ต้องเข้าใจกันก่อนว่าหลักวิชา "ฮวงจุ้ย" เป็นองค์ความรู้ของชาวจีน ซึ่งองค์ความรู้ทั้งหลายนั้นถูกค้นพบ / ถูกใช้ / ถ่ายทอด / ต่อยอด องค์ความรู้มาอย่างยาวนานการต่อยอดแตกแขนงองค์ความรู้ออกไปจนแตกเป็นหลายสำนักในอดีตไม่ทราบว่ามีการแตกแยกย่อยออกไปมากมายแค่ไหน.
เนื่องจากองค์ความรู้เหล่านี้เกิดจากการค้นพบ / ต่อยอด / สืบทอด โดยชาวฮั่น และการค้นพบองค์ความรู้ในศาสตร์ของวิชาฮวงจุ้ยนั้นมีมานานกว่า 8,000 ปี และมีพัฒนาการจนถึงจุดสูงสุดในอีกหลายพันปีต่อมา แต่ชาวจีนมีอุปนิสัยอย่างหนึ่งในการสืบทอดองค์ความรู้ คือ หวงแหนความรู้มาก ยากจะถ่ายทอดไปสู่คนนอก (ขนาดสูตรพะโล้ แกยังหวงเลย..
) ซึ่งนี่เป็นอุปสรรคใหญ่ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และการพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้อย่างมาก..
ยังมีอีกปัญหาก็คือการบุกรุกเข้ามาปกครองตงง้วนของชนเผ่าที่ไม่ใช่ชาวฮั่น..ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานั้นก็มีทั้งชนเผ่ามองโกลเลีย / ชนเผ่าแมนจูเลีย และเมื่อชนเผ่าเหล่านี้เข้ามามีอำนาจ ก็ออกคำสั่งให้ไปเกณฑ์เหล่ายอดฝีมือในแขนงต่างๆให้เข้ามารับใช้ราชสำนัก โดยให้เข้ามาเขียนตำราถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับราชสำนัก ซึ่งนั่นเป็นการยากมากๆที่เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายจะยินยอมปล่อยเคล็ดวิชากันออกมา.. คนที่ขัดขืนก็ถูกจองจำบ้าง / ถูกทรมาน / ถูกประหารไปก็ไม่น้อย..
คนที่ยังไม่ถูกจับเข้ามา / หรือคนที่ถูกจับแล้วไม่อยากตาย / ไม่อยากถูกทรมาน / กักขัง / หนีกันได้ก็หนี / ซ่อนได้ก็ซ่อน ตำรา คัมภีร์ ต่างๆก็ถูกเก็บซ่อนไว้ ส่วนที่หนีไม่ทันก็จำยอมเขียนตำราให้ (ไม่อยากถูกทรมานหรือถูกฆ่าทิ้ง) แต่ก็ยังไม่วายงำเคล็ดลับสำคัญของเคล็ดวิชาไว้อยู่ดี ตำราที่ถูกบังคับให้เขียนให้กับราชสำนักจึงขาดความสมบูรณ์ไป และทำให้หลายต่อหลายวิชาต้องสูญหายไป..
นอกจากช่วงเวลาที่ชนชาวฮั่นถูกครอบงำจากชนเผ่ามองโกลและแมนจูแล้ว ยังมีอีกช่วงเวลาที่จีนใช้การปกครองระบอบคอมมิวนิสอย่างเข้มข้น จนองค์ความรู้ที่สำคัญที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นอยู่ในสภาพที่ล่อแหลมมากๆ จนทำให้สมัยนั้นคณะของ "ก๊กมินตั๋ง" ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการปกครองระบอบสังคมนิยมเข้มข้น หรือลัทธิคอมมิวนิสที่"เหมาเจือตุง"นำเข้ามาปกครองประเทศ บรรดาตำราทั้งหลายจึงถูกคณะของก๊กมินตั๋งขนหนีไป.. ปัจจุบันเราจะพบตำราต่างๆที่ยังคงหลงเหลืออยู่นั้นพบเห็นกันอย่างแพร่หลายในประเทศไต้หวัน..!!!
ไม่เพียงองค์ความรู้ที่สูญหายไปเพราะปัญหาทางการเมืองและการปกครอง ..ยังมีทฤษฎีแปลกๆซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการสำคัญในการใช้หลักวิชาฮวงจุ้ย..ก็มีโผล่ออกมาเป็นระยะ ( ต้องยอมรับความจริงว่าแท้จริงแล้วคนที่อยู่ในทุกๆวงการนั้นก็มีทั้งของจริงของปลอมปะปนกันอยุ๋มากมายอยู่แล้ว (อรหันต์เก๊อย่าง เณรคำ ก็ยังเกิดขึ้นได้ ) ในบรรดาความเชื่อนอกหลักวิชาฯแต่ถูกนำมาแอบอ้างในชื่อของวิชา "ฮวงจุ้ย" แต่มองเข้าไส้ในนั้นไม่สอดคล้องกับองค์ความรู้ต่างๆ ตามหลักเกณฑ์ของหลักวิชา "ฮวงจุ้ย" ซึ่งจะต้องมีองค์ประกอบหลัก คือ
ตี่ลี่ (ชัยภูมิภายนอก - ภายใน) / ลี้ขี่ (ทิศทาง) / เหมี่ยอุ่ง (ดวงชะตา) / เกี๊ยกซี๊ (ฤกษ์ยาม)
แต่เราพบว่า บรรดาผู้ที่แอบอ้างหลักวิชา "ฮวงจุ้ย" นั้นไม่ได้ให้ข้อมูลครบถ้วนทั้ง 4 องค์ประกอบของหลักวิชา..แต่การที่ความรู้ที่ไม่ใช่หลักวิชาความรู้ในหลักวิชาความรู้ตามหลักวิชาฮวงจุ้ยกลับแพร่หลายไป..เพราะคนเหล่านี้ที่สร้างข่าวอยู่เรื่อยๆจนเป็นที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาของคนทั่วไป..
สาเหตุสำคัญที่ความเชื่อเหล่านี้แพร่หลายมากกว่าความรู้ที่ถูกต้องนั้นมาจาก..คนที่รู้ความจริงเกี่ยวกับหลักวิชาฮวงจุ้ยนั้นมีไม่มาก / คนเหล่านี้หวงแหนวิชาที่ตัวเองได้เรียนรู้มา / ผู้รู้ไม่ทำตัวเป็นข่าวมากเท่ากับผู้ที่อวดอ้างตัวเอง(เพราะหวังประโยชน์จากความไม่รู้ของคนทั่วไป..และความเชื่อของคนส่วนใหญ่นั้นมักจะเชื่อกันว่าเหล่าคนดังคือคนที่มีความรู้จริง..ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ศาสนาพุทธที่เชื่อกันว่าคนไทยนั้นนับถือศาสนาพุทธมากถึง 95%.. แต่ข้อเท็จจริงคือสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่เชื่อและปฏิบัติกันมา..โดยเชื่อว่าเป็นประเพณีของชาวพุทธนั้นไม่ใช่แนวปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมาเลย)
ในบ้างหลักวิชาจะมีการใช้วิชาดวงหรือ"เหมี่ยอุ่ง"เฉพาะเช่นหลักวิชา "หลักจันสี่ข่วย" เป็นต้น ซึ่งสำนักนี้จะใช้วิชาดวงแบบ"ข่วย" และในการใช้ฤกษ์ยามของแต่ละสำนักก็จะมีการคำนวณฤกษ์ยามเฉพาะตามหลักวิชานั้นๆ (ซึ่งผมจะไม่ลงรายละเอียดในส่วนนี้ครับ เพราะวิชานี้ผมแค่พอจะมีความรู้...เพราะไม่ได้ศึกษาวิชา "64ข่วย" มากพอที่จะหยิบเอามาใช้งานอย่างจริงจัง)
แต่มีความเชื่อที่บอกต่อๆมาแบบที่เราได้รู้ได้ฟังได้อ่านกันมา บางเรื่องก็มาจากความรู้ตามหลักวิชานั่นแหละแต่กลับผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงในองค์ประกอบของวิชา"ฮวงจุ้ย" ตามหลักวิชาความรู้ของหลักวิชา "ฮวงจุ้ย" ที่ถูกต้องนั้น.. เมื่อรู้ไม่ครบ / รู้แค่เพียงบางส่วนย่อมไม่นับว่าเป็นผู้รู้ / แถมบางคนยังถือโอกาสตั้งตัวเป็น "ซินแส" เที่ยวบอกเล่าในสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปเรื่อยจนทำให้คนที่ได้ยิน / ได้ฟังและเชื่อตามเหล่านั้น (แถมยังมีการทำซ้ำข้อมูลต่อๆกันไปอีก ในฐานะคนดังที่ได้ออกสื่อ TV (พวกนี้ดังมาได้จากกระบวนการ PR ตัวเอง..โดยการออกหนังสือ / ทำตัวเป็นข่าว / เล่นเรื่องคนดัง / ดารา จนเป็นข่าวได้รับความสนใจ..สมใจตัวเอง.. แต่โดยเนื้อแท้แล้วคนเหล่านี้มีความรู้เรื่องวิชา "ฮวงจุ้ย" กันน้อยมาก ๆ แถมหลายต่อหลายเรื่องยังรู้แบบผิดๆเสียด้วย..)
เรื่องที่รู้และเข้าใจกันผิดๆและมีการทำซ้ำข้อมูลจนกลายเป็นความเชื่อของคนส่วนใหญ่ไปแล้วหลายต่อหลายเรื่อง...
- เรื่องปีชง / ปีชงร่วม / วิธีแก้ปีชง ฯลฯ
- เรื่องการวางน้ำ / อ่างบัว / อ่างปลาหน้าบ้านเสริมโชคลาภ
- วิบากทาง 3 แพร่ง
- เสาเหลี่ยมมีกระแสพิฆาต
- การตั้งหิ้งพระ
- การตั้งศาลพระภูมิ
- การตั้งตี่จู้
- การเบิกเนตรสิ่งศักดิ์สิทธิ์..
- การแขวนเสือคาบดาบแก้วิบาก..
- การตั้งสิงโตคู่แก้วิบาก
- ฯลฯ
ผมจะมาเล่าแจ้งแถลงไขตามองค์ความรู้อันน้อยนิดที่ได้เรียนรู้มา และได้นำไปใช้และพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยฐานข้อมูลระดับภาคปฏิบัติ..ด้วยประสพการณ์กว่า 10 ปีที่ได้ใช้หลักวิชา"ฮวงจุ้ย"มากับตัวเอง..และก็ได้ใช้ประกอบอาชีพในปัจจุบันนี้..
"ซินแสเกินร้อย"
หลักฮวงจุ้ยมักเข้าใจผิด..? By "ซินแสเกินร้อย"
ต้องเข้าใจกันก่อนว่าหลักวิชา "ฮวงจุ้ย" เป็นองค์ความรู้ของชาวจีน ซึ่งองค์ความรู้ทั้งหลายนั้นถูกค้นพบ / ถูกใช้ / ถ่ายทอด / ต่อยอด องค์ความรู้มาอย่างยาวนานการต่อยอดแตกแขนงองค์ความรู้ออกไปจนแตกเป็นหลายสำนักในอดีตไม่ทราบว่ามีการแตกแยกย่อยออกไปมากมายแค่ไหน.
เนื่องจากองค์ความรู้เหล่านี้เกิดจากการค้นพบ / ต่อยอด / สืบทอด โดยชาวฮั่น และการค้นพบองค์ความรู้ในศาสตร์ของวิชาฮวงจุ้ยนั้นมีมานานกว่า 8,000 ปี และมีพัฒนาการจนถึงจุดสูงสุดในอีกหลายพันปีต่อมา แต่ชาวจีนมีอุปนิสัยอย่างหนึ่งในการสืบทอดองค์ความรู้ คือ หวงแหนความรู้มาก ยากจะถ่ายทอดไปสู่คนนอก (ขนาดสูตรพะโล้ แกยังหวงเลย.. ) ซึ่งนี่เป็นอุปสรรคใหญ่ในการถ่ายทอดองค์ความรู้และการพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้อย่างมาก..
ยังมีอีกปัญหาก็คือการบุกรุกเข้ามาปกครองตงง้วนของชนเผ่าที่ไม่ใช่ชาวฮั่น..ซึ่งในอดีตที่ผ่านมานั้นก็มีทั้งชนเผ่ามองโกลเลีย / ชนเผ่าแมนจูเลีย และเมื่อชนเผ่าเหล่านี้เข้ามามีอำนาจ ก็ออกคำสั่งให้ไปเกณฑ์เหล่ายอดฝีมือในแขนงต่างๆให้เข้ามารับใช้ราชสำนัก โดยให้เข้ามาเขียนตำราถ่ายทอดองค์ความรู้ให้กับราชสำนัก ซึ่งนั่นเป็นการยากมากๆที่เหล่ายอดฝีมือทั้งหลายจะยินยอมปล่อยเคล็ดวิชากันออกมา.. คนที่ขัดขืนก็ถูกจองจำบ้าง / ถูกทรมาน / ถูกประหารไปก็ไม่น้อย..
คนที่ยังไม่ถูกจับเข้ามา / หรือคนที่ถูกจับแล้วไม่อยากตาย / ไม่อยากถูกทรมาน / กักขัง / หนีกันได้ก็หนี / ซ่อนได้ก็ซ่อน ตำรา คัมภีร์ ต่างๆก็ถูกเก็บซ่อนไว้ ส่วนที่หนีไม่ทันก็จำยอมเขียนตำราให้ (ไม่อยากถูกทรมานหรือถูกฆ่าทิ้ง) แต่ก็ยังไม่วายงำเคล็ดลับสำคัญของเคล็ดวิชาไว้อยู่ดี ตำราที่ถูกบังคับให้เขียนให้กับราชสำนักจึงขาดความสมบูรณ์ไป และทำให้หลายต่อหลายวิชาต้องสูญหายไป..
นอกจากช่วงเวลาที่ชนชาวฮั่นถูกครอบงำจากชนเผ่ามองโกลและแมนจูแล้ว ยังมีอีกช่วงเวลาที่จีนใช้การปกครองระบอบคอมมิวนิสอย่างเข้มข้น จนองค์ความรู้ที่สำคัญที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นอยู่ในสภาพที่ล่อแหลมมากๆ จนทำให้สมัยนั้นคณะของ "ก๊กมินตั๋ง" ซึ่งไม่เห็นด้วยกับการปกครองระบอบสังคมนิยมเข้มข้น หรือลัทธิคอมมิวนิสที่"เหมาเจือตุง"นำเข้ามาปกครองประเทศ บรรดาตำราทั้งหลายจึงถูกคณะของก๊กมินตั๋งขนหนีไป.. ปัจจุบันเราจะพบตำราต่างๆที่ยังคงหลงเหลืออยู่นั้นพบเห็นกันอย่างแพร่หลายในประเทศไต้หวัน..!!!
ไม่เพียงองค์ความรู้ที่สูญหายไปเพราะปัญหาทางการเมืองและการปกครอง ..ยังมีทฤษฎีแปลกๆซึ่งไม่สอดคล้องกับหลักการสำคัญในการใช้หลักวิชาฮวงจุ้ย..ก็มีโผล่ออกมาเป็นระยะ ( ต้องยอมรับความจริงว่าแท้จริงแล้วคนที่อยู่ในทุกๆวงการนั้นก็มีทั้งของจริงของปลอมปะปนกันอยุ๋มากมายอยู่แล้ว (อรหันต์เก๊อย่าง เณรคำ ก็ยังเกิดขึ้นได้ ) ในบรรดาความเชื่อนอกหลักวิชาฯแต่ถูกนำมาแอบอ้างในชื่อของวิชา "ฮวงจุ้ย" แต่มองเข้าไส้ในนั้นไม่สอดคล้องกับองค์ความรู้ต่างๆ ตามหลักเกณฑ์ของหลักวิชา "ฮวงจุ้ย" ซึ่งจะต้องมีองค์ประกอบหลัก คือ
แต่เราพบว่า บรรดาผู้ที่แอบอ้างหลักวิชา "ฮวงจุ้ย" นั้นไม่ได้ให้ข้อมูลครบถ้วนทั้ง 4 องค์ประกอบของหลักวิชา..แต่การที่ความรู้ที่ไม่ใช่หลักวิชาความรู้ในหลักวิชาความรู้ตามหลักวิชาฮวงจุ้ยกลับแพร่หลายไป..เพราะคนเหล่านี้ที่สร้างข่าวอยู่เรื่อยๆจนเป็นที่รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาของคนทั่วไป..
สาเหตุสำคัญที่ความเชื่อเหล่านี้แพร่หลายมากกว่าความรู้ที่ถูกต้องนั้นมาจาก..คนที่รู้ความจริงเกี่ยวกับหลักวิชาฮวงจุ้ยนั้นมีไม่มาก / คนเหล่านี้หวงแหนวิชาที่ตัวเองได้เรียนรู้มา / ผู้รู้ไม่ทำตัวเป็นข่าวมากเท่ากับผู้ที่อวดอ้างตัวเอง(เพราะหวังประโยชน์จากความไม่รู้ของคนทั่วไป..และความเชื่อของคนส่วนใหญ่นั้นมักจะเชื่อกันว่าเหล่าคนดังคือคนที่มีความรู้จริง..ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ศาสนาพุทธที่เชื่อกันว่าคนไทยนั้นนับถือศาสนาพุทธมากถึง 95%.. แต่ข้อเท็จจริงคือสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่เชื่อและปฏิบัติกันมา..โดยเชื่อว่าเป็นประเพณีของชาวพุทธนั้นไม่ใช่แนวปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนมาเลย)
ในบ้างหลักวิชาจะมีการใช้วิชาดวงหรือ"เหมี่ยอุ่ง"เฉพาะเช่นหลักวิชา "หลักจันสี่ข่วย" เป็นต้น ซึ่งสำนักนี้จะใช้วิชาดวงแบบ"ข่วย" และในการใช้ฤกษ์ยามของแต่ละสำนักก็จะมีการคำนวณฤกษ์ยามเฉพาะตามหลักวิชานั้นๆ (ซึ่งผมจะไม่ลงรายละเอียดในส่วนนี้ครับ เพราะวิชานี้ผมแค่พอจะมีความรู้...เพราะไม่ได้ศึกษาวิชา "64ข่วย" มากพอที่จะหยิบเอามาใช้งานอย่างจริงจัง)
แต่มีความเชื่อที่บอกต่อๆมาแบบที่เราได้รู้ได้ฟังได้อ่านกันมา บางเรื่องก็มาจากความรู้ตามหลักวิชานั่นแหละแต่กลับผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงในองค์ประกอบของวิชา"ฮวงจุ้ย" ตามหลักวิชาความรู้ของหลักวิชา "ฮวงจุ้ย" ที่ถูกต้องนั้น.. เมื่อรู้ไม่ครบ / รู้แค่เพียงบางส่วนย่อมไม่นับว่าเป็นผู้รู้ / แถมบางคนยังถือโอกาสตั้งตัวเป็น "ซินแส" เที่ยวบอกเล่าในสิ่งที่ผิดเพี้ยนไปเรื่อยจนทำให้คนที่ได้ยิน / ได้ฟังและเชื่อตามเหล่านั้น (แถมยังมีการทำซ้ำข้อมูลต่อๆกันไปอีก ในฐานะคนดังที่ได้ออกสื่อ TV (พวกนี้ดังมาได้จากกระบวนการ PR ตัวเอง..โดยการออกหนังสือ / ทำตัวเป็นข่าว / เล่นเรื่องคนดัง / ดารา จนเป็นข่าวได้รับความสนใจ..สมใจตัวเอง.. แต่โดยเนื้อแท้แล้วคนเหล่านี้มีความรู้เรื่องวิชา "ฮวงจุ้ย" กันน้อยมาก ๆ แถมหลายต่อหลายเรื่องยังรู้แบบผิดๆเสียด้วย..)
เรื่องที่รู้และเข้าใจกันผิดๆและมีการทำซ้ำข้อมูลจนกลายเป็นความเชื่อของคนส่วนใหญ่ไปแล้วหลายต่อหลายเรื่อง...
- เรื่องปีชง / ปีชงร่วม / วิธีแก้ปีชง ฯลฯ
- เรื่องการวางน้ำ / อ่างบัว / อ่างปลาหน้าบ้านเสริมโชคลาภ
- วิบากทาง 3 แพร่ง
- เสาเหลี่ยมมีกระแสพิฆาต
- การตั้งหิ้งพระ
- การตั้งศาลพระภูมิ
- การตั้งตี่จู้
- การเบิกเนตรสิ่งศักดิ์สิทธิ์..
- การแขวนเสือคาบดาบแก้วิบาก..
- การตั้งสิงโตคู่แก้วิบาก
- ฯลฯ
ผมจะมาเล่าแจ้งแถลงไขตามองค์ความรู้อันน้อยนิดที่ได้เรียนรู้มา และได้นำไปใช้และพิสูจน์ข้อเท็จจริงด้วยฐานข้อมูลระดับภาคปฏิบัติ..ด้วยประสพการณ์กว่า 10 ปีที่ได้ใช้หลักวิชา"ฮวงจุ้ย"มากับตัวเอง..และก็ได้ใช้ประกอบอาชีพในปัจจุบันนี้..