+ หลังจากพี่ M. Night Shyamalan หรือที่ผมเรียกว่า พี่มาโนช (ตัวอักษร M จากในชื่อมาจากคำว่า Manoj) ทำ Six Sense จนโด่งดังเป็นพลุแตก ชีวิตหลังจากนั้นก็เหมือนจะดิ่งเหวลงเรื่อยๆ สำหรับผมหนังของพี่มาโนชหลายเรื่องไม่ได้เลวร้าย เพียงแต่หนังของแกเน้นบรรยากาศลึกลับเรียบๆเกินไป การดำเนินเรื่องที่ดูเอื่อยเฉื่อยเกินไป ซึ่งน่าจะไปค่อยถูกจริตฝรั่งบ้านเขา อีกทั้งยังถูกความสำเร็จของตัวเองหลอกหลอน หนังหักมุม Six Sense ของพี่แก ทำให้คนคาดหวังว่าพี่แกต้องทำหนังหักมุมให้ได้แบบนั้นอีก ซึ่งกลายเป็นว่าแทนที่คนจะเข้าไปสารที่ผู้กำกับต้องการบอกเล่า กลายเป็นคนจะไปดูว่าหนังพี่แกจะหักมุมได้มากแค่ไหนไปเสียอย่างนั้น (อย่านับหนัง The Last Air Bender เป็นของพี่มาโนชเลย หนังเรื่องนี้มันหายนะชัดๆ)
+ แต่ชีวิต มีลงก็ย่อมมีขึ้น หนังเรื่อง The Visit ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก แต่หลายคนยังไม่วางใจ เขาอาจฟลุ๊ค เขาอาจโชคดี แต่หนังเรื่อง Split อาจเป็นการบอกผู้ชมทั่วโลกว่า เขากลับมาแล้ว
+ Split เล่าเรื่องของชายคนหนึ่ง (แสดงโดย James McAvoy) ที่นักจิตวิทยา Dr. Karen (แสดงโดย Betty Buckley) อ้างว่า เขามีบุคลิกถึง 23 บุคลิก และ ต่อมาผู้ชมจะได้รู้ว่า ชายหลากบุคลิกคนนี้ได้ทำการลักพาตัวหญิงสาว 3 คน มาขังไว้ด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัด หญิงสาวทั้งสามจะต้องหาทางเจรจากับบุคลิกทั้งหลายในชายคนนี้ให้ช่วยเหลือพวกเธอ ก่อนที่บุคลิกที่ 24 อันสุดแสนน่ากลัวจะปรากฎออกมา
+ อย่างที่บอกไว้ข้างต้น หลายคนพอได้ยินว่าเป็นหนังของพี่มาโนช ก็คาดหวังว่าหนังจะมีจุดหักมุม แต่หนังเรื่อง Split เป็นหนังที่เล่าเรื่องตรงไปตรงมา ถ้าหนังเรื่องนี้จะมีจุดหักมุม มันก็เป็นการหักมุมที่ไมไ่ด้น่าแปลกใจเท่าใดนัก
+ ความสนุกของหนังอยู่ทีตัวละครที่พี่เจมส์แสดง หนังพาผู้ชมให้ติดตามพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไมไ่ด้ของตัวละคร ผู้ชมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าบุคลิกที่กำลังเห็นอยู่นั้น เป็นบุคลิกไหน และหนังจะพาตัวละครตัวนี้ไปไหนทิศทางใด มันทำให้ชวนลุ้นและชวนติดตามตั้งแต่ต้นไปยันจบเรื่อง
+ ความดีของหนังเรื่องนี้ นอกจากฝีมือการเขียนบทและการกำกับของพี่โนชแล้ว ต้องยกความดีของหนังเรื่องนี้ให้กับพี่เจมส์ แม๊คอะวอยอีกคนหนึ่ง ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมง ผู้ชมจะได้เห็นพี่เจมส์เกือบตลอดเวลา พี่เจมส์ทำให้ผมเชื่อได้ว่า ตัวละครตัวนี้มีปัญหาทางจิตขั้นรุนแรง ทั้งน่ากลัว ใจดี ตลก สะพรึง ในเวลาเดียวกัน พี่เจมส์ทำได้และทำได้ถึงเสียด้วย
+ เทคนิกการถ่ายทำอีกอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจคือ การถ่ายในมุมมองของหญิงสาวหรือด๊อกเตอร์ที่มองไปยังตัวละครของพี่เจมส์ ซึ่งหลายครั้งจะได้ภาพที่เห็นหนัาพี่เจมส์แบบชัดๆ การถ่ายภาพแบบนี้ทำให้ผู้ชมเกิดความกดดัน อีกทั้งยังได้เห็นความเทพของพี่เจมส์ในช่วงเปลี่ยนบุคลิก ซึ่งช่วยสร้างความคลางแคลงใจให้กับตัวละครนี้
+ ข้อเสียของหนังเรื่องนี้คือ บุคลิกที่มากมาย โดยแต่ละบุคลิกจะมีชื่อของตัวเอง โดยมีทั้งหมด 23 บุคลิก นั้นหมายถึงมี 23 ชื่อ ซึ่งสร้างความสับสนให้ผมอยู่พอสมควร อันที่จริง บุคลิกที่สำคัญในเรื่องมีเพียง 5 บุคลิก แต่กระนั้นผมก็ยังสับสนกับชื่ออยู่ดี
+ ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือ การดำเนินเรื่องแบบช้าๆ เนิบๆอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่มาโนช ถ้าผู้ชมคุ้นชินกับการเดินเรื่องแบบนี้ก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าไม่ ก็อาจเผลอหลับในบางช่วงบางตอนของหนัง
+ มีเซอร์ไพรส์ในตอนจบของหนัง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลัก ไม่แน่ใจว่าพี่แกใส่ฉากนี้ไป เพื่อล้อเลียนหนังแฟรนไชน์อันโด่งดัง หรือ มีแผนสำหรับโปรเจคต์ยักษ์ใหญ่ของพี่แกเอง
+ พี่มาโนช อยู่ในหนังของแกทุกเรื่อง เรื่องนี้ก็เช่นกัน
+ สรุป หากคุณรับได้กับสไตล์การดำเนินเรื่องแบบพี่มาโนช และถ้าคุณอยากเห็นความจิตและความเทพขั้นสุดของพี่เจมส์ แม็คอะวอย ที่สามารถแบกหนัง 2 ชั่วโมงได้ตลอดเรื่อง หนังเรื่องนี้ก็เหมาะสำหรับคุณ
[CR] [รีวิว ไม่สปอย] Split : การกลับมาของพี่มาโนช และ ความจิตขั้นสุดของพี่เจมส์ แม็คอะวอย
+ หลังจากพี่ M. Night Shyamalan หรือที่ผมเรียกว่า พี่มาโนช (ตัวอักษร M จากในชื่อมาจากคำว่า Manoj) ทำ Six Sense จนโด่งดังเป็นพลุแตก ชีวิตหลังจากนั้นก็เหมือนจะดิ่งเหวลงเรื่อยๆ สำหรับผมหนังของพี่มาโนชหลายเรื่องไม่ได้เลวร้าย เพียงแต่หนังของแกเน้นบรรยากาศลึกลับเรียบๆเกินไป การดำเนินเรื่องที่ดูเอื่อยเฉื่อยเกินไป ซึ่งน่าจะไปค่อยถูกจริตฝรั่งบ้านเขา อีกทั้งยังถูกความสำเร็จของตัวเองหลอกหลอน หนังหักมุม Six Sense ของพี่แก ทำให้คนคาดหวังว่าพี่แกต้องทำหนังหักมุมให้ได้แบบนั้นอีก ซึ่งกลายเป็นว่าแทนที่คนจะเข้าไปสารที่ผู้กำกับต้องการบอกเล่า กลายเป็นคนจะไปดูว่าหนังพี่แกจะหักมุมได้มากแค่ไหนไปเสียอย่างนั้น (อย่านับหนัง The Last Air Bender เป็นของพี่มาโนชเลย หนังเรื่องนี้มันหายนะชัดๆ)
+ แต่ชีวิต มีลงก็ย่อมมีขึ้น หนังเรื่อง The Visit ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาก แต่หลายคนยังไม่วางใจ เขาอาจฟลุ๊ค เขาอาจโชคดี แต่หนังเรื่อง Split อาจเป็นการบอกผู้ชมทั่วโลกว่า เขากลับมาแล้ว
+ Split เล่าเรื่องของชายคนหนึ่ง (แสดงโดย James McAvoy) ที่นักจิตวิทยา Dr. Karen (แสดงโดย Betty Buckley) อ้างว่า เขามีบุคลิกถึง 23 บุคลิก และ ต่อมาผู้ชมจะได้รู้ว่า ชายหลากบุคลิกคนนี้ได้ทำการลักพาตัวหญิงสาว 3 คน มาขังไว้ด้วยเหตุผลที่ไม่แน่ชัด หญิงสาวทั้งสามจะต้องหาทางเจรจากับบุคลิกทั้งหลายในชายคนนี้ให้ช่วยเหลือพวกเธอ ก่อนที่บุคลิกที่ 24 อันสุดแสนน่ากลัวจะปรากฎออกมา
+ อย่างที่บอกไว้ข้างต้น หลายคนพอได้ยินว่าเป็นหนังของพี่มาโนช ก็คาดหวังว่าหนังจะมีจุดหักมุม แต่หนังเรื่อง Split เป็นหนังที่เล่าเรื่องตรงไปตรงมา ถ้าหนังเรื่องนี้จะมีจุดหักมุม มันก็เป็นการหักมุมที่ไมไ่ด้น่าแปลกใจเท่าใดนัก
+ ความสนุกของหนังอยู่ทีตัวละครที่พี่เจมส์แสดง หนังพาผู้ชมให้ติดตามพฤติกรรมที่เอาแน่เอานอนไมไ่ด้ของตัวละคร ผู้ชมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าบุคลิกที่กำลังเห็นอยู่นั้น เป็นบุคลิกไหน และหนังจะพาตัวละครตัวนี้ไปไหนทิศทางใด มันทำให้ชวนลุ้นและชวนติดตามตั้งแต่ต้นไปยันจบเรื่อง
+ ความดีของหนังเรื่องนี้ นอกจากฝีมือการเขียนบทและการกำกับของพี่โนชแล้ว ต้องยกความดีของหนังเรื่องนี้ให้กับพี่เจมส์ แม๊คอะวอยอีกคนหนึ่ง ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมง ผู้ชมจะได้เห็นพี่เจมส์เกือบตลอดเวลา พี่เจมส์ทำให้ผมเชื่อได้ว่า ตัวละครตัวนี้มีปัญหาทางจิตขั้นรุนแรง ทั้งน่ากลัว ใจดี ตลก สะพรึง ในเวลาเดียวกัน พี่เจมส์ทำได้และทำได้ถึงเสียด้วย
+ เทคนิกการถ่ายทำอีกอย่างหนึ่ง ที่ช่วยให้หนังเรื่องนี้น่าสนใจคือ การถ่ายในมุมมองของหญิงสาวหรือด๊อกเตอร์ที่มองไปยังตัวละครของพี่เจมส์ ซึ่งหลายครั้งจะได้ภาพที่เห็นหนัาพี่เจมส์แบบชัดๆ การถ่ายภาพแบบนี้ทำให้ผู้ชมเกิดความกดดัน อีกทั้งยังได้เห็นความเทพของพี่เจมส์ในช่วงเปลี่ยนบุคลิก ซึ่งช่วยสร้างความคลางแคลงใจให้กับตัวละครนี้
+ ข้อเสียของหนังเรื่องนี้คือ บุคลิกที่มากมาย โดยแต่ละบุคลิกจะมีชื่อของตัวเอง โดยมีทั้งหมด 23 บุคลิก นั้นหมายถึงมี 23 ชื่อ ซึ่งสร้างความสับสนให้ผมอยู่พอสมควร อันที่จริง บุคลิกที่สำคัญในเรื่องมีเพียง 5 บุคลิก แต่กระนั้นผมก็ยังสับสนกับชื่ออยู่ดี
+ ข้อเสียอีกอย่างหนึ่งก็คือ การดำเนินเรื่องแบบช้าๆ เนิบๆอันเป็นเอกลักษณ์ของพี่มาโนช ถ้าผู้ชมคุ้นชินกับการเดินเรื่องแบบนี้ก็ถือว่าดีไป แต่ถ้าไม่ ก็อาจเผลอหลับในบางช่วงบางตอนของหนัง
+ มีเซอร์ไพรส์ในตอนจบของหนัง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องหลัก ไม่แน่ใจว่าพี่แกใส่ฉากนี้ไป เพื่อล้อเลียนหนังแฟรนไชน์อันโด่งดัง หรือ มีแผนสำหรับโปรเจคต์ยักษ์ใหญ่ของพี่แกเอง
+ พี่มาโนช อยู่ในหนังของแกทุกเรื่อง เรื่องนี้ก็เช่นกัน
+ สรุป หากคุณรับได้กับสไตล์การดำเนินเรื่องแบบพี่มาโนช และถ้าคุณอยากเห็นความจิตและความเทพขั้นสุดของพี่เจมส์ แม็คอะวอย ที่สามารถแบกหนัง 2 ชั่วโมงได้ตลอดเรื่อง หนังเรื่องนี้ก็เหมาะสำหรับคุณ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น