(ค่อนข้างยาวนะครับ ถ้าอ่านแล้วมาค่อนแคะว่าเขียนอะไรเกินโควตาแปดบรรทัดเหมือนกระทู้ที่ผ่านมา รบกวนปิด และกลับไปดำเนินกิจกรรมเดิมที่ทำอยู่จะมีความสุขกว่า ด้วยความเคารพ)
วันสองวันนี้ หลายต่อหลายท่านคงพอทราบกันบ้างว่าเป็นช่วงการสอบโอเน็ตของน้องๆ นักเรียนทั่วผืนแผ่นดินไทย ซึ่งถึงแม้ว่าน้ำตาล และเบนซ์ เรซซิ่งจะจับจองพื้นที่หน้านิวฟีดของเฟซบุ๊กของผมโดยเฉลี่ยทุกสาม – สี่ทีของการปาดนิ้วบนหน้าจอก็ตามแต่ ประเด็นอันไม่สู้ดีของการสอบโอเน็ต ก็ยังอุตส่าห์เล็ดลอดออกมาให้ผมได้ตะขิดตะขวงใจไม่น้อยอยู่อันหนึ่งจนได้
จุดตั้งต้นของเรื่องมันเริ่มจากผมประสบพบเจอกับพิกโพสต์อันหนึ่งฮะ (ไม่รู้มันเรียกว่างี้ไหม) ที่ผู้ทำหมายจะให้มันเป็นไวรัลหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ ในภาพนั้นถูกแบ่งเป็นหกช่อง ประกอบไปด้วยรูปธงชาติหกประเทศ แต่ละประเทศจะมีวลีสั้นๆ ที่บ่งบอกถึง “เป้าหมายการเรียนของแต่ละประเทศ” ที่เป็นหัวเรื่องหลัก โดยใคร่จะแจกแจงทีละประเทศดังต่อไปนี้ครับ (ที่ไม่โพสต์ภาพเพราะบัญชีพันทิปของผมเป็นบัญชีเบบี๋ ไม่มีความสามารถเพียงพอครับ เล่าเอาละกัน)
อเมริกา – ทำงานเป็น
ญี่ปุ่น – มีระเบียบวินัย
สิงคโปร์ – ซื่อตรง
นิวซีแลนด์ – มีความรับผิดชอบ
จีน – อดทน อดออม
และผ่างงงงงง!!! ไท๊ยแลนนนนนนนด์ - “คะแนน O-NET, GAT/PAT”
มองบนหนักมาก
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นการดูถูกตัวเองผ่านภาพ ผ่านโพสต์อะไรแบบนี้
เอาล่ะ ว่ากันไปเป็นเรื่องๆ
เริ่มจากวิเคราะห์ความต่างของวลีที่ปรากฏทั้งหกนั่นก่อน โดยขอจำแนกเป็นกลุ่มๆ ดังนี้ครับ
กลุ่มแรกคือ “ทำงานเป็น”
กลุ่มที่ ๒ คือ “มีระเบียบวินัย” “ซื่อตรง” “มีความรับผิดชอบ” “อดทน,อดออม”
และกลุ่มที่ ๓ “คะแนน O-NET, GAT/PAT”
พอเห็นภาพไหมครับ ว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไร
ถ้ายังผมใคร่ขอเปรียบเทียบโดยยกเหตุการณ์การไปนมัสการพระพุทธบาท ณ เขาคิชฌกูฏ จ. จันทบุรี ด้วยความเคารพครับ (จะยึดวิธีการต่างๆ นานาจากปีที่แล้ว เพราะได้ข่าวว่าปีนี้มีการจัดการที่ต่างออกไป)
คร่าวๆ คือ เวลาจะไปนมัสการรอยพระพุทธบาทปีที่ผ่านมาเนี่ย เมื่อไปถึงวัดพลวง สิ่งที่คุณต้องทำคือจัดแจงซื้อดอกไม้ธูปเทียน เครื่องนมัสการต่างๆ และข้าวสารอาหารแห้งสำหรับดำรงชีพตลอดการเดินทาง (ปีที่แล้วข้างบนมีของขายเป็นระยะๆ ปีนี้ไม่มีแล้วเสียใจด้วย) จากนั้นก็ปรี่เข้าไปยังจุดซื้อตั๋วรถสำหรับขึ้นไปต่อรถช่วงที่สองอีกต่อหนึ่ง สำหรับการนั่งรถทั้งสองช่วงนี้ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตสำหรับบางคน มีกรี๊ดกร๊าดโห่ร้องด้วยความตกใจกลัว ตาถลนปานจะหลุดจากเบ้า หรือแม้จะมีหลายๆ คนที่กลับสนุกสนานกับการนั่งรถอย่างหาที่สุดไม่ได้ก็ตามแต่ ท้ายที่สุด ผลที่ได้คือคุณจะถึงฝั่งฝันอันเป็นจุดที่เริ่มเดินเท้าอย่างปลอดภัย (บางคนถอดใจไม่ไปต่อตั้งแต่จุดต่อรถก็มี)
จากนั้นคุณก็จะพบกับของจริง คือการเดินเท้าบนเส้นทางที่ทรหดประมาณหนึ่ง เดินไปเรื่อยๆ ความอิดโรยจะปรากฏในทุกขณะที่กำลังโปรยกลีบดาวเรืองและใช้ก้านธูปค้ำยันหินขนาดมหึมา เหนื่อยกระหาย ในหัวคิดอยากจะหยุด! ฉันอยากจะหยุดเหลือเกิน! ฉันไม่อยากจะเป็นคนที่ต้องนั่งเสลี่ยงกลับมาเหมือนก๋งคนนั้น ฉันต้องสู้! ฉันต้องสู้ให้ถึงที่สุด! (ไปไกลละ) นั่นแหละครับ กว่าจะถึงจุดนมัสการก็เล่นเอาเหนื่อย แต่เมื่อขึ้นไปถึงก็รู้สึกผ่อนคลาย และเป็นสุขอย่างยิ่ง ความสำเร็จอันเป็นวัตถุประสงค์หลักของการมาครั้งนี้ได้บังเกิดขึ้นแล้ว
แต่สำหรับผู้เดินทางอีกจำนวนหนึ่ง ยังรู้สึกว่าความสำเร็จในการมาถึงที่นมัสการรอยพระพุทธบาทคงยังไม่เพียงพอ ฉันต้องไปให้ถึงจุดชมวิวสิ! อีกสามร้อยเมตรเอง ขณะที่อีกไม่น้อยกลับรู้สึกว่าจุดชมวิวก็ยังไม่พอหรอก ต้องไปให้ถึงผ้าแดงสิถึงจะบรรลุ เอ้า! ว่าแล้วก็เดินต่อจนถึงผ้าแดง เหนื่อย แต่ฟิน
ขากลับขอไม่พูดถึงนะครับ เพราะอยู่นอกเหนือการเปรียบเทียบในครั้งนี้
ทั้งหมดนั่นผมขอยกมาเปรียบกับการเรียนเขียนอ่านของทุกคนบนโลกนี้ครับ กล่าวคือ ทุกคนจะต้องเรียนจากระดับต่ำสุด แล้วเพิ่มระดับไปเรื่อยๆ เจออุปสรรคไปเรื่อยๆ และยากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเป้าหมายสำคัญที่เกือบทุกคนมีร่วมกันนั่นคือ “เพื่อทำงาน” ถูกมะ ถึงแม้ว่าสำหรับหลายๆ คน การได้ทำงานก็ยังไม่เพียงพอ แต่จะต้องได้เลื่อนขั้นและประสบความสำเร็จในระดับที่สูงๆ ขึ้นไปอีกก็ตาม
แต่ใยการเปรียบเทียบในพิกโพสต์ต้นเรื่องถึงได้เป็นเช่นนั้นเล่า
ช่างนำจุดที่ไม่เท่ากันมาเปรียบเทียบ เหมือนนำเป้าหมายของอเมริกาไว้ที่จุดนมัสการรอยพระพุทธบาท เอาเป้าหมายของคนไทยไว้ที่จุดลงเพื่อเดินเท้า และเอาดอกดาวเรือง ธูป รองเท้าที่มั่นคงแข็งแรง เสบียงงาหาร เครื่องดื่ม ยาดม รวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่จะอำนวยความสะดวกให้การเดินทางไปถึงเป้าหมายอย่างราบรื่น มาตั้งเป็นเป้าหมายการเรียนของประเทศที่เหลือ
แหละหลายท่านก็เห็นดีเห็นงามกับสิ่งนั้น เอิ๊กอ๊ากตามไปด้วย
งงมาก พูดเลย
ทั้งๆ ที่จริงแล้ว เป้าหมายของคนส่วนใหญ่ในการไปเขาคิชฌกูฏคือจะไปนมัสการรอยพระพุทธบาทหรือเปล่า? เช่นเดียวกับการที่ส่วนใหญ่เรียนออกมาเพื่อจะ “ทำงาน” หรือเปล่า?
ค่อนข้างตลกอย่างแปลกๆ
หลายคนคงสงสัยว่าจะอะไรกับอิแค่โพสต์เอาฮา ไม่ถือสากันครับ ต่างคนต่างความคิด เคารพซึ่งกันและกัน อย่าด่าว่ากันเลย
ในมุมมองของผม นอกจากโพสต์ดังกล่าวจะเป็นปัญหาในเรื่องการเปรียบเทียบแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่ายังมีคนจำนวนอีกไม่น้อยที่เริ่มต้นก็ “ดูถูก” “หมิ่น” “เหยียด” ความสามารถของตัวเองเสียแล้ว ทำไมอ่ะ?
ลองคุยกับคนรอบข้าง บางคนเขาก็มีความเห็นไปอีกมุมคือมันสะท้อนการให้ความสำคัญกับการสอบโอเน็ต และ แกท แพท จนเกินพอดี เกินพอดีจนปลูกสร้างความคิดว่าการเรียนคือต้องเรียนเพื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นสำคัญ และลืมไปว่าตั้งแต่เริ่มอยู่ในระบบการศึกษามา เป้าหมายที่แท้จริงของทุกคนคือเอาความรู้ไปใช้ทำงานหรือเปล่า
อีกประการหนึ่ง เคยอ่านเคยได้ยินมานักต่อนัก ว่าระบบการศึกษาไทยทำให้คิดกันแบบนั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านั้น จนต้องทุ่มเทอย่างหนักหน่วงเพื่อให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ก็ถือว่าฟินแล้ว มันใช่หรือเปล่า มีใครสามารถบังคับความคิดเราได้หรือ หรือว่าเราโฟกัสผิดจุดกันเอาเองฮะลูก?
พอพูดถึงเรื่องการเตรียมตัวอันหนักหน่วงเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเหล่านั้นแล้ว น้องๆ เด็กๆ จำนวนไม่น้อยจะโอดโอยไปตามๆ กัน หนูจ๊ะ พอหนูเข้ามหา’ลัยแล้ว หนักกว่านั้นอีกหลายเท่าตัว และอีกสิ่งคือลองมองย้อนมาที่ตัวเองดูก่อน ว่าทุ่มให้การเรียนหนักมาโดยตลดจริงหรือเปล่า หรือม. 4 ชิว ม. 5 ชิวกว่า แล้วมาหนักเอาแค่ก่อนสอบแต่เพียงเท่านั้น
อย่าโทษใครเลย คนที่ตั้งใจตั้งแต่ต้น เขาก็จะได้มาเรื่อยๆ สั่งสมมาเรื่อยๆ ไม่ต้องมาหนักเอาโค้งสุดท้ายก็มี ที่กล้าพูดได้เพราะทำแบบนี้มาเหมือนกันครับ และประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้เห็นว่าขณะที่เรียนอยู่นั้นเพื่อนๆ รอบข้างจำนวนไม่น้อยทั้งที่สนิทและไม่สนิท “ความตั้งใจยังน้อยกว่าเราเยอะ” และหลังจากนั้นได้มีโอกาสได้เป็นครูอยู่ขณะหนึ่ง ก็ได้เห็นนักเรียนจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน ที่โฟกัสกับเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องหลัก และปล่อยให้หนังสือเป็นเรื่องรอง เผลอๆ ให้ความสำคัญเป็นที่โหล่เสียด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุดก็มาโอดโอยกับการสอบวัดผล เห็นดีเห็นงามกับการกล่าวเหยียดว่าเป้าหมายของเรานั้นด้อยกว่าใครๆ สั่งสมความคิด อคติ ที่ไม่ดีกับตัวเองไปเรื่อยๆ
โทษปี่โทษกลอง แต่ลืมโทษตัวเอง
เพราะความจริงคนที่ควบคุมความคิดและการกระทำของเรา คือ “ตัวเราเอง” ทั้งนั้น
เปลี่ยนความคิดกันเถอะครับ (ยิ้ม) (จบได้โลกสวยลาเวนเดอร์บานสะพรั่งมาก)
หมายเหตุ
๑. การแสดงความคิดเห็นทั้งหมดมวล ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมองโลกและประสบการณ์ของผมทั้งสิ้น ไม่แปลกที่จะมุมมองความคิดที่ต่างออกไป ต้องขอโทษด้วย และวอนอย่าด่าว่าอย่าค่อนแคะกันเลย แลกเปลี่ยนความคิดอย่างสุภาพดีกว่า
๒. ขอบคุณที่อ่าน และจะขอบคุณอย่างยิ่งหากว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อความคิดบางอย่างของผู้อ่านไม่มากก็น้อย
๓. บอกตามตรงว่าเขียนๆ ไปก็งงไป อ่านทวนหลายรอบ มีอีกหลายประเด็นที่ยังอยากจะจับใส่ไป แต่คิดว่าเท่านี้ก่อน กลัวจะเป็นอัตวิสัยไปมากกว่านี้ ไว้หากมีใครท่านไหนคอมเมนต์มา อาจจะตอบในคอมเมนต์นั้นๆ อีกทีครับ
รักโลก รักสิ่งแวดล้อม และรักทุกคนครับ
ผู้เขียน
เป้าหมายการเรียนของเด็กไทยคือ GAT PAT และ O-NET หรอกหรือครับ
วันสองวันนี้ หลายต่อหลายท่านคงพอทราบกันบ้างว่าเป็นช่วงการสอบโอเน็ตของน้องๆ นักเรียนทั่วผืนแผ่นดินไทย ซึ่งถึงแม้ว่าน้ำตาล และเบนซ์ เรซซิ่งจะจับจองพื้นที่หน้านิวฟีดของเฟซบุ๊กของผมโดยเฉลี่ยทุกสาม – สี่ทีของการปาดนิ้วบนหน้าจอก็ตามแต่ ประเด็นอันไม่สู้ดีของการสอบโอเน็ต ก็ยังอุตส่าห์เล็ดลอดออกมาให้ผมได้ตะขิดตะขวงใจไม่น้อยอยู่อันหนึ่งจนได้
จุดตั้งต้นของเรื่องมันเริ่มจากผมประสบพบเจอกับพิกโพสต์อันหนึ่งฮะ (ไม่รู้มันเรียกว่างี้ไหม) ที่ผู้ทำหมายจะให้มันเป็นไวรัลหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ ในภาพนั้นถูกแบ่งเป็นหกช่อง ประกอบไปด้วยรูปธงชาติหกประเทศ แต่ละประเทศจะมีวลีสั้นๆ ที่บ่งบอกถึง “เป้าหมายการเรียนของแต่ละประเทศ” ที่เป็นหัวเรื่องหลัก โดยใคร่จะแจกแจงทีละประเทศดังต่อไปนี้ครับ (ที่ไม่โพสต์ภาพเพราะบัญชีพันทิปของผมเป็นบัญชีเบบี๋ ไม่มีความสามารถเพียงพอครับ เล่าเอาละกัน)
อเมริกา – ทำงานเป็น
ญี่ปุ่น – มีระเบียบวินัย
สิงคโปร์ – ซื่อตรง
นิวซีแลนด์ – มีความรับผิดชอบ
จีน – อดทน อดออม
และผ่างงงงงง!!! ไท๊ยแลนนนนนนนด์ - “คะแนน O-NET, GAT/PAT”
มองบนหนักมาก
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นการดูถูกตัวเองผ่านภาพ ผ่านโพสต์อะไรแบบนี้
เอาล่ะ ว่ากันไปเป็นเรื่องๆ
เริ่มจากวิเคราะห์ความต่างของวลีที่ปรากฏทั้งหกนั่นก่อน โดยขอจำแนกเป็นกลุ่มๆ ดังนี้ครับ
กลุ่มแรกคือ “ทำงานเป็น”
กลุ่มที่ ๒ คือ “มีระเบียบวินัย” “ซื่อตรง” “มีความรับผิดชอบ” “อดทน,อดออม”
และกลุ่มที่ ๓ “คะแนน O-NET, GAT/PAT”
พอเห็นภาพไหมครับ ว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไร
ถ้ายังผมใคร่ขอเปรียบเทียบโดยยกเหตุการณ์การไปนมัสการพระพุทธบาท ณ เขาคิชฌกูฏ จ. จันทบุรี ด้วยความเคารพครับ (จะยึดวิธีการต่างๆ นานาจากปีที่แล้ว เพราะได้ข่าวว่าปีนี้มีการจัดการที่ต่างออกไป)
คร่าวๆ คือ เวลาจะไปนมัสการรอยพระพุทธบาทปีที่ผ่านมาเนี่ย เมื่อไปถึงวัดพลวง สิ่งที่คุณต้องทำคือจัดแจงซื้อดอกไม้ธูปเทียน เครื่องนมัสการต่างๆ และข้าวสารอาหารแห้งสำหรับดำรงชีพตลอดการเดินทาง (ปีที่แล้วข้างบนมีของขายเป็นระยะๆ ปีนี้ไม่มีแล้วเสียใจด้วย) จากนั้นก็ปรี่เข้าไปยังจุดซื้อตั๋วรถสำหรับขึ้นไปต่อรถช่วงที่สองอีกต่อหนึ่ง สำหรับการนั่งรถทั้งสองช่วงนี้ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตสำหรับบางคน มีกรี๊ดกร๊าดโห่ร้องด้วยความตกใจกลัว ตาถลนปานจะหลุดจากเบ้า หรือแม้จะมีหลายๆ คนที่กลับสนุกสนานกับการนั่งรถอย่างหาที่สุดไม่ได้ก็ตามแต่ ท้ายที่สุด ผลที่ได้คือคุณจะถึงฝั่งฝันอันเป็นจุดที่เริ่มเดินเท้าอย่างปลอดภัย (บางคนถอดใจไม่ไปต่อตั้งแต่จุดต่อรถก็มี)
จากนั้นคุณก็จะพบกับของจริง คือการเดินเท้าบนเส้นทางที่ทรหดประมาณหนึ่ง เดินไปเรื่อยๆ ความอิดโรยจะปรากฏในทุกขณะที่กำลังโปรยกลีบดาวเรืองและใช้ก้านธูปค้ำยันหินขนาดมหึมา เหนื่อยกระหาย ในหัวคิดอยากจะหยุด! ฉันอยากจะหยุดเหลือเกิน! ฉันไม่อยากจะเป็นคนที่ต้องนั่งเสลี่ยงกลับมาเหมือนก๋งคนนั้น ฉันต้องสู้! ฉันต้องสู้ให้ถึงที่สุด! (ไปไกลละ) นั่นแหละครับ กว่าจะถึงจุดนมัสการก็เล่นเอาเหนื่อย แต่เมื่อขึ้นไปถึงก็รู้สึกผ่อนคลาย และเป็นสุขอย่างยิ่ง ความสำเร็จอันเป็นวัตถุประสงค์หลักของการมาครั้งนี้ได้บังเกิดขึ้นแล้ว
แต่สำหรับผู้เดินทางอีกจำนวนหนึ่ง ยังรู้สึกว่าความสำเร็จในการมาถึงที่นมัสการรอยพระพุทธบาทคงยังไม่เพียงพอ ฉันต้องไปให้ถึงจุดชมวิวสิ! อีกสามร้อยเมตรเอง ขณะที่อีกไม่น้อยกลับรู้สึกว่าจุดชมวิวก็ยังไม่พอหรอก ต้องไปให้ถึงผ้าแดงสิถึงจะบรรลุ เอ้า! ว่าแล้วก็เดินต่อจนถึงผ้าแดง เหนื่อย แต่ฟิน
ขากลับขอไม่พูดถึงนะครับ เพราะอยู่นอกเหนือการเปรียบเทียบในครั้งนี้
ทั้งหมดนั่นผมขอยกมาเปรียบกับการเรียนเขียนอ่านของทุกคนบนโลกนี้ครับ กล่าวคือ ทุกคนจะต้องเรียนจากระดับต่ำสุด แล้วเพิ่มระดับไปเรื่อยๆ เจออุปสรรคไปเรื่อยๆ และยากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเป้าหมายสำคัญที่เกือบทุกคนมีร่วมกันนั่นคือ “เพื่อทำงาน” ถูกมะ ถึงแม้ว่าสำหรับหลายๆ คน การได้ทำงานก็ยังไม่เพียงพอ แต่จะต้องได้เลื่อนขั้นและประสบความสำเร็จในระดับที่สูงๆ ขึ้นไปอีกก็ตาม
แต่ใยการเปรียบเทียบในพิกโพสต์ต้นเรื่องถึงได้เป็นเช่นนั้นเล่า
ช่างนำจุดที่ไม่เท่ากันมาเปรียบเทียบ เหมือนนำเป้าหมายของอเมริกาไว้ที่จุดนมัสการรอยพระพุทธบาท เอาเป้าหมายของคนไทยไว้ที่จุดลงเพื่อเดินเท้า และเอาดอกดาวเรือง ธูป รองเท้าที่มั่นคงแข็งแรง เสบียงงาหาร เครื่องดื่ม ยาดม รวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่จะอำนวยความสะดวกให้การเดินทางไปถึงเป้าหมายอย่างราบรื่น มาตั้งเป็นเป้าหมายการเรียนของประเทศที่เหลือ
แหละหลายท่านก็เห็นดีเห็นงามกับสิ่งนั้น เอิ๊กอ๊ากตามไปด้วย
งงมาก พูดเลย
ทั้งๆ ที่จริงแล้ว เป้าหมายของคนส่วนใหญ่ในการไปเขาคิชฌกูฏคือจะไปนมัสการรอยพระพุทธบาทหรือเปล่า? เช่นเดียวกับการที่ส่วนใหญ่เรียนออกมาเพื่อจะ “ทำงาน” หรือเปล่า?
ค่อนข้างตลกอย่างแปลกๆ
หลายคนคงสงสัยว่าจะอะไรกับอิแค่โพสต์เอาฮา ไม่ถือสากันครับ ต่างคนต่างความคิด เคารพซึ่งกันและกัน อย่าด่าว่ากันเลย
ในมุมมองของผม นอกจากโพสต์ดังกล่าวจะเป็นปัญหาในเรื่องการเปรียบเทียบแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นว่ายังมีคนจำนวนอีกไม่น้อยที่เริ่มต้นก็ “ดูถูก” “หมิ่น” “เหยียด” ความสามารถของตัวเองเสียแล้ว ทำไมอ่ะ?
ลองคุยกับคนรอบข้าง บางคนเขาก็มีความเห็นไปอีกมุมคือมันสะท้อนการให้ความสำคัญกับการสอบโอเน็ต และ แกท แพท จนเกินพอดี เกินพอดีจนปลูกสร้างความคิดว่าการเรียนคือต้องเรียนเพื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นสำคัญ และลืมไปว่าตั้งแต่เริ่มอยู่ในระบบการศึกษามา เป้าหมายที่แท้จริงของทุกคนคือเอาความรู้ไปใช้ทำงานหรือเปล่า
อีกประการหนึ่ง เคยอ่านเคยได้ยินมานักต่อนัก ว่าระบบการศึกษาไทยทำให้คิดกันแบบนั้น ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านั้น จนต้องทุ่มเทอย่างหนักหน่วงเพื่อให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ก็ถือว่าฟินแล้ว มันใช่หรือเปล่า มีใครสามารถบังคับความคิดเราได้หรือ หรือว่าเราโฟกัสผิดจุดกันเอาเองฮะลูก?
พอพูดถึงเรื่องการเตรียมตัวอันหนักหน่วงเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเหล่านั้นแล้ว น้องๆ เด็กๆ จำนวนไม่น้อยจะโอดโอยไปตามๆ กัน หนูจ๊ะ พอหนูเข้ามหา’ลัยแล้ว หนักกว่านั้นอีกหลายเท่าตัว และอีกสิ่งคือลองมองย้อนมาที่ตัวเองดูก่อน ว่าทุ่มให้การเรียนหนักมาโดยตลดจริงหรือเปล่า หรือม. 4 ชิว ม. 5 ชิวกว่า แล้วมาหนักเอาแค่ก่อนสอบแต่เพียงเท่านั้น
อย่าโทษใครเลย คนที่ตั้งใจตั้งแต่ต้น เขาก็จะได้มาเรื่อยๆ สั่งสมมาเรื่อยๆ ไม่ต้องมาหนักเอาโค้งสุดท้ายก็มี ที่กล้าพูดได้เพราะทำแบบนี้มาเหมือนกันครับ และประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้เห็นว่าขณะที่เรียนอยู่นั้นเพื่อนๆ รอบข้างจำนวนไม่น้อยทั้งที่สนิทและไม่สนิท “ความตั้งใจยังน้อยกว่าเราเยอะ” และหลังจากนั้นได้มีโอกาสได้เป็นครูอยู่ขณะหนึ่ง ก็ได้เห็นนักเรียนจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน ที่โฟกัสกับเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องหลัก และปล่อยให้หนังสือเป็นเรื่องรอง เผลอๆ ให้ความสำคัญเป็นที่โหล่เสียด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุดก็มาโอดโอยกับการสอบวัดผล เห็นดีเห็นงามกับการกล่าวเหยียดว่าเป้าหมายของเรานั้นด้อยกว่าใครๆ สั่งสมความคิด อคติ ที่ไม่ดีกับตัวเองไปเรื่อยๆ
โทษปี่โทษกลอง แต่ลืมโทษตัวเอง
เพราะความจริงคนที่ควบคุมความคิดและการกระทำของเรา คือ “ตัวเราเอง” ทั้งนั้น
เปลี่ยนความคิดกันเถอะครับ (ยิ้ม) (จบได้โลกสวยลาเวนเดอร์บานสะพรั่งมาก)
หมายเหตุ
๑. การแสดงความคิดเห็นทั้งหมดมวล ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมองโลกและประสบการณ์ของผมทั้งสิ้น ไม่แปลกที่จะมุมมองความคิดที่ต่างออกไป ต้องขอโทษด้วย และวอนอย่าด่าว่าอย่าค่อนแคะกันเลย แลกเปลี่ยนความคิดอย่างสุภาพดีกว่า
๒. ขอบคุณที่อ่าน และจะขอบคุณอย่างยิ่งหากว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อความคิดบางอย่างของผู้อ่านไม่มากก็น้อย
๓. บอกตามตรงว่าเขียนๆ ไปก็งงไป อ่านทวนหลายรอบ มีอีกหลายประเด็นที่ยังอยากจะจับใส่ไป แต่คิดว่าเท่านี้ก่อน กลัวจะเป็นอัตวิสัยไปมากกว่านี้ ไว้หากมีใครท่านไหนคอมเมนต์มา อาจจะตอบในคอมเมนต์นั้นๆ อีกทีครับ
รักโลก รักสิ่งแวดล้อม และรักทุกคนครับ
ผู้เขียน