BlogGang Hang Girls EP10 :: ครบเครื่องเรื่องหนังสือ กับ อาคุงกล่อง ::


BlogGang Hang Girls EP10 ขอต้อนรับเดือนแห่งความรัก โดยเชิญหนอนหนังสือหนุ่มใน BlogGang.com มาร่วมพูดคุยและทำความรู้จักกันให้มากขึ้น บล็อกเกอร์อีกหนึ่งท่านที่มีใจรักในการอ่านหนังสือและการสร้างสรรค์งานเขียน ถ้าทุกคนได้แวะเข้าไปเยี่ยมชมบล็อกของเขาอยู่บ่อยๆ จะสังเกตได้ว่าเรื่องราวส่วนใหญ่นั้นจะมีการเขียนเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหนังสือ เรื่องสั้นต่างๆ ซึ่งการได้พูดคุยกับบุคคลท่านนี้เราสามารถรับรู้ได้ทันทีเลยว่าความรักหนังสือของเขามีไม่น้อยเลยทีเดียว และเขายังสัญญากับสามสาวพิธีกรด้วยว่าจะพาเที่ยวชมสถานที่ที่เปรียบเสมือนบ้านหลังที่สองของเขา ที่หลายคนอาจไม่เคยเข้ามาได้ชมหรือไม่ได้นึกถึงเลย ถ้าพร้อมแล้ว...ไปลุยกันเลยค่ะ

เพี้ยนแว๊น


คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

อาคุงกล่อง
ชื่อสมาชิก : อาคุงกล่อง
ชื่อเว็บไซต์ : http://akung-klong.bloggang.com


พิธีกร : สวัสดีค่ะ พบกับพวกเรารายการ BlogGang Hang Girl ค่ะ
พิธีกร (คุณกุ๊งกิ๊ง) : วันนี้ก็เหมือนเดิม เห็นกันอยู่แล้วหน้าตาคุ้นเคย
พิธีกร (คุณแหม่ม) : หน้าตาคุ้นมาก วันนี้เราจะมาพบกับคุณอาคุงกล่องค่า
อาคุงกล่อง : สวัสดีครับ ชื่อกล่องครับ ชื่อล็อกอินที่ใช้ในบล็อกแก๊งคือ อาคุงกล่อง และก็เล่นพันทิปด้วยครับ แล้วก็ตระเวณพันทิปไปหลายๆ ห้อง จริงๆ เป็นชีวิตออนไลน์มา 10 กว่าปีแล้ว แต่พอมาเจอบล็อกแก๊งเจอพันทิปเนี่ย เราก็ปักหลักยาวเลย จริงๆ เข้ามาพันทิปครั้งแรกคือแชทรูมนะครับ ห้องจ๊ะจ๋าโหย...มันส์มาก
พิธีกร (คุณแหม่ม) : แต่ก็ยังไม่ได้เป็นสมาชิกใช่ไหมคะ
อาคุงกล่อง : ช่วงแรกตอนนั้นพันทิปไม่ได้ระบุให้เป็นสมาชิก คือเราอยากเป็นใครก็ได้ วันนั้นอยากเป็นนักบิน วันนี้เราอยากเป็นสาวน้อย คือช่วงนั้นอินเตอร์เน็ตมันเป็นแบบนี้จริงๆ ยังเป็นช่วงที่ไม่ได้กำหนดตัวตนกัน
พิธีกร (คุณแหม่ม) : ก็เลยเริ่มสมัครเลยใช่ไหมคะ
อาคุงกล่อง : จริงๆ ถ้าถามผม ผมมาจากไดอารี่ออนไลน์นะ ผมเขียนเว็บหนึ่งมาก่อน ทีนี้มันมีปัญหาอย่างหนึ่งคือเว็บมันล่ม สมัยก่อนเทคโนโลยีมันไม่เหมือนทุกวันนี้ พอเว็บมันล่ม ข้อมูลที่เราเขียนไว้ทุกวันมันหาย เราเสียดายมาก คนก็เลยแนะนำว่ามาที่พันทิปสิ มีบล็อกแก๊งนะ ช่วงนั้นช่วงที่ผมมา บล็อกเปิดมาแล้วประมาณ 2 ปี หรือ 3 ปี ผมจำได้ว่าเข้ามามีการประกาศสายสะพายกันตั้งแต่รุ่นนั้นเลย พอมาใช้บล็อกแก๊งช่วงแรกก็อัพทุกบล็อกทุกวัน มีเพื่อนทุกวัน คุยกันทุกวัน
พิธีกร (คุณแหม่ม) : คือเขียนเกี่ยวกับไดอารี่ของตนเองเหรอคะ
อาคุงกล่อง : คือเอาของเก่าโอนมา

พิธีกร (คุณแหม่ม) : แล้วเขียนเรื่องราวนี่เขียนยังไงบ้างคะ
อาคุงกล่อง : จริงๆ ช่วงแรกผมเน้นเรื่องตลกนะ เรื่องตลกเนี่ยมันเป็นเรื่องเขียนยาก เพราะความตลกของแต่ละคนมันแตกต่างกัน คุณเส้นตื้นไหม ผมเป็นคนเส้นลึก เรื่องนี้คุณอาจจะตลกแต่ผมไม่ตลก แต่ผมอาจจะตลกเรื่องที่คุณเฉยๆ อะไรอย่างนั้น เวลาเราเขียนเราต้องหาตรงกลางให้เจอ เพื่อให้อย่างน้อยมันตลกนิดหนึ่ง ถ้าเขียนเรื่องตลกแล้วตลกสัก 10% ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ช่วงที่เขียนช่วงนั้นคือทำงานเครียดมาก ทำงานด้านการเงิน ก็เลยเขียนเรื่องตลก เรื่องตลกเขียนยากจริงๆนะครับ
พิธีกร (คุณกุ๊งกิ๊ง) : เหมือนเป็นการเยียวยาตัวเอง
อาคุงกล่อง : ใช่ๆ คนอื่นที่เข้ามาอ่านเขาก็รู้สึกแฮบปี้ว่า เฮ้ย...ช่วยให้เขาคลายเครียดได้ด้วย เราก็รู้สึกดีขึ้นในส่วนตัวนั้น


พิธีกร (คุณแหม่ม) : แต่ตอนนั้นได้รางวัลมาด้วยนะคะ ได้ BlogGang Poppular Award เกี่ยวกับเรื่องขำขัน
อาคุงกล่อง : แต่พอได้สายสะพายมาก็อึดอัดเหมือนกันนะ พอจะไปเขียนแนวอื่นเราก็เกรงใจสายสะพายเรา เดี๋ยวนี้ช่วงหลังดีหน่อยมาทำเรื่องหนังสืออย่างเดียว ผมว่าผมอ่านในบล็อกแก๊งมา 9 ปี ผมโตขึ้นนะ จากแรกๆ ที่เข้ามาผมใส่เต็มที่ อะไรก็ใส่ๆ จนมาถึงวันนี้เราคัดแล้วนะว่าสิ่งที่เราใส่ไปให้คนเข้ามาอ่านบล็อกเรา เค้าน่าจะได้ประโยชน์อะไรจากบล็อกเราบ้าง อย่างน้อยก็สักน้อย คือมีประเด็นอย่างนี้คือผมเขียนเรื่องตลกเกี่ยวกับโอลิมปิก เด็กไทยสามคนเป็นตำนานของโอลิมปิก เขียนมุกตลกแฮบปี้มาก จนผ่านไป 4 ปี มาเป็นลอนดอนเกมส์ 2012 ผมได้รับอีเมล เป็นผู้ปกครอบเขียนมาต่อว่า เขาด่าแหละว่าลูกเขามาหาข้อมูลในบล็อกคุณ แล้วก็เขียนส่งอาจารย์ โอ้โห...เป็นเรื่องใหญ่มาก คือเฮ้ย...หลังจากนั้นเราจะทำแบบนี้ไม่ได้แล้ว เวลาเราเขียนเรื่องตลก เราจะใส่คำเตือนตั้งแต่หัวบล็อกเลยนะ เราก็ไม่อยากให้สิ่งที่เราหวังดีไปทำร้ายใคร

พิธีกร (คุณรจ) : เท่าที่ดูคืออาคุงกล่องเขียนหลายแนวอยู่เหมือนกัน เอาจริงๆ ถ้าเป็นแนวที่ถนัดมากที่สุดชอบเขียนแนวไหนคะ
อาคุงกล่อง : ผมเขียนเรื่องตลกได้ เป็นความสามารถพิเศษของผมนะ
พิธีกร (คุณแหม่ม) : คือเอาสาระมาทำให้มันดูตลกได้
อาคุงกล่อง : ใช่ครับ ผมเขียนเรื่องตลกลงเรื่องสั้นในสกุลไทย 2 เรื่องได้ ทีนี้ผมต้องการเขียนเรื่องที่ไม่ตลกให้ได้ดีด้วย ผมก็ต้องไปหาข้อมูลด้วย
พิธีกร (คุณแหม่ม) : ตอนที่เริ่มเขียนใหม่ๆอ่ะค่ะ เรามีแรงบันดาลใจหรือว่าทำยังไง เล่าประสบการณ์ว่าก่อนที่จะมาเป็นนักเขียนเนี่ยเราต้องทำยังไง อะไรคือแรงบันดาลใจ
อาคุงกล่อง : จริงๆ เราเป็นคนอ่านหนังสือและชอบอ่านหนังสือ ทีนี้พอมียุคหนึ่งที่มันมีอินเตอร์เน็ต เราสามารถเขียนลงไปได้ ให้คนอ่านได้ เราแฮบปี้มาก แรงบันดาลใจคืออยากให้คนเข้ามาอ่าน เข้ามาฟีดแบ็คกับเราบ้าง
พิธีกร (คุณกุ๊งกิ๊ง) : อยากจะเขียนไปแล้วได้ฟีดแบ็คกลับมาด้วย
อาคุงกล่อง : เราต้องพัฒนางานเขียนของเรา อย่างถ้าเราเขียนแบบทุกวันนี้เราก็อยู่ได้แค่บล็อก ซึ่งเราสามารถเขียนพัฒนาเป็นอาชีพหรือเป็นอย่างอื่นได้ไหมในอนาคต
พิธีกร (คุณกุ๊งกิ๊ง) : แต่อาคุงกล่องจริงจังมากนะในการเขียน แสดงว่าใส่ใจมาก ทีนี้อย่างเราจะเขียนสักเรื่องหนึ่งอ่ะค่ะ มีวิธีการหรือใช้เวลาในการค้นคว้าข้อมูลขนาดไหน
อาคุงกล่อง : อย่างถ้าเป็นเรื่องแต่ง เรื่องตลก มันจะอยู่ในหัวก่อน เราคิกมุดได้เราคิดเรื่องได้ เราจะคิดตอนต้นเรื่องได้ ทีนี้ตอนจบบางทีคิดนาน พอคิดได้แล้วลงมือเขียน ผมเขียน 7-8 หน้าใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นเก็บไว้คืนหนึ่ง รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาเพื่อมาดู เรียกว่ามาบรรณาธิการตัวเอง มาตรวจตัวสะกด ดูว่าเขียนเหมาะสมไหม ซึ่งกว่าจะทำ 1 บล็อกไม่ใช่ 5 นาที 10 นาที นะครับ

พิธีกร (คุณแหม่ม) : ที่นี่มีความสำคัญยังไงกับอาคุงกล่องบ้างคะ
อาคุงกล่อง : เรื่องของเรื่องคือผมศึกษางานเขียน ผมก็หาตำรับตำราเกี่ยวกับการเขียน ทีนี้ผมหาหนังสือเล่มหนึ่งคือศิลปะในการประพันธ์ อาจารย์เปรื่อง มันเป็นหนังสือเก่า มันไม่มีแล้ว ผมเสิร์ชดูในอินเตอร์เน็ตต้องไปที่หอสมุดแห่งชาติ หรือไม่ก็ที่นี่มี เข้ามาดูที่นี่แล้วเราถูกใจ เราเป็นคนที่รักการอ่าน
พิธีกร (คุณแหม่ม) : ที่นี่ที่ไหนนะคะ
อาคุงกล่อง : TK Park อุทยานการเรียนรู้ เราเข้ามาถ่ายทำ เราเข้ามาพูดคุยกันได้ คนเข้ามาติวหนังสือกันในนี้ได้ มีห้องเงียบสำหรับคนที่ต้องการอ่านใช้สมาธิ มีห้องสมุดดนตรีสำหรับคนที่รักดนตรี เสาร์อาทิตย์ก็มีงานนิทรรศการ มีคอนเสิร์ตเล่น วัตถุประสงค์หลักของเค้าคือต้องการดึงคนเข้ามาให้อ่านหนังสือ


พิธีกร (คุณกุ๊งกิ๊ง) : ตอนนี้เราก็อยู่กันที่อุทยานการเรียนรู้ ที่เราเรียกกันว่า TK Park
พิธีกร (คุณรจ) : ว่าแต่ทำไมอาคุงกล่องถึงพาเรามาที่นี่คะ ทำไมถึงชอบมาที่นี่
อาคุงกล่อง : อยากจะบอกว่าที่นี่คืออุทยานการเรียนรู้ นอกจากหนังสือแล้วยังมีอีกหลายอย่าง ที่นี่ยังมีกิจกรรมที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือ TK Reading Club คือจะคุยกันเรื่องหนังสือ สมมุติหนังสือเล่มที่อ่านคือเรื่องสี่แผ่นดิน ก็จะมีวิทยากรซึ่งก็คือคุณหมอพงศกรเป็นวิทยากรนำพูดให้ แล้วคนที่ล้อมวงคุยกันก็คุยว่าคุณอ่านสี่แผ่นดินแล้วคุณได้เกร็ดอะไรบ้าง คุณรู้สึกยังไบ้าง แล้วก็จะเปลี่ยนหนังสือไปเรื่อยๆทุกเดือน คือเราได้อ่านหนังสือแล้วมาคุยกับคนอื่น มันเติมเต็มความรู้จากการอ่านได้ด้วย

พิธีกร (คุณกุ๊งกิ๊ง) : ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนอาคุงกล่องแนะนำหน่อยว่ามีหนังสือโปรดหรือหนังสือที่แนะนำจะให้ชาวบล็อกแก๊งได้รู้จัก
อาคุงกล่อง : อย่างผมมาใช้บริการที่ห้องสมุด สิ่งแรกเลยคือผมจะหยิบนิตยสารอ่านก่อน ผมก็หยิบสกุลไทย หยิบแพรว หยิบขวัญเรือนพวกนี้อ่านก่อน เพราะว่าที่นี่มีนิตยสารใหม่เกือบทุกเล่ม เราไม่สามารถจ่ายเงินซื้อทุกเล่มได้
อาคุงกล่อง : มีหนังสือ 2 เล่มที่คนไม่ค่อยพูดถึงกันเท่าไหร่ เป็นหนังสือของศิลปินแห่งชาติด้วย อาจินต์ ปัญจพรรค์ เรื่องเจ้าพ่อ และเจ้าเมือง ถ้าผู้หญิงชอบนวนิยายพาฝัน ประมาณว่านางเอกไปเจอพระเอกหล่อ ผู้หญิงจะชอบแบบนั้น
พิธีกร (คุณรจ) : ชอบมโน ฝันหวาน
อาคุงกล่อง : อันนี้คือพาฝันของผู้ชาย อันนี้คือชีวิตท้องทุ่งท้องน้ำ ฉากดำเนินเรื่องเป็นแม่น้ำสุพรรณบุรี ก็คือแม่น้ำท่าจีนช่วงนั้น แม่น้ำนครชัยศรีช่วงนั้นช่วงนั้น ฉากเปิดเรื่องขึ้นมาบอกว่าเป็นเรือเมล์วิ่งไปตามแม่น้ำ มีเรือพายพายไปหาปุ๊บ ยิงปืนขึ้นฟ้าบังคับให้เรือหยุด ไม่ได้ปล้นครับ เจ้าพ่อขึ้นเรือ นั่นก็คือวิธีขึ้นเรือของเจ้าพ่อ ใช้ชีวิตเป็นพี่ มีลูกน้อง เป็นนักเลงที่มีคุณธรรม เนื้อเรื่องเค้าเรียกว่าเป็นพีเรียด เป็นนิยายย้อนยุค ย้อนยุคไปในสมับรัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 เป็นแนวผู้ชายเลย
พิธีกร (คุณรจ) : เล่มขนาดนี้อาคุงกล่องใช้เวลาอ่านนานเท่าไหร่คะ
อาคุงกล่อง : เล่มหนึ่งใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมงได้ จริงๆ 2 เล่มนี้เขาต่อเนื่องกัน เจ้าพ่อแล้วก็เจ้าเมือง คือเรื่องเค้าจะมีตัวละคร 2 ตัว ตัวหนึ่งมันเด่นในภาคแรกเป็นเจ้าพ่อ อีกตัวจะเด่นในภาคหลังเป็นเจ้าเมือง แล้วทีนี้เราจะเห็นชีวิตของเจ้าพ่อ แล้วเราก็อยากจะใช้ชีวิตแบบเจ้าเมืองบ้าง เป็นความฝันของลูกผู้ชาย เป็นนิยายที่เปรียบเทียบระหว่างระบบเจ้าขุนมูลนาย กับ ระบบนักเลง เป็นหนังสือที่อ่านแล้วประทับใจ แล้วก็แนะนำ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่