กระท่อมผีหลอก..
ราสส์ กิโลหก
เสียงฟ้าร้อง เสียงลมที่พัดกรรโชกกระแทกเข้ามาที่ฝากระท่อมเสียงดังแฟกๆ ทำให้ทั้งลมทั้งฝนกระเด็นเล็ดลอดเข้ามา ตามช่องเล็กช่องน้อยของฝากระท่อม สาดกระทบเข้ากับตัว ความหนาวเย็น และความเปียกชื้น เกาะกุมไปทั่วทั้งตัว…ฝนตกแรงจริงๆ
ก่อนหน้านั้น เราสองคนกำลังเดินทางกลับด้วยรถมอเตอร์ไซค์ หลังจากไปทำงานยังพื้นที่ตำบลแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวอำเภอหลายสิบกิโลเมตร สภาพถนนไม่ดี เต็มไปด้วยหลุมบ่อ เมื่อฝนเกิดเทกระหน่ำลงมาแบบนี้ ..ก็ต้องหาที่หลบฝนกันก่อน
จะไปต่อก็ไม่ได้เพราะฝนตกแรงเหลือเกิน กระท่อมโกโรโกโสหลังนี้ จึงเป็นที่พึ่งในยามคับขันได้ดีที่สุดในขณะนี้..
ผมทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รังวัดประจำอยู่สำนักงานที่ดินอำเภอ ออกไปรังวัดที่ดินให้กับชาวบ้านรายหนึ่ง ซึ่งที่ดินแปลงนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ ห่างไกลจนเกือบสุดเขตอำเภอ (สมัย ปี พ.ศ. 2522) พื้นที่นี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าเขา ต้นไม้สูงใหญ่มีมากมาย ป่าที่เป็นป่าจริงๆ ผู้คนและสิ่งปลูกสร้างยังไม่มีมากนัก ถนนหนทางเป็นเพียงดินลูกรัง บางช่วงก็เป็นดินล้วนๆ
ผู้คนที่เข้ามาบุกเบิกจะอาศัยกันเป็นหย่อมๆ จึงทำให้พื้นที่ส่วนมาก จะรกร้างไปด้วยป่าไม้ ไอป่าและความเยือกเย็นจากป่าธรรมชาติ สัมผัสได้ตลอดทางที่เข้าไป
ผมใช้พาหนะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ สมัยนิยม คือ ซูซูกิ เอ-100 ไปกันสองคนกับลูกน้องชื่อ อ้ายหนุ่ย
ทั้งที่พยายามรีบรังวัดที่ดินให้เสร็จโดยเร็วเพราะกลัวจะมืดค่ำ แต่ระหว่างทางก็เจอปัญหาจนได้ ฝนที่ตั้งเค้าอยู่แล้ว ตกกระหน่ำลงมาแบบไม่มีปีมีขลุ่ย
เราติดอยู่ในกระท่อมร้างตั้งแต่ หกโมงเย็นและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ฝนกลางป่าจะเป็นแบบนี้ ตกรุนแรงและยาวนาน ภาวนาให้หยุดตกเสียที อย่าให้ถึงมืดค่ำเลย แถบนี้ไม่มีบ้านเรือนผู้คน รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ รกครึ้มจนเหมือนอยู่ในกลางป่าดงดิบ ถนนก็เป็นเพียงถนนดินเส้นเล็กๆรถใหญ่ไม่ค่อยมีวิ่งผ่านหรือไม่มีผ่านเลยก็ว่าได้
เรานั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นกระท่อมซึ่งยกสูงจากพื้นดินประมาณ เมตรเศษๆทำให้พอได้เข็นรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดหลบฝนได้..แล้วรีบวิ่งขึ้นไปหลบฝนบนกระท่อม แต่ไม่มีใครอยู่ จึงถือวิสาสะเข้ามาหลบฝนเพราะมันจำเป็น..
การภาวนาให้ฝนหยุดตก ไม่เป็นผลฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนกระทั่งแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ กำลังจะจางหายไป อีกไม่นานรอบๆตัวคงเต็มไปด้วยความมืดมิด
ตอนที่ขึ้นมาบนกระท่อมครั้งแรกสังเกตว่า น่าจะไม่มีคนอยู่ หยากใย่ใยแมงมุมขึ้นเต็มไปหมด ที่ด้านในเป็นที่นอนเก่าๆ มีมุ้งเก่าเขรอะ จากสีขาวกลายเป็นสีน้ำตาลแก่ หูมุ้งกางไว้สองหูที่ผนัง คงไม่มีคนมาใช้นอนเป็นเวลานาน สภาพจึงเป็นแบบนั้น มุมด้านอื่นๆมีขวดน้ำแก้วน้ำเก่าๆ มีกระป๋องตะเกียงน้ำมันด้วย 2 กระป๋อง ตรงชานกระท่อมมีโอ่งน้ำใบเล็ก มีจานชามวางอยู่ข้างๆโอ่ง.
เจ้าของไปไหน ? ตอนนั้นไม่มีเวลามาคิดเกรงใจอะไรเพราะฝนตกลงมาแบบฟ้ารั่ว ยังไงก็ต้องขอเข้ามาก่อน เรื่องขออนุญาตเอาไว้ที่หลัง แต่ก็พบว่ากระท่อมหลังนี้คงไม่มีคนเข้ามาใช้นานแล้ว...
เมื่อความมืดกำลังจะมาเยือน ผมเดินไปที่กระป่องตะเกียงน้ำมัน เอามือเขย่าดู ..
“เอ๊ะ ! มีน้ำมันอยู่ในกระป่อง” ผมอุทานด้วยความดีใจ อย่างน้อยก็ครึ่งกระป่องคะเนจากน้ำหนัก
“หนุ่ย เอ็งเอาไฟแช๊ก ซิปโป้ มาจุดตะเกียงหน่อย ดวงดีจริงๆที่น้ำมันยังมีอยู่ ไม่งั้นมืด ตายเลย ”
เปลวควันสีดำ ลอยขึ้นมาจากใส้ตะเกียง ความสว่างกระจายออกมาจากดวงไฟ แสงไฟสะบัดวูบวาบ เพราะลมที่พัดเล็ดลอดเข้ามาตามร่องรูของฝากระท่อม
บรรยากาศด้านนอก นอกจากเสียงฝนเสียงฟ้าที่ดังสลับกันไปมา ตอนนี้ผสมความมืดมิดเข้าไปด้วย เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน ได้แต่มองตากัน เราไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ตอนช่วงเย็นยังไม่เท่าไหร่เพราะยังมีแสงอาทิตย์เป็นเพื่อน แต่ตอนนี้เมื่อความมืดเข้ามาเยือน มันเริ่มน่ากลัว
เสียงสรรพสัตว์ต่างๆเริ่มดังกันขึ้น มันมีมากมายหลายเสียง จนเดาไม่ถูกว่าเป็นเสียงของสัตว์อะไรกันบ้าง..ป่าคงตื่นแล้ว สัตว์ป่าต่างๆเริ่มออกมาหากิน..
คำว่าป่าดงพงไพร มันดูลึกลับและแปลกหูแปลกตา เสียงฝนที่เทลงมากระทบหลังคากระท่อม เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเป็นพักๆ เสียงลมที่พัดต้นไม้ใบไม้เกิดเสียงดังต่างๆแปลกหูแปลกตา ความหวาดกลัวเริ่มเข้าคุกคาม ความคิดฟุ้งซ่านคิดไปต่างๆนานา..
ผมยกมือขึ้นไหว้ไปรอบทิศ ขอให้ฝนหยุดเสียที เราอยากกลับบ้านเต็มที นึกอยากจะลุยออกไปเลยก็ไม่อยากเสี่ยงเพราะรถคู่ใจคันนี้ ถ้าโดนน้ำหนักๆจะพาลดับเอาดื้อๆ..
ฝนยังคงตกเหมือนเดิมไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จากหนึ่งทุ่ม สองทุ่ม แลมองดูนาฬิกาครั้งสุดท้าย จะสามทุ่มแล้ว ถ้ารู้แบบนี้นอนค้างที่บ้านเจ้าของที่ดินดีกว่า แต่อย่างว่าใครจะไปรู้สถานการณ์ข้างหน้า ที่สำคัญเราออกมาจากบ้านของเขาไกลมากแล้ว มันเกือบครึ่งทางเลยที่เดียว..
ง่วงก็ง่วงแต่ความกลัวมีมากกว่า มองออกไปมีแต่ความมืดมิด เสียงสิงสาราสัตว์ มันดังอยู่ตลอดเวลา อ้ายหนุ่ยทำท่าจะเอนตัวลงนอน ผมต้องรีบบอกมันอย่าพึ่งนอน เพราะหากมันนอนผมก็เหมือนตัวคนเดียว
“มันเหงานะ โว๊ย” ผมตะโกนอยู่ในใจ..
ท่ามกลางความมืด เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากใต้กระท่อม
“ จ๋อมๆๆๆๆ จ๋อมๆๆๆๆ” เสียงดังเหมือนมีการย่ำลงไปในน้ำ เพราะฝนตกหนักน้ำคงท่วมพื้นดิน เมื่อมีการย่ำลงไปในน้ำจึงเกิดเสียงแบบนี้..
เราสองคนขยับตัวเข้าหากันโดยไม่นัดหมาย..
“เสียงอะไร วะ หนุ่ย” เสียงผมแหบเต็มที..
อ้ายหนุ่ยสั่นหน้า มันคงพูดอะไรไม่ออก..
หรือจะเป็นสัตว์อะไรสักอย่าง
อีกไม่กี่อึดใจ มีเสียงใหม่ดังขึ้น..แต่เบามาก..
“กรูบอกแล้ว ว่าอย่ากลับบ้านมืดค่ำ.” เป็นเสียงผู้หญิง
“ฮือๆๆๆๆๆๆๆกลัวแล้ว เจ็บๆๆๆ” เป็นเสียงเด็กผู้ชายอายุคงไม่มากนักไม่น่าเกิน สิบขวบ
( อ่านต่อด้านล่าง)
กระท่อมผีหลอก..
ราสส์ กิโลหก
เสียงฟ้าร้อง เสียงลมที่พัดกรรโชกกระแทกเข้ามาที่ฝากระท่อมเสียงดังแฟกๆ ทำให้ทั้งลมทั้งฝนกระเด็นเล็ดลอดเข้ามา ตามช่องเล็กช่องน้อยของฝากระท่อม สาดกระทบเข้ากับตัว ความหนาวเย็น และความเปียกชื้น เกาะกุมไปทั่วทั้งตัว…ฝนตกแรงจริงๆ
ก่อนหน้านั้น เราสองคนกำลังเดินทางกลับด้วยรถมอเตอร์ไซค์ หลังจากไปทำงานยังพื้นที่ตำบลแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างไกลจากตัวอำเภอหลายสิบกิโลเมตร สภาพถนนไม่ดี เต็มไปด้วยหลุมบ่อ เมื่อฝนเกิดเทกระหน่ำลงมาแบบนี้ ..ก็ต้องหาที่หลบฝนกันก่อน
จะไปต่อก็ไม่ได้เพราะฝนตกแรงเหลือเกิน กระท่อมโกโรโกโสหลังนี้ จึงเป็นที่พึ่งในยามคับขันได้ดีที่สุดในขณะนี้..
ผมทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รังวัดประจำอยู่สำนักงานที่ดินอำเภอ ออกไปรังวัดที่ดินให้กับชาวบ้านรายหนึ่ง ซึ่งที่ดินแปลงนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ ห่างไกลจนเกือบสุดเขตอำเภอ (สมัย ปี พ.ศ. 2522) พื้นที่นี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าเขา ต้นไม้สูงใหญ่มีมากมาย ป่าที่เป็นป่าจริงๆ ผู้คนและสิ่งปลูกสร้างยังไม่มีมากนัก ถนนหนทางเป็นเพียงดินลูกรัง บางช่วงก็เป็นดินล้วนๆ
ผู้คนที่เข้ามาบุกเบิกจะอาศัยกันเป็นหย่อมๆ จึงทำให้พื้นที่ส่วนมาก จะรกร้างไปด้วยป่าไม้ ไอป่าและความเยือกเย็นจากป่าธรรมชาติ สัมผัสได้ตลอดทางที่เข้าไป
ผมใช้พาหนะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ สมัยนิยม คือ ซูซูกิ เอ-100 ไปกันสองคนกับลูกน้องชื่อ อ้ายหนุ่ย
ทั้งที่พยายามรีบรังวัดที่ดินให้เสร็จโดยเร็วเพราะกลัวจะมืดค่ำ แต่ระหว่างทางก็เจอปัญหาจนได้ ฝนที่ตั้งเค้าอยู่แล้ว ตกกระหน่ำลงมาแบบไม่มีปีมีขลุ่ย
เราติดอยู่ในกระท่อมร้างตั้งแต่ หกโมงเย็นและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ฝนกลางป่าจะเป็นแบบนี้ ตกรุนแรงและยาวนาน ภาวนาให้หยุดตกเสียที อย่าให้ถึงมืดค่ำเลย แถบนี้ไม่มีบ้านเรือนผู้คน รอบข้างเต็มไปด้วยต้นไม้ รกครึ้มจนเหมือนอยู่ในกลางป่าดงดิบ ถนนก็เป็นเพียงถนนดินเส้นเล็กๆรถใหญ่ไม่ค่อยมีวิ่งผ่านหรือไม่มีผ่านเลยก็ว่าได้
เรานั่งกอดเข่าอยู่บนพื้นกระท่อมซึ่งยกสูงจากพื้นดินประมาณ เมตรเศษๆทำให้พอได้เข็นรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดหลบฝนได้..แล้วรีบวิ่งขึ้นไปหลบฝนบนกระท่อม แต่ไม่มีใครอยู่ จึงถือวิสาสะเข้ามาหลบฝนเพราะมันจำเป็น..
การภาวนาให้ฝนหยุดตก ไม่เป็นผลฝนยังคงตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา จนกระทั่งแสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ กำลังจะจางหายไป อีกไม่นานรอบๆตัวคงเต็มไปด้วยความมืดมิด
ตอนที่ขึ้นมาบนกระท่อมครั้งแรกสังเกตว่า น่าจะไม่มีคนอยู่ หยากใย่ใยแมงมุมขึ้นเต็มไปหมด ที่ด้านในเป็นที่นอนเก่าๆ มีมุ้งเก่าเขรอะ จากสีขาวกลายเป็นสีน้ำตาลแก่ หูมุ้งกางไว้สองหูที่ผนัง คงไม่มีคนมาใช้นอนเป็นเวลานาน สภาพจึงเป็นแบบนั้น มุมด้านอื่นๆมีขวดน้ำแก้วน้ำเก่าๆ มีกระป๋องตะเกียงน้ำมันด้วย 2 กระป๋อง ตรงชานกระท่อมมีโอ่งน้ำใบเล็ก มีจานชามวางอยู่ข้างๆโอ่ง.
เจ้าของไปไหน ? ตอนนั้นไม่มีเวลามาคิดเกรงใจอะไรเพราะฝนตกลงมาแบบฟ้ารั่ว ยังไงก็ต้องขอเข้ามาก่อน เรื่องขออนุญาตเอาไว้ที่หลัง แต่ก็พบว่ากระท่อมหลังนี้คงไม่มีคนเข้ามาใช้นานแล้ว...
เมื่อความมืดกำลังจะมาเยือน ผมเดินไปที่กระป่องตะเกียงน้ำมัน เอามือเขย่าดู ..
“เอ๊ะ ! มีน้ำมันอยู่ในกระป่อง” ผมอุทานด้วยความดีใจ อย่างน้อยก็ครึ่งกระป่องคะเนจากน้ำหนัก
“หนุ่ย เอ็งเอาไฟแช๊ก ซิปโป้ มาจุดตะเกียงหน่อย ดวงดีจริงๆที่น้ำมันยังมีอยู่ ไม่งั้นมืด ตายเลย ”
เปลวควันสีดำ ลอยขึ้นมาจากใส้ตะเกียง ความสว่างกระจายออกมาจากดวงไฟ แสงไฟสะบัดวูบวาบ เพราะลมที่พัดเล็ดลอดเข้ามาตามร่องรูของฝากระท่อม
บรรยากาศด้านนอก นอกจากเสียงฝนเสียงฟ้าที่ดังสลับกันไปมา ตอนนี้ผสมความมืดมิดเข้าไปด้วย เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกัน ได้แต่มองตากัน เราไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ตอนช่วงเย็นยังไม่เท่าไหร่เพราะยังมีแสงอาทิตย์เป็นเพื่อน แต่ตอนนี้เมื่อความมืดเข้ามาเยือน มันเริ่มน่ากลัว
เสียงสรรพสัตว์ต่างๆเริ่มดังกันขึ้น มันมีมากมายหลายเสียง จนเดาไม่ถูกว่าเป็นเสียงของสัตว์อะไรกันบ้าง..ป่าคงตื่นแล้ว สัตว์ป่าต่างๆเริ่มออกมาหากิน..
คำว่าป่าดงพงไพร มันดูลึกลับและแปลกหูแปลกตา เสียงฝนที่เทลงมากระทบหลังคากระท่อม เสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าเป็นพักๆ เสียงลมที่พัดต้นไม้ใบไม้เกิดเสียงดังต่างๆแปลกหูแปลกตา ความหวาดกลัวเริ่มเข้าคุกคาม ความคิดฟุ้งซ่านคิดไปต่างๆนานา..
ผมยกมือขึ้นไหว้ไปรอบทิศ ขอให้ฝนหยุดเสียที เราอยากกลับบ้านเต็มที นึกอยากจะลุยออกไปเลยก็ไม่อยากเสี่ยงเพราะรถคู่ใจคันนี้ ถ้าโดนน้ำหนักๆจะพาลดับเอาดื้อๆ..
ฝนยังคงตกเหมือนเดิมไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จากหนึ่งทุ่ม สองทุ่ม แลมองดูนาฬิกาครั้งสุดท้าย จะสามทุ่มแล้ว ถ้ารู้แบบนี้นอนค้างที่บ้านเจ้าของที่ดินดีกว่า แต่อย่างว่าใครจะไปรู้สถานการณ์ข้างหน้า ที่สำคัญเราออกมาจากบ้านของเขาไกลมากแล้ว มันเกือบครึ่งทางเลยที่เดียว..
ง่วงก็ง่วงแต่ความกลัวมีมากกว่า มองออกไปมีแต่ความมืดมิด เสียงสิงสาราสัตว์ มันดังอยู่ตลอดเวลา อ้ายหนุ่ยทำท่าจะเอนตัวลงนอน ผมต้องรีบบอกมันอย่าพึ่งนอน เพราะหากมันนอนผมก็เหมือนตัวคนเดียว
“มันเหงานะ โว๊ย” ผมตะโกนอยู่ในใจ..
ท่ามกลางความมืด เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากใต้กระท่อม
“ จ๋อมๆๆๆๆ จ๋อมๆๆๆๆ” เสียงดังเหมือนมีการย่ำลงไปในน้ำ เพราะฝนตกหนักน้ำคงท่วมพื้นดิน เมื่อมีการย่ำลงไปในน้ำจึงเกิดเสียงแบบนี้..
เราสองคนขยับตัวเข้าหากันโดยไม่นัดหมาย..
“เสียงอะไร วะ หนุ่ย” เสียงผมแหบเต็มที..
อ้ายหนุ่ยสั่นหน้า มันคงพูดอะไรไม่ออก..
หรือจะเป็นสัตว์อะไรสักอย่าง
อีกไม่กี่อึดใจ มีเสียงใหม่ดังขึ้น..แต่เบามาก..
“กรูบอกแล้ว ว่าอย่ากลับบ้านมืดค่ำ.” เป็นเสียงผู้หญิง
“ฮือๆๆๆๆๆๆๆกลัวแล้ว เจ็บๆๆๆ” เป็นเสียงเด็กผู้ชายอายุคงไม่มากนักไม่น่าเกิน สิบขวบ
( อ่านต่อด้านล่าง)