถูกล้อเลียนตัวตน จนนำไปสู่ความสับสนในใจเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของตัวเอง
บังเอิญว่า เรื่องราวชีวิตของจขกท. ดันมีอะไรคล้าย ๆ กับไชรอนในจุดนั้น คะแนนบวกที่มีให้กับตัวหนังจึงอาจจะมากเป็นพิเศษ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้หนังจะพาเราไปย้อนรอยคิดถึงอดีตในครั้งที่ยังอยู่ในวังวนของการค้นหาตัวตน
หนังก็ยังค่อย ๆ ปลอบประโลมเราอย่างช้า ๆ ถึงการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น และซีนสำคัญของไชรอน ที่ทำให้เค้าค้นพบความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริงนั้น ก็เป็นซีนที่โคตรมหัศจรรย์
มันทั้งอึดอัด แต่ก็เป็นช่วงเวลาของการพรั่งพรูความเหงา ความต้องการ และแรงปรารถนาของตัวเองออกมาจนหมดสิ้น มันเหมือนกับคนที่อัดอั้นฝืนที่จะมีความสุขในแนวทางของตัวเองมาโดยตลอด
แต่สุดท้าย ... ความจริง ก็คือความจริง และเราไม่สามารถหนี หรือปฏิเสธมันไปได้
ฉากนั้น ... ถูกขับด้วยเพลง
“Hello Stranger” ที่ดังขึ้น ... และในที่สุด ฉันก็ได้พบกับคนแปลกหน้าคนนั้น คนแปลกหน้าที่ฉันรู้จักดี แต่ครั้งนี้ ฉันรู้แล้วว่าเธอคือใคร
เป็นหนึ่งในซีนที่งดงามมากที่สุดในโลกภาพยนตร์เลยทีเดียวฮะ T_T ... งดงามจนยากจะสลัดทุก ๆ วินาทีของหนังให้ออกไปจากหัวได้ ...
ถึงมันจะต้องพบเจอกับสิ่งรอบกายที่มืดดำ ... แต่แสงจันทร์จะสาดส่องลงมา มันอาจจะช่วยให้เรามองเห็นทาง ... แต่ขณะเดียวกัน แสงที่กระทบผิวเรา ... ก็เหมือนกับชี้นำให้ ‘ใครสักคน’ ที่เรารอคอย ... มองเห็นเรา
และเขาจะค่อย ๆ เดินเข้ามา เพื่อต่อเติมสิ่งดี ๆ ให้กับชีวิต … ไปด้วยกันครับ
-------------
สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชอบในหนังดราม่าคุณภาพ อารมณ์หว่องเบา ๆ ... ไม่ควรพลาดฮะ
หนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งล่าสุดทั้งสิ้น 8 รางวัล ได้แก่ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, สมทบชาย, สมทบหญิง, บทภาพยนตร์ดัดแปลง, ตัดต่อ, กำกับภาพ และดนตรีประกอบ)
ปล. ถ้าชื่นชอบบทความแวะไปทักทายฟี่ได้ที่เพจนะครับ ขอบคุณครับ ^^
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/CinemaParadiso.by.Golffy/
[Review] Moonlight ... ท่ามกลางราตรีมืดดำ ก็ยังมีแสงจันทร์สาดส่อง | หนังดีๆแทนใจคนชายขอบ
“แม้ราตรีจะมืดดำ แต่อย่าลืมว่า เรายังมีแสงจันทร์ให้มองเห็น”
*** จขกท. ขอแทนสรรพนามตัวเองว่า 'ฟี่' นะครับ เพราะได้คัดลอกรีวิวที่เขียนลงเพจเอาไว้
นี่คือภาพยนตร์ที่ฟี่ยกให้เป็น BEST of the year 2016 .. กับความดิบของการเป็นคนชายขอบที่แฝงด้วยความละมุน อบอุ่น ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันชวนหดหู่ ... เป็นงานที่ยังคงตราไว้ในดวงจิตหลังจากรับชมจบ หนังที่จะพาเราไปดำดิ่งสู่ห้วงลึกของอารมณ์ .. จนยากจะสลัดมันออกจากหัวได้ในเวลาสั้น ๆ ครับ
*****
เรื่องย่อ :
หนังเล่าเรื่องราวในสามช่วงวัย ตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่ ของไชรอน ชายผิวดำคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอยู่กับแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ติดยาอย่างหนัก ในแหล่งเสื่อมโทรมของไมอามี่
ที่ ๆ ทำให้เขาได้เรียนรู้ชีวิตต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นมิตรภาพดี ๆ กับพ่อค้ายาเสพติดขาใหญ่ของชุมชน การดิ้นรนไปวัน ๆ เพื่อเอาตัวรอดจากการถูกกลั่นแกล้งของเพื่อนร่วมชั้นที่ล้อเลียนบุคลิกนุ่มนิ่มของเขาว่าไม่ต่างอะไรจาก ‘อีตุ๊ด’
แน่นอนว่า ไชรอนในวัยเด็ก แทบไม่รู้ความหมายของมันดี แต่ก็สร้างความสับสนในใจเกี่ยวกับการตามหาเพศของตัวเองเอาไว้จนกระทั่งเขาเติบโต
Review …. My Score = A (9/10)
ค่อนข้างเป็นงานที่เซอร์ไพรซ์ฟี่มาก ๆ เพราะจากหน้าหนัง เข้าใจว่า เป็นงานตีแผ่ความฟอนเฟะของสังคมคนดำในย่านเสื่อมโทรมของอเมริกาทั่ว ๆ ไป ที่ก็คงมีปัญหายาเสพติด หรืออาชญากรรมอะไรก็ว่าไป ... แต่ปล่าวเลย .... Moonlight มันไปไกลกว่าที่ฟี่คิดเอาไว้มากกกกกกกกครับ
มันยังมีความดิบ ความเถื่อน ในสไตล์หนังที่เล่าถึงย่านคนดำแบบที่เคยเห็นมาก็จริง แต่พูดถึงในอีกแง่มุม ที่สะท้อนภาพความเป็นคนชายขอบของพวกเขาออกมาได้อย่างลึกซึ้ง ผ่านตัวละครของไชรอน ... เด็กชายที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยแม่ติดยา เติบโตในย่านเสื่อมโทรม คลุกคลีกับพ่อค้ายาเสพติด และ .. สับสนทางเพศ
แต่ในความโหดร้ายต่าง ๆ ที่ตัวละครต้องเจอนั้น ก็แฝงไปด้วยแง่งามของความอบอุ่น และละเมียดละไมทางความรู้สึก ตัวละครที่เหมือนกับห่อหุ้มด้วยสีดำ ท่ามกลางบริบทแวดล้อมที่ดำมืด แต่ทุกคน กลับมีอีกด้านที่ไม่ได้เป็นสีดำอย่างที่ตาเห็น
ตัวละครต่างขึ้นจอด้วยมิติสีเทา ๆ มีทั้งด้านดี และร้ายอยู่ในตัว พวกเขาไม่ได้มืดสนิท ... ไม่ต่างจากท้องฟ้าในยามค่ำ ที่แม้จะถูกทาทับด้วยสีดำ แต่ยามใดที่มีแสงจันทร์ส่องมา พวกเขาก็เปล่งประกายเป็นสีฟ้าหม่น ๆ
หรือจะพูดอีกแง่ก็คือ ... ต่อให้ต้องเจอ หรือมีชีวิตอยู่ท่ามกลางปัญหา อุปสรรค หรือความเลวร้ายจนมืดมองไม่เห็นหนทาง ... แต่อย่าลืมว่า ตอนกลางคืน ... อย่างน้อยก็ยังพอมีแสงจากดวงจันทร์จาง ๆ ที่พอจะให้เรามองเห็นครับ
ทุกอย่าง ... จึงไม่ได้มืดมิดอย่างแท้จริง แม้แต่ในเวลากลางคืนก็ตาม
ในส่วนของงานแสดง นักแสดงทั้งสามคน สามช่วงวัยต่างทำหน้าที่เป็นไชรอนในวัยของตัวได้อย่างยอดเยี่ยม และแม้ระหว่างถ่ายทำพวกเขาจะไม่เคยเจอกันเลย แต่พวกเขาต่างก็มอบบุคลิก และสร้างไชรอนออกมาราวกับเป็นคน ๆ เดียวกัน
และสำหรับสองนักแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ Mahershala Ali ในบทฮวน พ่อค้ายาเสพติดขาใหญ่ที่ให้ความเอ็นดูไชรอนในวัยเด็ก ขึ้นจอในเวลาแค่สั้น ๆ แต่ตัวละครของเขาก็มีอิทธิพลต่อหนังมากพอที่เราแทบจะไม่ลืมหน้าเขาไปจากจอ โดยเฉพาะในซีนที่เขาถูกตั้งคำถามเรื่องการค้ายาจากเด็กชายตัวน้อย
อีกรายคือ Naomi Harris ที่ใช้เวลาแค่สามวันในการถ่ายทำ รับบทเป็นแม่ขี้ยา ที่แม้จะดูเลวร้ายจากฤทธิ์ของยา แต่เธอก็รักลูกของเธอมาจากก้นบึ้งของหัวใจจริง ๆ
บทสรุป :
Moonlight … อาจจะดูเป็นงานที่ถ้าใครสัมผัสกับบางอย่างจากหนังได้ ก็อาจจะรักมันไปเลยมาก ๆ และฟี่เองก็เป็นหนึ่งคนที่รักหนังเรื่องนี้มากฮะ
มันเป็นงาน ที่มีความ “#สัมผัสใจ” สูงมาก มากจนเราพร้อมที่จะดำดิ่งไปกับเรื่องราว ๆ ต่าง ๆ ที่ตัวละครจะต้องเจอ โดยเฉพาะกับกลุ่มคนชายขอบ และคนที่อาจจะเคยมีความบอบช้ำจากประสบการณ์การถูกล้อเลียนตัวตน จนนำไปสู่ความสับสนในใจเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของตัวเอง
บังเอิญว่า เรื่องราวชีวิตของจขกท. ดันมีอะไรคล้าย ๆ กับไชรอนในจุดนั้น คะแนนบวกที่มีให้กับตัวหนังจึงอาจจะมากเป็นพิเศษ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้หนังจะพาเราไปย้อนรอยคิดถึงอดีตในครั้งที่ยังอยู่ในวังวนของการค้นหาตัวตน
หนังก็ยังค่อย ๆ ปลอบประโลมเราอย่างช้า ๆ ถึงการยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็น และซีนสำคัญของไชรอน ที่ทำให้เค้าค้นพบความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริงนั้น ก็เป็นซีนที่โคตรมหัศจรรย์
มันทั้งอึดอัด แต่ก็เป็นช่วงเวลาของการพรั่งพรูความเหงา ความต้องการ และแรงปรารถนาของตัวเองออกมาจนหมดสิ้น มันเหมือนกับคนที่อัดอั้นฝืนที่จะมีความสุขในแนวทางของตัวเองมาโดยตลอด
แต่สุดท้าย ... ความจริง ก็คือความจริง และเราไม่สามารถหนี หรือปฏิเสธมันไปได้
ฉากนั้น ... ถูกขับด้วยเพลง “Hello Stranger” ที่ดังขึ้น ... และในที่สุด ฉันก็ได้พบกับคนแปลกหน้าคนนั้น คนแปลกหน้าที่ฉันรู้จักดี แต่ครั้งนี้ ฉันรู้แล้วว่าเธอคือใคร
เป็นหนึ่งในซีนที่งดงามมากที่สุดในโลกภาพยนตร์เลยทีเดียวฮะ T_T ... งดงามจนยากจะสลัดทุก ๆ วินาทีของหนังให้ออกไปจากหัวได้ ...
ถึงมันจะต้องพบเจอกับสิ่งรอบกายที่มืดดำ ... แต่แสงจันทร์จะสาดส่องลงมา มันอาจจะช่วยให้เรามองเห็นทาง ... แต่ขณะเดียวกัน แสงที่กระทบผิวเรา ... ก็เหมือนกับชี้นำให้ ‘ใครสักคน’ ที่เรารอคอย ... มองเห็นเรา
และเขาจะค่อย ๆ เดินเข้ามา เพื่อต่อเติมสิ่งดี ๆ ให้กับชีวิต … ไปด้วยกันครับ
-------------
สำหรับเพื่อน ๆ ที่ชอบในหนังดราม่าคุณภาพ อารมณ์หว่องเบา ๆ ... ไม่ควรพลาดฮะ
หนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ครั้งล่าสุดทั้งสิ้น 8 รางวัล ได้แก่ รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, สมทบชาย, สมทบหญิง, บทภาพยนตร์ดัดแปลง, ตัดต่อ, กำกับภาพ และดนตรีประกอบ)
ปล. ถ้าชื่นชอบบทความแวะไปทักทายฟี่ได้ที่เพจนะครับ ขอบคุณครับ ^^
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้