เป้าหมายการเรียนของเด็กไทยคือ GAT PAT และ O-NET หรอกหรือครับ

(ค่อนข้างยาวนะครับ  ถ้าอ่านแล้วมาค่อนแคะว่าเขียนอะไรเกินโควตาแปดบรรทัดเหมือนกระทู้ที่ผ่านมา  รบกวนปิด และกลับไปดำเนินกิจกรรมเดิมที่ทำอยู่จะมีความสุขกว่า  ด้วยความเคารพ)
วันสองวันนี้  หลายต่อหลายท่านคงพอทราบกันบ้างว่าเป็นช่วงการสอบโอเน็ตของน้องๆ นักเรียนทั่วผืนแผ่นดินไทย  ซึ่งถึงแม้ว่าน้ำตาล และเบนซ์ เรซซิ่งจะจับจองพื้นที่หน้านิวฟีดของเฟซบุ๊กของผมโดยเฉลี่ยทุกสาม – สี่ทีของการปาดนิ้วบนหน้าจอก็ตามแต่  ประเด็นอันไม่สู้ดีของการสอบโอเน็ต ก็ยังอุตส่าห์เล็ดลอดออกมาให้ผมได้ตะขิดตะขวงใจไม่น้อยอยู่อันหนึ่งจนได้

จุดตั้งต้นของเรื่องมันเริ่มจากผมประสบพบเจอกับพิกโพสต์อันหนึ่งฮะ (ไม่รู้มันเรียกว่างี้ไหม)  ที่ผู้ทำหมายจะให้มันเป็นไวรัลหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้   ในภาพนั้นถูกแบ่งเป็นหกช่อง  ประกอบไปด้วยรูปธงชาติหกประเทศ  แต่ละประเทศจะมีวลีสั้นๆ ที่บ่งบอกถึง “เป้าหมายการเรียนของแต่ละประเทศ”  ที่เป็นหัวเรื่องหลัก  โดยใคร่จะแจกแจงทีละประเทศดังต่อไปนี้ครับ  (ที่ไม่โพสต์ภาพเพราะบัญชีพันทิปของผมเป็นบัญชีเบบี๋ ไม่มีความสามารถเพียงพอครับ  เล่าเอาละกัน)
อเมริกา – ทำงานเป็น  
ญี่ปุ่น – มีระเบียบวินัย
สิงคโปร์ – ซื่อตรง
นิวซีแลนด์ – มีความรับผิดชอบ
จีน – อดทน อดออม
และผ่างงงงงง!!!  ไท๊ยแลนนนนนนนด์  - “คะแนน O-NET, GAT/PAT”

มองบนหนักมาก  
ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นการดูถูกตัวเองผ่านภาพ  ผ่านโพสต์อะไรแบบนี้

เอาล่ะ  ว่ากันไปเป็นเรื่องๆ

เริ่มจากวิเคราะห์ความต่างของวลีที่ปรากฏทั้งหกนั่นก่อน   โดยขอจำแนกเป็นกลุ่มๆ ดังนี้ครับ
กลุ่มแรกคือ     “ทำงานเป็น”  
กลุ่มที่ ๒ คือ     “มีระเบียบวินัย”  “ซื่อตรง”  “มีความรับผิดชอบ” “อดทน,อดออม”
และกลุ่มที่ ๓      “คะแนน O-NET, GAT/PAT”

พอเห็นภาพไหมครับ  ว่ามันมีความแตกต่างกันอย่างไร  
ถ้ายังผมใคร่ขอเปรียบเทียบโดยยกเหตุการณ์การไปนมัสการพระพุทธบาท ณ เขาคิชฌกูฏ จ. จันทบุรี  ด้วยความเคารพครับ (จะยึดวิธีการต่างๆ นานาจากปีที่แล้ว  เพราะได้ข่าวว่าปีนี้มีการจัดการที่ต่างออกไป)

คร่าวๆ คือ เวลาจะไปนมัสการรอยพระพุทธบาทปีที่ผ่านมาเนี่ย   เมื่อไปถึงวัดพลวง  สิ่งที่คุณต้องทำคือจัดแจงซื้อดอกไม้ธูปเทียน  เครื่องนมัสการต่างๆ  และข้าวสารอาหารแห้งสำหรับดำรงชีพตลอดการเดินทาง (ปีที่แล้วข้างบนมีของขายเป็นระยะๆ ปีนี้ไม่มีแล้วเสียใจด้วย)  จากนั้นก็ปรี่เข้าไปยังจุดซื้อตั๋วรถสำหรับขึ้นไปต่อรถช่วงที่สองอีกต่อหนึ่ง  สำหรับการนั่งรถทั้งสองช่วงนี้ถึงแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิตสำหรับบางคน  มีกรี๊ดกร๊าดโห่ร้องด้วยความตกใจกลัว  ตาถลนปานจะหลุดจากเบ้า  หรือแม้จะมีหลายๆ คนที่กลับสนุกสนานกับการนั่งรถอย่างหาที่สุดไม่ได้ก็ตามแต่   ท้ายที่สุด  ผลที่ได้คือคุณจะถึงฝั่งฝันอันเป็นจุดที่เริ่มเดินเท้าอย่างปลอดภัย  (บางคนถอดใจไม่ไปต่อตั้งแต่จุดต่อรถก็มี)

จากนั้นคุณก็จะพบกับของจริง  คือการเดินเท้าบนเส้นทางที่ทรหดประมาณหนึ่ง  เดินไปเรื่อยๆ  ความอิดโรยจะปรากฏในทุกขณะที่กำลังโปรยกลีบดาวเรืองและใช้ก้านธูปค้ำยันหินขนาดมหึมา  เหนื่อยกระหาย  ในหัวคิดอยากจะหยุด! ฉันอยากจะหยุดเหลือเกิน!  ฉันไม่อยากจะเป็นคนที่ต้องนั่งเสลี่ยงกลับมาเหมือนก๋งคนนั้น  ฉันต้องสู้! ฉันต้องสู้ให้ถึงที่สุด!   (ไปไกลละ)   นั่นแหละครับ  กว่าจะถึงจุดนมัสการก็เล่นเอาเหนื่อย  แต่เมื่อขึ้นไปถึงก็รู้สึกผ่อนคลาย  และเป็นสุขอย่างยิ่ง  ความสำเร็จอันเป็นวัตถุประสงค์หลักของการมาครั้งนี้ได้บังเกิดขึ้นแล้ว  

แต่สำหรับผู้เดินทางอีกจำนวนหนึ่ง  ยังรู้สึกว่าความสำเร็จในการมาถึงที่นมัสการรอยพระพุทธบาทคงยังไม่เพียงพอ  ฉันต้องไปให้ถึงจุดชมวิวสิ!  อีกสามร้อยเมตรเอง   ขณะที่อีกไม่น้อยกลับรู้สึกว่าจุดชมวิวก็ยังไม่พอหรอก  ต้องไปให้ถึงผ้าแดงสิถึงจะบรรลุ  เอ้า!  ว่าแล้วก็เดินต่อจนถึงผ้าแดง  เหนื่อย  แต่ฟิน

ขากลับขอไม่พูดถึงนะครับ  เพราะอยู่นอกเหนือการเปรียบเทียบในครั้งนี้

ทั้งหมดนั่นผมขอยกมาเปรียบกับการเรียนเขียนอ่านของทุกคนบนโลกนี้ครับ  กล่าวคือ  ทุกคนจะต้องเรียนจากระดับต่ำสุด  แล้วเพิ่มระดับไปเรื่อยๆ  เจออุปสรรคไปเรื่อยๆ และยากขึ้นเรื่อยๆ  จนกระทั่งถึงเป้าหมายสำคัญที่เกือบทุกคนมีร่วมกันนั่นคือ “เพื่อทำงาน”  ถูกมะ  ถึงแม้ว่าสำหรับหลายๆ คน  การได้ทำงานก็ยังไม่เพียงพอ แต่จะต้องได้เลื่อนขั้นและประสบความสำเร็จในระดับที่สูงๆ ขึ้นไปอีกก็ตาม

แต่ใยการเปรียบเทียบในพิกโพสต์ต้นเรื่องถึงได้เป็นเช่นนั้นเล่า

ช่างนำจุดที่ไม่เท่ากันมาเปรียบเทียบ  เหมือนนำเป้าหมายของอเมริกาไว้ที่จุดนมัสการรอยพระพุทธบาท  เอาเป้าหมายของคนไทยไว้ที่จุดลงเพื่อเดินเท้า   และเอาดอกดาวเรือง  ธูป  รองเท้าที่มั่นคงแข็งแรง  เสบียงงาหาร  เครื่องดื่ม  ยาดม  รวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่จะอำนวยความสะดวกให้การเดินทางไปถึงเป้าหมายอย่างราบรื่น  มาตั้งเป็นเป้าหมายการเรียนของประเทศที่เหลือ

แหละหลายท่านก็เห็นดีเห็นงามกับสิ่งนั้น  เอิ๊กอ๊ากตามไปด้วย

งงมาก  พูดเลย

ทั้งๆ  ที่จริงแล้ว เป้าหมายของคนส่วนใหญ่ในการไปเขาคิชฌกูฏคือจะไปนมัสการรอยพระพุทธบาทหรือเปล่า?   เช่นเดียวกับการที่ส่วนใหญ่เรียนออกมาเพื่อจะ “ทำงาน” หรือเปล่า?  

ค่อนข้างตลกอย่างแปลกๆ

หลายคนคงสงสัยว่าจะอะไรกับอิแค่โพสต์เอาฮา  ไม่ถือสากันครับ  ต่างคนต่างความคิด เคารพซึ่งกันและกัน อย่าด่าว่ากันเลย

ในมุมมองของผม  นอกจากโพสต์ดังกล่าวจะเป็นปัญหาในเรื่องการเปรียบเทียบแล้ว  ยังสะท้อนให้เห็นว่ายังมีคนจำนวนอีกไม่น้อยที่เริ่มต้นก็ “ดูถูก” “หมิ่น” “เหยียด” ความสามารถของตัวเองเสียแล้ว  ทำไมอ่ะ?

ลองคุยกับคนรอบข้าง  บางคนเขาก็มีความเห็นไปอีกมุมคือมันสะท้อนการให้ความสำคัญกับการสอบโอเน็ต และ แกท แพท จนเกินพอดี  เกินพอดีจนปลูกสร้างความคิดว่าการเรียนคือต้องเรียนเพื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นสำคัญ  และลืมไปว่าตั้งแต่เริ่มอยู่ในระบบการศึกษามา  เป้าหมายที่แท้จริงของทุกคนคือเอาความรู้ไปใช้ทำงานหรือเปล่า

อีกประการหนึ่ง  เคยอ่านเคยได้ยินมานักต่อนัก  ว่าระบบการศึกษาไทยทำให้คิดกันแบบนั้น  ให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านั้น  จนต้องทุ่มเทอย่างหนักหน่วงเพื่อให้ไปถึงจุดนั้นให้ได้ก็ถือว่าฟินแล้ว  มันใช่หรือเปล่า   มีใครสามารถบังคับความคิดเราได้หรือ  หรือว่าเราโฟกัสผิดจุดกันเอาเองฮะลูก?

พอพูดถึงเรื่องการเตรียมตัวอันหนักหน่วงเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเหล่านั้นแล้ว  น้องๆ เด็กๆ จำนวนไม่น้อยจะโอดโอยไปตามๆ กัน  หนูจ๊ะ  พอหนูเข้ามหา’ลัยแล้ว หนักกว่านั้นอีกหลายเท่าตัว    และอีกสิ่งคือลองมองย้อนมาที่ตัวเองดูก่อน  ว่าทุ่มให้การเรียนหนักมาโดยตลดจริงหรือเปล่า  หรือม. 4 ชิว  ม. 5 ชิวกว่า  แล้วมาหนักเอาแค่ก่อนสอบแต่เพียงเท่านั้น  

อย่าโทษใครเลย  คนที่ตั้งใจตั้งแต่ต้น  เขาก็จะได้มาเรื่อยๆ  สั่งสมมาเรื่อยๆ ไม่ต้องมาหนักเอาโค้งสุดท้ายก็มี   ที่กล้าพูดได้เพราะทำแบบนี้มาเหมือนกันครับ  และประสบการณ์ที่ผ่านมาก็ทำให้เห็นว่าขณะที่เรียนอยู่นั้นเพื่อนๆ รอบข้างจำนวนไม่น้อยทั้งที่สนิทและไม่สนิท  “ความตั้งใจยังน้อยกว่าเราเยอะ”  และหลังจากนั้นได้มีโอกาสได้เป็นครูอยู่ขณะหนึ่ง  ก็ได้เห็นนักเรียนจำนวนไม่น้อยเหมือนกัน  ที่โฟกัสกับเรื่องอื่นๆ เป็นเรื่องหลัก  และปล่อยให้หนังสือเป็นเรื่องรอง  เผลอๆ ให้ความสำคัญเป็นที่โหล่เสียด้วยซ้ำ

ท้ายที่สุดก็มาโอดโอยกับการสอบวัดผล  เห็นดีเห็นงามกับการกล่าวเหยียดว่าเป้าหมายของเรานั้นด้อยกว่าใครๆ  สั่งสมความคิด อคติ ที่ไม่ดีกับตัวเองไปเรื่อยๆ  

โทษปี่โทษกลอง  แต่ลืมโทษตัวเอง

เพราะความจริงคนที่ควบคุมความคิดและการกระทำของเรา  คือ “ตัวเราเอง” ทั้งนั้น

เปลี่ยนความคิดกันเถอะครับ   (ยิ้ม) (จบได้โลกสวยลาเวนเดอร์บานสะพรั่งมาก)

หมายเหตุ
๑.  การแสดงความคิดเห็นทั้งหมดมวล  ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการมองโลกและประสบการณ์ของผมทั้งสิ้น  ไม่แปลกที่จะมุมมองความคิดที่ต่างออกไป  ต้องขอโทษด้วย  และวอนอย่าด่าว่าอย่าค่อนแคะกันเลย  แลกเปลี่ยนความคิดอย่างสุภาพดีกว่า
๒.  ขอบคุณที่อ่าน   และจะขอบคุณอย่างยิ่งหากว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อความคิดบางอย่างของผู้อ่านไม่มากก็น้อย
๓.  บอกตามตรงว่าเขียนๆ ไปก็งงไป อ่านทวนหลายรอบ มีอีกหลายประเด็นที่ยังอยากจะจับใส่ไป  แต่คิดว่าเท่านี้ก่อน  กลัวจะเป็นอัตวิสัยไปมากกว่านี้  ไว้หากมีใครท่านไหนคอมเมนต์มา  อาจจะตอบในคอมเมนต์นั้นๆ อีกทีครับ

รักโลก  รักสิ่งแวดล้อม และรักทุกคนครับ
ผู้เขียน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่