แชร์ประสบการณ์ความรักครั้งใหม่ ซึ่งครั้งนี้อายุเลข 3

ก่อนหน้านี้ก็หลายปีแล้วที่ผมตั้งกระทู้เก่าไว้ค่อนข้างนานมาก จนผมห่างหายจากโซเชียวไปนาน แล้วก็อายุเข้าเลข 3 ผมยังติดตามสาระ และ มุมมองความคิดของหลายๆกระทู้เหมือนเดิม บางอันก็ชอบก็อ่านแล้วคิดไปในใจ อยากให้ชีวิตเราเรียบง่ายแบบคนอื่นๆเขา แต่ก็ไม่มีปัจจัยจะทำได้แบบนั้น (เพราะจน)

ผ่านจากเหตุการณ์นั้นมาเกือบ 3 ปี ตอนนี้อายุเลข 3 นำหน้ายังคงไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง ยังอยู่ดูแลพ่อ มีรถของตัวเองทั้งมอไซร์ และ รถเก๋ง ก่อนหน้าที่จะมาเล่า ผมอยากเล่าย้อนไปก่อนหนึ่งปีก่อนหน้านี้ช่วงที่ชีวิตไม่มีอะไรทำ ไม่ได้ทำแม้กระทั้งงานประจำ ที่อยู่ได้โดยไม่ทำงานอยู่ด้วยบุญเก่าที่เก็บมาแรมปี อยู่เฉยๆนอนตื้นสายได้ ไม่ต้องรีบอาบน้ำไปทำงาน เพื่อไปรถติดรถถนน หรือ MRT BTS คนเยอะๆ

แต่เป็นชีวิตที่ไม่อยากให้ใครก็ตามต้องมาใช้แบบนี้ เพราะมันไม่มีอนาคต เงินมีเก็บใช้ไปก็ต้องหมด แน่นอนว่าคนเราไม่ทำงาน จะขอใครเขากินคงไม่ได้ จะมาเป็นภาระพ่อตัวเองก็น่าเกลียด ผมคิดแบบนี้ เพราะผมไม่อยากให้ท่านต้องลำบาก เริ่มเรื่องด้วยผมตื้นมาวันนึ่งเห็นประกาศรับสมัครงานของบริษัทหนึ่งเป็นออเกไนท์พอมีชื่อเสียงแถวๆคลองตัน ในตอนนั้นผมคิดว่าเงินในบัญชีก็เหลือน้อยลงมาก เลยตัดสินใจไปทำงานกับบริษัทนั้น ในตำแหน่งของผู้ช่วยโปรเจ็ค ซึ่งตอนนั้นผมพอมีประสบการณ์จากที่เก่ามาบาง และก็ทำงานเรื่อยๆ จนกระทั้งมาลาออกเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา แต่เนื่องจากผมยังไม่ได้หางานสำรอง ผมก็ทำงานอื่นๆประกอบไป รถมอไซร์ที่บ้านของผมเองมี 2 คันผมเอาคันเล็กสุดไปวิ่งรับส่งเอกสารให้กับ App หนึ่งสีเขียวๆ ก็โดนโกงเงินอีก ทั้งได้ครบ และ ได้ไม่ครบ หนักสุดคือโดนปิดบัญชีทั้งๆที่มีเงินเครดิสเหลือใน App นั้นเกือบหมื่นบาท ร้องเรียนไปก็ไม่ได้ ผมก็ทำใจและเลิกการติดตาม

ในตอนช่วงที่ก่อนจะไปทำส่งเอกสาร เป็นช่วงที่ผมว่างมาก คือตื้นมาไม่มีอะไรทำ วันนึ่งตัดสินใจลองเสี่ยงหาเพื่อนคุยกันทางเว็ปเว็ปนึ่งโดยที่ครั้งนี้ผมตัดสินใจลงไปว่า อยากได้เพื่อนคุยที่อายุใกล้เคียงกัน และ เป็นคนกวนๆเหมือนกัน เหมือนคิดในใจตอนนั้นว่า จะมีเหรอวะ ใครอายุเลข 3 แล้วจะมาแก่ มาโสดวนไปได้แบบเราๆ มันคงจะไม่มีหรอก เหมือนพระเจ้าได้ยินเสียงบ่นผมนั้นแหละ เลยประทานตัวจี้สๆ มาให้ 3 คน

คนแรกอายุ ชื่อ B...... 23 เพิ่งเรียนจบ ทำงานธนาคาร ไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชายมาก่อน และ บุคลิคเหมือนเด็ก
คนสองอายุ ชื่อ M...28 เรียนไม่จบ ที่บ้านทำกิจการส่วนตัว บุคลิคเหมือนเด็กเสี่ย
คนสาม ชื่อ K.. อายุ 32 เรียนจบ ปริญญาโท ทำงานออฟฟิต บุคลิตเหมือนถอดแบบผมออกไปเป็นเวอร์ชั่นผู้หญิง

ผมคุยกับทั้งหมดที่แอดๆมา แต่คุยไปคุยมา คนที่ไม่คุยผมก็ตัดออกไป เหลือแค่ 3 คนนี้ที่เหมือนว่าจะคุยกันปกติ และคุยกันตลอด น้อง B ส่วนมากจะคุยหลังเลิกงาน คือกลับบ้านช่วงหลัง 3 ทุ่ม ส่วนน้อง M ก็ช่วงแทบจะตลอดทั้งวัน และ K ถ้าว่างก็คือคุยกันตลอด มาจุดหักมุมตรงที่ วันนึ่งผมสัมผัสได้ถึงความเยอะจากน้อง M ทั้งเรื่องชอบถ่ายรูปส่งมา และ คำพูดต่างๆ เช่น มากินเหล้าเป็นเพื่อนหน่อย หรือ จะมากรุงเทพให้เราไปหา ทั้งหมดรู้สึกเหมือนการบังคับ ว่าจะต้องผูกมัดกับเขาไปแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่ได้เจอกันเลยดีกว่า พูดเหมือนความเป็นเจ้าของในตัวผมเอง และ เหมือนจะเอาแต่ใจมาก บางครั้งผมออกไปทำงานก็จะต้องเอาแต่ใจโดยการ ทำไมไม่ตอบเขา เพราะผมทำงาน จะต้องมานั้งโกดนั้งง้อ ทั้งๆที่ก็บอกแล้วว่าทำงานอยู่ไม่สะดวกที่จะคุยถี่ๆถามมาและตอบทันทีเลย ก็เลยจะต้อง ตัดออกจากชีวิตไปทันที

ต่อมาเหลือ 2 คน ซึ่ง K เองก็คุยตลอดทุกวันปกติ และ ผมก็คุยตอบตลอดตอนที่ว่าง ตอนไหนไม่ว่างก็บอกว่าทำงานอยู่ ส่วนน้อง B ก็เช่นกันเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร แต่เหมือนตอนนั้นผมตัดสินใจคุยกับ K มากกว่าเป็นส่วนใหญ่ นิสัยไม่ดีเริ่มครอบงำ เพราะน้อง B ทักมา ก็ไม่ได้ตอบ ซ้ำยังลบข้อความออกอีก ทำแบบไม่สนใจอะไร จนสุดท้าย ก็ลบไป เพราะด้วยความคิดที่ว่า อายุ 23 กับ อายุเลข 3 มันไม่แมตกันเลย เราไม่ต้องการคนเด็กกว่ามาใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน และ เราไม้ได้ต้องการคนโลกสวยมาเดินคู่กับเรา เพราะเราก็หยาบ และ เราไม่ได้อยากรู้สึกเหมือนมีคนนินทาว่ากินเด็ก ก็เลยตัดออกไป เหลือแค่ K คนเดียวละ

ที่นี้หลังจากที่คุยแบบธรรมดาๆ ก็มาถึงช่วงที่เริ่มคุยจริงจัง เช่น ตื้นนอน หรือ ก่อนนอน เข้าบ้านกินข้าว ก็คุยตลอด เหมือนว่าเขาก็จะตอบตลอดที่เราทักไป ก็เข้าเรื่องสอบถามอายุ และ อื่นๆตามเรื่องไป ก็ได้ความว่า จบปริญญาตรี ที่..... และ โท ที่ ..... พ่อค่อนข้างมีอำนาจพอสมควร และ แม่ก็ค่อนข้างรักลูกสาวพอสมควร ทั้งคู่หัวโบราณ และ ให้อิสระลูกสาวตัดสินใจทำอะไรก็ตาม โดยที่จะไม่ยุ่ง หรือ เข้ามาบังคับ แต่จะปรึกษาได้ มาทำงานอยู่กรุงเทพก็หลายปี เคยมีแฟนมาทั้งหมด 3 คนที่เรียกว่าแฟน และ คนรุมจีบอีกนับสิบ แต่ผมในตอนนั้นคิดว่า แค่วุฒิ ก็ต่างกันแล้ว ผมตรี นั้น โท และ ไหนจะประวัติคร่าวๆของที่บ้าน ฐานะก็ต่างกัน นั้นมีอำนาจเต็ม แต่นี้บ้านผมไม่มีอำนาจอะไรขนาดนั้น

เชื่อมั้ยว่า คุยกันแรกๆ ผมแค่สอบถาม และ ดูท่าทีว่า ถ้าคนเราตอบกันตลอด หรือ คุยกันตลอด นั้นคือเขามีความสนใจในตัวเราระดับนึ่ง จะพัฒนาสถาณะไปทางไหนนั้นอยู่ที่เราเองล่วนๆ โอเคในเมื่อคุยกันมาได้สักพักละ ซึ่งครั้งแรกที่เขาแอดมา ผมกำลังไปกินไอติมแถวๆตลาดพลูอยู่ ก็ถ่ายรูปส่งยียวนไป ช่วงประมาณ 4 ทุ่ม เขาก็ถามดึกขนาดนี้จะแด... อีกเหรอ ผมก็ตอบไป เออก็มากับเพื่อนๆกันหลายคน มาก็กินวนเวียนแบบนี้ประจำตามประสาคนขับรถมอไซร์เล่นไปเรื่อยๆ หลังจากวันนั้นก็ผ่านมาได้สักพักนึ่ง ก็เริ่มคุยลงลึกว่าเคยผ่านความรักแบบไหนมา ผมก็แลกเปลี่ยนกันตามเรื่องกันไป

ผ่านมาได้หลายวันจนมีความรู้สึกว่า เออใช่วะ อยากลองเจอตัวจริง เอาหนังหน้าอันแสนอัปปรีย์ ที่ไม้ได้ผ่านเลเซอร์หมอ หรือ ครีมบำรุงใดๆของข้าพเจ้านี้แหละ ไปปะทะกับหน้าสวยๆ ใสๆ ของเขาสักทีดิ ก็โอเควันแรกหลังเขาเลิกงาน ผมนัดเจอกันที่ห้างใกล้ๆบ้านสีเหลืองๆ เขานั้ง MRT มา พร้อมกับชวนกันไปกินข้าวเย็นกัน ซึ่งไม่ได้มีฟิวความรู้สึกแบบตื้นเต้นแบบนี้มานานแล้ว หล่อนก็เดินลงมาจากหน้าห้าง พร้อมกับมองหา ว่าผมนั้งรออยู่ตรงไหน ก่อนจะเห็นแล้วเดินตรงเข้ามา พร้อมประโยคทักทายแบบกวนๆว่า " มาหาใครครับ " แล้วพากันไปกินข้าวด้วยกัน ครั้งแรกของการกินข้าวด้วยกัน หยิบช้อนให้ เอากระดาษทิชชูเช็ดเหงื่อให้เพราะเห็นว่าเขาเหมือนจะไม่สบาย  ก่อนกลับแวะซื้อยาอม และ ทิชชูซองให้ เพราะเหมือนจะเป็นไข้และเขาขอกลับรถเมย์เอง เพราะผมไม่ได้ใส่หมวกกันน็อตออกมาจากบ้าน ทุกอย่างแลดูราบรื่นดี และ เหมือนจะไม่มีปัญหาอะไร กลับถึงห้องเขา เราก็คุยกันจนดึกแล้วแยกย้ายกลับไปนอน

ผ่านไปได้อีกเกือบๆ อาทิตย์นึ่ง ผมเริ่มๆถามใจตัวเองว่าชอบเขามั้ย ถ้าชอบก็รักษามิตรภาพและสิ่งดีๆไว้ ก่อนจะพัฒนามันไปเรื่อยๆ แบบไม่ต้องรีบ คิดโจทย์มาในหัว ตอบคำถามเองในหัว เออว่าก็รู้สึกชอบๆ จากที่คุยกันมาได้เกือบเดือน แต่ยังบอกอะไรชัดเจนได้ไม่มากนัก แต่ก็ไม่ได้คุยกับใคร หรือ หาคนอื่นคุยก็คุยกับเขาคนเดียวต่อนี้แหละ ในช่วงนั้นก็เป็นช่วงที่แบบ ผมเริ่มจะออกไปทำงานออกไปส่งเอกสาร ระหว่างรอสมัครงานเล่นๆอีกรอบ ก็บอกเขานะ ว่าผมออกไปทำงานเสริมนะ เขาก็ได้แค่บอก เออระวังๆนะ อย่าทำไรปรี้ดปราด เหมือนเด็กอายุ 18 - 19 พูดไปก็ขำไป ต่างฝ่าย ต่างกวนเท้ากันทั้งตู่ จนกระทั้งเป็นแบบนี้วนไป จนมานัดเจอกันอีกครั้งที่เดิม แล้วก็ไปเดินเล่นซื้อของใช้ แต่เดินไปก็คุยไป ถึงได้รู้เรื่องที่ผ่านมาแบบคร่าวๆ ของแต่ละคน ผมก็เล่าเรื่องของผม ผู้ชายสายเป ผู้ชายสาย-หญ้า เขาก็เล่าของเขา ผู้หญิงสายถึก สายกระสอบทราย และอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้เล่าทั้งหมด มานั้งกินของว่างด้วยกัน ถึงได้รู้ว่าที่บ้านค่อนข้างจะใหญ่นิดๆ และเรื่องอื่นๆ

ซึ่งทั้งหมดที่คุยกันตอนนั้น ทำให้เกิดการเปรียบเทียบระหว่างตัวผมอันแสนกระจอก และ ตัวเขาที่ดูแบบอยู่สูงชิบ*** จะเอื้อมไป ผมจะเจ็บมั้ยถ้าตกลงมา รวมทั้งหน้าตา และ รูปร่างก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไรเลย การศึกษาก็ดี ภาษาก็ได้ และไหนจะงานการที่ทำ หลักเงินเดือนที่ได้ ซึ่งผมเคยอ่านกระทู้หลายๆท่านที่ชอบถามว่า เมีย และ ผัว เรื่องเงินเดือนเมียมากกว่าผัว เมียจะเลิกกับผัวแบบนี้ดีมั้ย พอมานั้งนึกกระทู้เหล่านั้นจากชาวดาวพันทิพ แล้วทำไมผมเองจะต้องมาเจอคำถามแบบนี้กับตัวเองวะ มันจะเอาผมมั้ยละ แบบนั้นแบบนี้ คิดแล้วเคลียดแต่ไม่แสดงออกนะ แต่ยิ้มไปแสดงออกตอนที่เขาถึงบ้าน แล้วแชทคุยกันเรื่องนี้แหละ ว่าเราต่างกันชิบ*** ขนาดนี้ แล้วจะไปกันรอดมั้ยวะ ได้คำตอบที่ได้อะ มันเบาใจลงนะ เขาก็บอกว่า ผมเองเป็นคนขยัน และ ไม่ยอมแพ้อะไร แต่จะเสียที่มีอะไรไม่ชอบพูด เพราะคนเราคบกัน มีอะไรไม่สบายใจก็ควรจะบอกให้อีกคนรู้ เขาก็เทศต่อว่า สมัยก่อนพ่อเขาก็เป็นแบบผมนี้แหละ อาศัยว่าขยันทำงาน รักแม่เขามากไม่นอกใจ จนได้ดี แต่ไม่มีเงินไปขอแม่เขา แต่แม่ยายก็ยกให้เพราะเห็นเป็นคนขยัน

ผมคนฟังก็มาคิด นั้นมันจะ 30 กว่าปีแล้วโว้ย ที่พ่อแกไปขอแม่แก เขาไม่มี แต่ยุคนี้มันยุคเงินแลกชื่อเสียง ศักดิ์ศรี และ อื่นๆ เขาคงจะยอมแกหรอกที่จะยกให้ฉันถ้าฉันจะไปขอแกจริงๆอะ พูดไปก็หัวเราะไป ผมไม่เคลียดเลยเวลาคุยเรื่องเคลียดๆ เพราะเขาชอบทำให้เป็นเรื่องตลก เรื่องเล็กๆ และกวนเท้าวนไปแบบนั้นแทบทุกครั้ง ในเมื่อเขาบอกมาแบบนี้ว่าเราสบายใจได้ มันไม่เป็นแบบที่เราคิดมากแน่นอน และ เชื่อว่าผมขยัน ก็โอเคผมก็ตัดสินใจคุยต่อไป และก็กวนตรีนวนต่อไปทุกวันแบบเดิม

จนกระทั้งผ่านมา จะ 1 เดือนเต็มๆ ช่วงใกล้ๆสิ้นปี เป็นช่วงที่วันลาใครก็ตามที่ยังเหลือจะหมดอายุ ผมก็ถามไปว่าวันลาเหลืออะ มันไม่ได้ทบกับปีหน้านะแก เขาก็บอกจะลากลับบ้านพอดี จองตั๋วเครื่องไว้เรียบร้อย กลับวันที่ 25 ตอนเช้า ผมก็โอเคถามว่าไปส่งมั้ย ก็ตอบกลับมาแบบน่ารัก ไม่ต้องอะ เดียวร้องไห้ไม่อยากกลับ เลยถามใครร้อง ? เขาก็ตอบ Gu เนี้ยจะร้องเดียวไม่อยากกลับ เสียดายเงิน ก็เลยโอเค ไม่ไปก็ไม่ไป แต่ในใจผมตอนนั้น คือตั้งใจจะไปต่างจังหวัดพอดีเหมือนกัน ก็ขับรถไปดอนเมืองเพราะนั้นก็ทางผ่านจะไปต่างจังหวัด ไปรอแถวๆที่จอดรถ ดูว่าเขาจะแชทมาว่า ลืมอะไร หรือ อะไรหรือเปล่า ถ้าลืมจะได้รีบไปซื้อให้ก็รอแถวๆนั้นแหละ เครื่องออกค่อยขับรถไปต่อ เขาก็ไลท์มาบอก เออแกไอ้คนที่ฉันคุยๆอะ ก่อนหน้าแกอะ ฉันบอกมันไปแล้วนะ ว่าฉันมีแฟนละ ผมก็งง ใครวะ ? เขาก็บอก ในช่วงที่คุยกันมาตั้งแต่ต้นเนี้ย เขาก็มีคนคุยด้วยแหละ แต่ได้คุยกับผมแล้ว เขาไม่คุยกับใครอีก จนแบบบางที่ทักมาไม่อ่าน แล้วก็ลบวนไป แบบนี้ทุกคน แล้วก็บอกว่า มีอยู่คนนึ่งมันไปดูในทามไลน์ของเขา แล้วแบบเห็นว่าผมไปกดให้ทุกอัน บางอันคอมเม้นท์คุยกัน เขาก็เลยถามว่า ผมคือใคร ยัยคนนี้ก็เลยหัวเราะยาวไป 5 เกือบร้อยตัว ก่อนจะเงียบไปปับเกือบๆ 30 นาทีแล้วก็ตอบกลับแบบเลือดเย็น อ้อ แฟน K เองอะพี่

ผมก็งงหนัก อ้าวแล้วสรุป Gu ทำไรผิดเปล่าวะเนี้ย ไปแย่งใครเขามาแบบรอบที่แล้วโดยไม่รู้ตัวเปล่าวะ คิดแล้วใจเริ่มตกไปตาตุ๋ม เขาก็บอก บ้าเหรอ แกไม่ผิดไรเลย มันอะผิด ผิดที่คุยกับฉันแล้วหายๆไปเองเว้ยแก และฉันก็มีความสุขกับแกมากกว่าเยอะมากด้วย ที่จริงทักมาหลายรอบละตั้งแต่เจอแกอะ ฉันก็ไม่ได้ตอบพี่เขานะ แต่ก็สรุปบอกไปละ ว่าแกอะแฟนฉัน

ตอนแรกก็อ้อเหรอๆ แต่พอมาอ่านดีๆ มันบอกว่า แกอะแฟนฉันปับ ผมก็อ้าว นี้สรุป Gu เป็นว่าที่สามีแล้วใช่ปะ ? แบบงงๆ ตอนแรกกะว่า มันกลับมาช่วงปีใหม่ก่อนวันเกิดผมตั้งใจไง จะทำเซอร์ไพร่ในวันเกิดผมไงว่า เออเป็นแฟนกับฉันนะ จู่ๆดันชิงบอกก่อน แผนพัง เพราะจองร้านอาหารย่านสุขุมวิทไว้ละ พร้อมเซอร์ไพร่เล็กๆในร้านที่เตี้ยมไว้กับพนักงาน โอเคสรุปแผนล่ม ไม่เป็นไร แต่ฉันได้แฟนละ ที่นี้ก็เป็นช่วงเขากลับไปปีใหม่ ผมก็ไปปีใหม่ที่บ้านผมเอง เพื่อไปสวดมนตร์ข้ามปี ทั้งๆที่บุคคลิคผมน่าจะไปกวาดลานวัด หรือ ขับมอไซร์รับจ้างมากกว่า ก็เซอร์ไพร่ปีใหม่ อัด VDO ส่งไปบอก เออจะดูแลให้ดีที่สุดนะ ไม่เคลียด ไม่อะไรนะ จะพยายามทำตัวให้คู่ควรกับแกให้ได้ แล้วน้ำตาก็ไหล

ที่ไหลไม่ใช่เพราะอะไร เพราะบางเรื่องมันไม่ได้ใช้แค่การกวนตรีนวนไปจนเกิดความหัวเราะ และ ความฮา แต่มันมีอะไรที่ลึกกว่านั้น เดียวมาพิมตอนที่ 2 ครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่