ในช่วงเกือบเย็นของวันธรรมดาวันหนึ่ง ผู้เขียนได้รับเกียรติจากทาง Smallroom เชิญชวนให้ทดลองฟังงานอัลบั้มเต็มชุดใหม่ที่จะวางแผงในงาน Cat Expo 3D ในช่วงวันที่ 4-5 กุมภาพันธ์นี้ ถึงที่ทำการค่าย Smallroom ซึ่งส่วนตัวตามข่าวอยู่ เลยพอรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของวงน้องใหม่ที่ฟอร์มวงในนามนี้กันราว ๆ สองปีเท่านั้น นั่นคือ Two Pills After Meal จึงไม่ลังเลที่จะตอบรับและไปถึงค่าย และยิ่งรู้ว่าทางวง (ประกอบด้วย เติ้ล-คัมภิรดา แก้วมีแสง และ โอม-ทัศนัย สมบัติธีระ) จะมาพูดคุยพร้อมแนะนำเพลงในอัลบั้มด้วยตัวเอง ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นไปอีก ที่จะได้ฟังคำบอกเล่าจากเจ้าของเพลงเอง สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าขอทำบทความนี้ให้เป็นลักษณะการแนะนำกึ่งสัมภาษณ์บอกเล่าคร่าว ๆ เกี่ยวกับตัวเพลง พร้อมเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับแต่ละเพลง หรือการทำงานโดยรวม



เกริ่นนำเกี่ยวกับ Two Pills After Meal

Two Pills After Meal เป็นวงดนตรีใหม่ล่าสุดของ Smallroom ก็จริง แต่ดั้งเดิมนั้นทั้ง เติ้ล-คัมภิรดา แก้วมีแสง และ โอม-ทัศนัย สมบัติธีระ คืออดีตสมาชิกวง When วงในค่ายที่เคยมีงานเพลงอย่าง ไม่คิดอะไร ใกล้ๆ ก่อนที่วงดนตรีนี้จะแยกย้ายกันไป โดยสองสมาชิกยังตัดสินใจทำงานต่อเป็นศิลปินในสังกัดนี้ โดยทั้งคู่ต่างมีความสามารถในการร้องเพลงอยู่แล้ว เพราะแต่เดิมวง when เป็นวงที่สมาชิกทั้งวงสามารถร้องประสานกันได้อย่างลงตัว แต่ปัญหาคือ เติ้ล เป็นมือคีย์บอร์ด ส่วน โอม เป็นมือกลอง การจับคู่กันครั้งนี้จึงเป็นงานยากเล็กน้อย สุดท้ายพวกเขาก็ลงตัวกันที่การทำงานแค่สองคน โดยเติ้ลรับผิดชอบในส่วนทำนองทั้งหมด คือคีย์บอร์ด ซินธ์ รวมถึงเล่นเบสจากคีย์บอร์ด ส่วนโอมก็จะรับหน้าที่ในส่วนจังหวะนั่นคือกลองทั้ง กลองชุดปกติ รวมถึงกลองไฟฟ้า และการร้องก็จะเป็นการร้องประสานกันทั้งสองคนตลอดเพลง

ทำไมต้อง First Kit

ทางวงบอกเล่าว่าเนื่องจากชื่อวง รวมถึงเพลงที่ออกมาตอนแรกนั้นเกี่ยวกับยา และการรักษา และเมื่อต่อยอดเป็นอัลบั้ม คำว่า First Kit ที่แปลว่าชุดปฐมพยาบาลจึงถูกใช้ในการจำกัดความอัลบั้มนี้ รวมถึงเพลงในอัลบั้มแต่ละเพลงก็เปรียบเหมือนยาแต่ละขนานที่ต่างกันไป เนื้อหาแต่ละเพลงจะพูดถึงเรื่องหรือมุมที่ต่างกัน
ขณะเดียวกัน คำว่า Kit ใน First Kit ก็สอดคล้องกับคำว่า คิด ในภาษาไทย คือเป็นงานที่คิดออกมาชุดแรกของวง เป็นความคิดแรก เป็นความสดใหม่ของวง ซึ่งก็สอดคล้องกับทั้ง 13 เพลงในอัลบั้มนี้ก็เป็นเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้นตลอดตั้งแต่ฟอร์มวงจนปิดอัลบั้มล้วน ๆ โดยไม่มีการแต่งมาเยอะแล้วตัดเพลงออกแต่อย่างใด



ก่อนจะถึง Weekend
ถ้าหากใครรู้จักหรือตามวงนี้อยู่ก็อาจจะสงสัยว่าทำไมหลังจากเพลง รฟท PROMPT ทางวงถึงหายไปพักใหญ่ และกลับมาพร้อมเพลง Weekend ที่ทางดนตรีแตกต่างออกไปจากสองเพลงแรกระดับหนึ่ง เมื่อได้ลองถามคำถามนี้ไป ทางวงก็บอกเล่าถึงการหายไปและที่มาอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง
หลังจากที่ทางวงปล่อยออกมาสองเพลงในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น พวกเขาก็เริ่มออกหาประสบการณ์ด้วยการเล่นสดทันที และนำมาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการทำงานหลายอย่าง โดยในช่วงแรกก่อนที่พวกเขาไปเล่นสดนั้น ก็มีเพลงที่ทำไว้สามเพลง แต่พอพวกเขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์แล้วกลับมาแต่งเพลงอีกครั้ง ก็ได้เพลงอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีทางแตกต่างออกไป และ Weekend ก็คือหนึ่งในนั้น

Track-by-track Preview*
^{* รายละเอียดเพลงในกระทู้นี้เป็นการพรีวิวอัลบั้มจากการได้ฟังแค่ครั้งเดียว ผสมข้อมูลที่ได้จากการสอบถามศิลปิน ไม่ใช่การวิจารณ์แต่อย่างใด}



1. รฟท PROMPT
เป็นเพลงที่หลายคนน่าจะเคยฟังกันอยู่แล้ว ด้วยดนตรีของเพลงนี้ที่ทางวงเรียกว่า ดนตรีชนเผ่า เป็นการเลือกเปิดอัลบั้มที่ดี ด้วยเนื้อหาของการพร้อมและก้าวออกไปทำสิ่งที่ต้องการ
2. ดาวอังคาร TICKET TO MARS
ทางวงเล่าว่าเพลงนี้เน้นขายความเป็นวงสองชิ้น จังหวะสนุกสนาน ถึงจะไม่ได้มีจังหวะแบบดนตรีชนเผ่าแบบเพลงอื่น แต่วิธีการร้องประสานเป็นท่อนสร้อย ก็โดดเด่นอยู่
3. WEEKEND
ซิงเกิลที่สามของวง ที่แอบบอกเราว่าวงนี้ไม่ได้มีแค่ดนตรีชนเผ่านะ (และพอฟังจบทั้งอัลบั้ม ก็พบว่าไม่ได้มีแค่นั้นจริง ๆ ด้วย) เพลง Weekend จัดเป็นเพลงเด่นเพลงหนึ่งของวง
4. สาย ONCE
เป็นเพลงป๊อบเน้นเสียงซินธ์ สดใส ๆ ฟังแล้วแอบนึกถึงซาวด์ดนตรีของ 15th Scenery วงรุ่นพี่ในค่ายอยู่นิดหน่อย เพลงพูดถึงเนื้อหาลบ คือพูดถึงคนที่คิดจะทำอะไรแต่มันสายไปแล้ว แต่ด้วยดนตรีสดใสที่ใช้ก็ทำให้เพลงดูเป็นบวก ขัดกันอย่างลงตัวดี
5. เสียงรบกวน DISTORTION
เป็นหนึ่งใน 3 เพลงที่ทำมาตอนแรกเริ่มวง ดังนั้นจังหวะจึงเป็นดนตรีชนเผ่าชัดเหมือนเพลง รฟท เนื้อหาพูดถึงสิ่งหรือคำพูดที่มากวน มาทำร้ายจิตใจเรา แล้วยังอยู่ในใจซ้ำ ๆ สอดคล้องกับวิธีการใช้คำซ้ำในเพลง ที่ขยี้อีกขั้น
6. เข็มฉีดยา VACCINE
เพลงแรกที่ทำให้เรารู้จักวงนี้ การเอาเพลงที่มีจังหวะแบบดนตรีชนเผ่ามาต่อกันแบบนี้ก็ว่าเนียนแล้ว และเนื้อหาที่วางต่อกันเนียน ๆ ยิ่งทำให้เวลาเปิดไล่มาเรื่อย ๆ แล้วชอบมากขึ้น



7. หายใจ DROWN Feat. BIRD (Desktop Error)
ดนตรีดิ่งลง เจตนาทำให้สุดทางแบบดนตรี Post-Rock จึงเป็นเพลงเดียวที่มีซาวด์กีตาร์มาช่วยขยายความหม่นและเศร้าของเนื้อหาเพลงให้มากขึ้น และมือวางอันดับต้น ๆ ของดนตรีแนวนี้ ก็ต้องเป็น เบิร์ด มือกีตาร์ Desktop Error เท่านั้น ซึ่งซาวด์ที่เบิร์ดเข้ามาเสริมก็ช่วยให้เพลงไปสุดทางจริง ๆ อีกจุดคือการวางเพลงนี้อยู่หลัง เข็มฉีดยา ที่จบแบบตัดห้วน ทำให้พอเพลงนี้ขึ้นมา อารมณ์ของอัลบั้มก็ดิ่งลงโดยง่าย หากใครยังชอบฟังเพลงแบบเรียงตามอัลบั้มอยู่ ก็แนะนำให้ฟังต่อ ๆ กันจนถึงเพลงนี้เลย
8. เงียบ SAY SOMETHING
ที่มาของเพลงนี้มาจากแนวคิดที่ว่า "เวลาคนสองคนทะเลาะกัน ความเงียบอาจไม่ใช่ทางออกที่ดี" เป็นเพลงที่ป๊อบมากเพลงหนึ่ง เสียงร้องกลองและซินธ์ถูกปรับแต่งเสียงให้เก่า ๆ วินเทจแบบซินธ์ป๊อบยุคเก่าเล็กน้อย
9. ทนไม่ไหว I C U
เพลงนี้โอมเป็นคนแต่ง และทางเติ้ลก็ให้เสียงร้องของโอมเป็นเสียงหลักของเพลงนี้บ้าง จังหวะแอบนึกถึงดนตรีชนเผ่าอันเป็นจุดขายของวง แต่ก็มีการเบลนด์กับความป๊อบและแดนซ์มากขึ้น มีบีทแบบฮิปฮอป เนื้อหาพูดถึงความคิดถึงที่มากจนทนไม่ไหว
10. DOMINO
เปรียบเทียบกับสังคมสมัยนี้ ที่เวลาในสังคมออนไลน์มีอะไร คนฟังก็กระโดดตามกันไป ที่เหมือนโดมิโนที่ตั้งเรียงต่อกัน พอมีการขยับให้ตัวหนึ่งล้มทีก็ระเนระนาดกันเร็วเกินไป ทางวงแต่งมาเพื่อไม่อยากให้เชื่ออะไรเร็วเกินไป เพลงจังหวะเร็วที่สุดของอัลบั้มนี้ สนุก เสียงซินธ์น่ารักนุ้งนิ้งดี เพลงนี้ทางวงพยายามเน้นให้เบสและกลองเด่น
11. COME ON
เนื้อหาเพลงนี้ตรงตัวคือให้กำลังใจ เชิญชวนให้มาอยู่ด้วยกัน มาปรึกษา มาบอกเล่าให้ฟัง ทางวงเจตนาใส่เสียงคล้ายหวูดรถพยาบาล คล้ายสัญลักษณ์แทนว่าตนจะเข้าไปช่วยดูแล เหมือนรถพยาบาลที่เข้าไปหาคนเจ็บป่วย เป็นอีกเพลงที่เน้นเสียงซินธ์สดใสมาก
12. REFLECT
เป็นเพลงบรรเลงเพลงเดียวของอัลบั้มนี้ เพลงนี้มีการผสมผสานเครื่องดนตรีกันระหว่างเก่าไปใหม่ เพราะตอนที่ทั้งคู่อยู่วง when เติ้ลมาจากสายมือเปียโนคลาสสิก โอมเป็นมือกลองที่เล่นกลองชุดปกติ พอมาเป็น two pills ทั้งคู่ได้เปลี่ยนมาเล่นซินธ์ และกลองไฟฟ้าตามลำดับ การใช้คำว่า Reflect ก็เหมือนเป็นภาพสะท้อนจากอดีตไปปัจจุบันของทั้งคู่
13 อย่าให้เลือนหาย FAREWELL
เพลงสุดท้ายของอัลบั้ม และเป็นเพลงสุดท้ายที่ทางวงแต่งขึ้นมา ใช้เพื่อปิดอัลบั้มและขอบคุณ และอยากให้เก็บเป็นความทรงจำไว้ อย่าให้เลือนหายไป มีความเป็นบัลลาด



ภาพรวม
อัลบั้มนี้ทำงานกันเองสองคน โดยมีผู้ช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง เช่นพี่รุ่ง พี่นิ้ม โปรดิวเซอร์และผสมเสียง แมว The Jukks มาช่วยเขียนบางเพลง การทำงานส่วนใหญ่ของวงจะเริ่มจากการแต่งทำนองเพลงด้วยกีตาร์ให้เพราะให้โดนก่อนจะเรียบเรียงแล้วต่อเนื้อร้อง บางครั้งเวลาวงต้องส่งเดโมให้ทีมงานค่ายฟัง วงจะไม่ได้อัดเสียงส่งมา แต่จะเล่นสดกันสองคนต่อหน้าทีมงานค่ายเลย
พอมาทำเป็นเพลงเต็ม ทางวงก็จะพิจารณาหลายจุดเช่นเพลงนี้มีอารมณ์เน้นไปทางใด เสียงคนนั้นก็จะเด่นกว่าในเพลง ดนตรีจะให้ไประดับใด แค่เล่นกันสองคนสองชิ้น หรือต้องอัดทับกันหลายๆไลน์ หรือต้องใช้เสียงแบบใด ทางวงก็จะพิจารณาตามเพลงไป ไม่มีจำกัดตายตัวว่าต้องทำแค่สองชิ้นเพื่อให้ไปเล่นสดได้เสมอไป ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาคือมีความหลากหลายดีมาก สุดท้ายเพลงทุกเพลงจะผ่านการผสมเสียงโดย นิ้ม-บัญชา เธียรกฤตย์ (Goose, Talkless) ที่ช่วยปรับแต่งให้ลงตัวอีกครั้ง ซึ่งทางวงชื่นชมและให้เครดิตตรงนี้อย่างมาก

สรุป
จากการได้ฟังทั้งอัลบั้มแล้วพบว่าเพลงมีความหลากหลาย แต่ก็มีจุดร่วมที่สไตล์หลายอย่างของวง ทั้งจังหวะจะโคน การร้องท่อนสร้อย การร้องประสาน ยิ่งเพลงที่ยังไม่เคยฟังมาก่อนทำให้รู้สึกมั่นใจว่าวงไม่ได้ตันหรือจบแค่เพลงแนวดนตรีชนเผ่า แต่ผสมผสานดนตรีหลายอย่างลงไปอย่างลงตัว ทั้ง Indie Rock, Synth Pop, Post-Rock ฯลฯ
นอกนั้นส่วนตัวยังไม่สามารถการันตีได้ โดยเฉพาะการแนะนำว่าชอบหรือไม่ชอบ เพราะหรือไม่เพราะ เนื่องจากมีโอกาสได้ฟังแค่ครั้งเดียว ณ Smallroom เลย เพราะวันที่ได้ฟังนั้นเป็นวันหลังจากทางวง Mix and Master เสร็จพอดี แต่หวังว่าสิ่งที่ได้ฟังมา รวมถึงคำบอกเล่าจากทางวงเกี่ยวกับเพลง น่าจะช่วยประกอบการตัดสินใจในการซื้ออัลบั้มนี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย

หมายเหตุ
- ถ้าใครอยากจะอุดหนุนอัลบั้มนี้ น่าจะซื้อได้อีกทีในงาน Cat Expo 3D เลย เพราะว่าจำนวนแผ่นที่เปิดให้ Pre-order ในเพจน่าจะเต็มไปแล้ว แต่ถ้ามีข้อมูลอะไรเปลี่ยนแปลงจากทางค่ายจะแจ้งให้ทราบอีกทีครับ
- ขอบคุณ คุณเติ้ล และคุณโอม Two Pills After Meal สำหรับความเป็นกันเอง การตอบคำถาม และการแนะนำเพลงในอัลบั้ม และขอบคุณน้องกิ๊บเม Smallroom ที่เชิญชวน และช่วยอำนวยความสะดวกทุกด้านครับ