สวัสดีครับ วันนี้จะมารีวิว MBP ปี 2016 เผื่อเป็นข้อมูลสำหรับท่านที่กำลังสนใจครับ
ย้อนไปเกือบ 7 ปีก่อน ผมเพิ่งจะมี Laptop เป็นของตัวเองเครื่องแรก เนื่องด้วยต้องการใช้งานนอกสถานที่บ่อยขึ้น ตอนนั้นจำได้ว่ารวบรวมข้อมูล Laptop ทั้งหมดที่มีขายในไทยมาพิจารณา เข้าออกร้านขายเครื่องเป็นว่าเล่น ทำแบบนี้อยู่ 4 เดือนเห็นจะได้ แต่สุดท้ายมาจบที่ MacBook Pro 2010 13″ ตัวล่างสุด สั่งจากหน้าเว็บ Apple Education Store (เพราะได้ส่วนลดประมาณ 2000 บาท ถ้าจำไม่ผิด) ซึ่งไม่ได้ปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมทั้งสิ้น และสั่ง Invisible Shield มาติดรอบตัว (จำได้ว่าติดเองทุลักทุเลมาก แต่ใช้ทนนานมาเกือบ 7 ปี ปัจจุบันไม่มีขายแล้ว) ตั้งแต่นั้นผมก็ใช้เครื่องนี้เรื่อยมา ไม่เคยเสีย ไม่เคยซ่อม แบตเตอรี่ก็เสื่อมบ้างไปตามกาลเวลาแต่ยังสามารถทำงานบ้าน ๆ ได้ 2 – 3 ชั่วโมง โดยไม่ต้องชาร์จ มองโดยรวมสำหรับผมถือว่าประทับใจ
ปัจจุบันผมมีความจำเป็นที่ต้องใช้งาน Laptop ที่มีสมรรถนะสูงพอสมควร เรียกได้ว่า CPU มีเท่าไหร่ ผมใช้งานเต็ม 100% เนื่องจากอายุของสเปคเครื่องเก่าเทียบกับงานปัจจุบันของผมมันไปด้วยกันต่อไม่ไหว ดังนั้นเจ้าเพื่อนยากก็ถึงวาระของมันแล้วล่ะ (ตอนที่ส่งต่อให้คนอื่นใช้ ใจหายเลยครับ) เหมือนเดิมครับหาข้อมูลก่อนซื้อนานพอสมควร ซึ่งช่วงกลางปี 2016 มี Laptop ที่น่าสนใจอยู่ 2 – 3 ยี่ห้อ ลองไปจับ ๆ ดูแต่ก็ยังลังเล เพราะยังชอบใจ MacBook Pro ในแง่ของคุณภาพวัสดุ งานออกแบบ มันตรงกับรสนิยมผมที่สุดแล้ว และเท่าที่ผ่านมาเพื่อนๆ ผมส่ง Laptop มาให้ผมแกะซ่อมบ่อยมาก เท่าที่ผ่านมือมางานประกอบของหลาย ๆ ยี่ห้อยังไม่ค่อยถูกใจผมเท่าไหร่นัก และก็นึกขึ้นได้ว่า MacBook Pro รุ่นใหม่กำลังจะเปิดตัว สรุปว่ารอเปิดตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน
(ภาพจากวิดีโองาน Apple Events, Keynote October 2016)
หลังจบงานเปิดตัวมีเกิดคำถามเกิดขึ้นมา ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเอารุ่นปี 2015 แทนดีหรือไม่ เพราะประเด็นหลักคือ ราคาเทียบกับสิ่งที่ได้มา…. แต่แล้วผมก็จัด MacBook Pro 2016 with Touch Bar 15″ โดยมีสเปคดังนี้
CPU: Intel i7 2.6 Ghz Skylake (I7-6920HQ)
Ram: 16 GB (LPDDR 2133MHz)
Storage: Apple NAND Flash 512 GB (ปรับเพิ่มจาก 256 GB)
Graphic: Radeon Pro 450 GDDR5 2 GB
Display: 15-inch Retina
คราวนี้ผมสั่งผ่านเว็บ Apple Education Store เหมือนเคย สะดวกรวดเร็วไว้ใจได้ ปกติแล้วเครื่องที่มีการปรับแต่งสเปคต้องรอนานกว่าปกติ 3 – 4 วัน เพราะต้องปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนภายในเครื่องตั้งแต่ที่โรงงานเลย (เรียกว่า Custom to order หรือ CTO) อีกทั้งรุ่นนี้เพิ่งเปิดตัวมาไม่นานทำให้โรงงานอาจจะผลิตช้าเกินกว่าความต้องการ ทำให้ระยะเวลารอเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ ๆ 5 สัปดาห์ (ปกติถ้าผลิตทัน และสั่งแบบ CTO ระยะเวลาจัดส่งไม่น่าจะเกิน 5 – 8 วัน ของน่าจะถึงมือ) แต่สุดท้ายของก็มาถึงก่อนกำหนด 7 วัน ผมสั่งไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2016 หน้าเว็บแจ้งว่าจะถึงมือประมาณ 22 ธันวาคม 2016 แต่ของมาส่งวันที่ 15 ธันวาคม 2016 ซึ่งทาง DHL ก็โทรมานัดรับตามปกติ
(สังเกตว่าเครื่องประกอบวันที่ 12 ผมได้เครื่องวันที่ 15… ระบบ Supply Chain ของ Apple นั้นแข็งแกร่งจริง ๆ)
รุ่นนี้มีให้เลือก 2 สี Silver และ Space Grey… ครั้งแรกที่เห็น Space Grey ผมว่ามัน Cool มากเลย แต่ผมกลับสี Silver เพราะว่ามันดู Classic กว่า ในกล่องมีมาแค่ตัวเครื่อง MacBook Pro, Power Adapter, สายชาร์จแบบ USB-C, คู่มือและสติ๊กเกอร์แอปเปิล ไม่มี Extend Power Cord แบบรุ่นก่อนแล้ว ต้องซื้อแยก ข้อดีของ Power Adapter รุ่นนี้คือสามารถถอดแยกกับสายชาร์จได้เหมือนกับ iPhone ครับ น่าจะช่วยยืดอายุสายให้นานขึ้นได้บ้าง ถึงสายพังก็เปลี่ยนแค่สาย ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งชุดแบบแต่ก่อน
[CR] [Review] MacBook Pro 2016 with Touch Bar 15 inch – เมื่อแอปเปิลพยายามเริ่มต้นใหม่
ย้อนไปเกือบ 7 ปีก่อน ผมเพิ่งจะมี Laptop เป็นของตัวเองเครื่องแรก เนื่องด้วยต้องการใช้งานนอกสถานที่บ่อยขึ้น ตอนนั้นจำได้ว่ารวบรวมข้อมูล Laptop ทั้งหมดที่มีขายในไทยมาพิจารณา เข้าออกร้านขายเครื่องเป็นว่าเล่น ทำแบบนี้อยู่ 4 เดือนเห็นจะได้ แต่สุดท้ายมาจบที่ MacBook Pro 2010 13″ ตัวล่างสุด สั่งจากหน้าเว็บ Apple Education Store (เพราะได้ส่วนลดประมาณ 2000 บาท ถ้าจำไม่ผิด) ซึ่งไม่ได้ปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมทั้งสิ้น และสั่ง Invisible Shield มาติดรอบตัว (จำได้ว่าติดเองทุลักทุเลมาก แต่ใช้ทนนานมาเกือบ 7 ปี ปัจจุบันไม่มีขายแล้ว) ตั้งแต่นั้นผมก็ใช้เครื่องนี้เรื่อยมา ไม่เคยเสีย ไม่เคยซ่อม แบตเตอรี่ก็เสื่อมบ้างไปตามกาลเวลาแต่ยังสามารถทำงานบ้าน ๆ ได้ 2 – 3 ชั่วโมง โดยไม่ต้องชาร์จ มองโดยรวมสำหรับผมถือว่าประทับใจ
ปัจจุบันผมมีความจำเป็นที่ต้องใช้งาน Laptop ที่มีสมรรถนะสูงพอสมควร เรียกได้ว่า CPU มีเท่าไหร่ ผมใช้งานเต็ม 100% เนื่องจากอายุของสเปคเครื่องเก่าเทียบกับงานปัจจุบันของผมมันไปด้วยกันต่อไม่ไหว ดังนั้นเจ้าเพื่อนยากก็ถึงวาระของมันแล้วล่ะ (ตอนที่ส่งต่อให้คนอื่นใช้ ใจหายเลยครับ) เหมือนเดิมครับหาข้อมูลก่อนซื้อนานพอสมควร ซึ่งช่วงกลางปี 2016 มี Laptop ที่น่าสนใจอยู่ 2 – 3 ยี่ห้อ ลองไปจับ ๆ ดูแต่ก็ยังลังเล เพราะยังชอบใจ MacBook Pro ในแง่ของคุณภาพวัสดุ งานออกแบบ มันตรงกับรสนิยมผมที่สุดแล้ว และเท่าที่ผ่านมาเพื่อนๆ ผมส่ง Laptop มาให้ผมแกะซ่อมบ่อยมาก เท่าที่ผ่านมือมางานประกอบของหลาย ๆ ยี่ห้อยังไม่ค่อยถูกใจผมเท่าไหร่นัก และก็นึกขึ้นได้ว่า MacBook Pro รุ่นใหม่กำลังจะเปิดตัว สรุปว่ารอเปิดตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน
หลังจบงานเปิดตัวมีเกิดคำถามเกิดขึ้นมา ผมเริ่มไม่แน่ใจว่าจะเอารุ่นปี 2015 แทนดีหรือไม่ เพราะประเด็นหลักคือ ราคาเทียบกับสิ่งที่ได้มา…. แต่แล้วผมก็จัด MacBook Pro 2016 with Touch Bar 15″ โดยมีสเปคดังนี้
CPU: Intel i7 2.6 Ghz Skylake (I7-6920HQ)
Ram: 16 GB (LPDDR 2133MHz)
Storage: Apple NAND Flash 512 GB (ปรับเพิ่มจาก 256 GB)
Graphic: Radeon Pro 450 GDDR5 2 GB
Display: 15-inch Retina
คราวนี้ผมสั่งผ่านเว็บ Apple Education Store เหมือนเคย สะดวกรวดเร็วไว้ใจได้ ปกติแล้วเครื่องที่มีการปรับแต่งสเปคต้องรอนานกว่าปกติ 3 – 4 วัน เพราะต้องปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนภายในเครื่องตั้งแต่ที่โรงงานเลย (เรียกว่า Custom to order หรือ CTO) อีกทั้งรุ่นนี้เพิ่งเปิดตัวมาไม่นานทำให้โรงงานอาจจะผลิตช้าเกินกว่าความต้องการ ทำให้ระยะเวลารอเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ ๆ 5 สัปดาห์ (ปกติถ้าผลิตทัน และสั่งแบบ CTO ระยะเวลาจัดส่งไม่น่าจะเกิน 5 – 8 วัน ของน่าจะถึงมือ) แต่สุดท้ายของก็มาถึงก่อนกำหนด 7 วัน ผมสั่งไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2016 หน้าเว็บแจ้งว่าจะถึงมือประมาณ 22 ธันวาคม 2016 แต่ของมาส่งวันที่ 15 ธันวาคม 2016 ซึ่งทาง DHL ก็โทรมานัดรับตามปกติ
รุ่นนี้มีให้เลือก 2 สี Silver และ Space Grey… ครั้งแรกที่เห็น Space Grey ผมว่ามัน Cool มากเลย แต่ผมกลับสี Silver เพราะว่ามันดู Classic กว่า ในกล่องมีมาแค่ตัวเครื่อง MacBook Pro, Power Adapter, สายชาร์จแบบ USB-C, คู่มือและสติ๊กเกอร์แอปเปิล ไม่มี Extend Power Cord แบบรุ่นก่อนแล้ว ต้องซื้อแยก ข้อดีของ Power Adapter รุ่นนี้คือสามารถถอดแยกกับสายชาร์จได้เหมือนกับ iPhone ครับ น่าจะช่วยยืดอายุสายให้นานขึ้นได้บ้าง ถึงสายพังก็เปลี่ยนแค่สาย ไม่ต้องเปลี่ยนทั้งชุดแบบแต่ก่อน