สวัสดีค่ะ ทุกคนนนน
กลับมาเขียนกันต่อจากตอนที่แล้ว ที่เราค้างเอาไว้ที่ 'ปีนัง' ติดตามอ่านได้ที่
https://ppantip.com/topic/36023471 นะจ๊ะ
คราวนี้เรามาเที่ยวกันต่อที่ เมืองหลวงแห่งมาเลเซีย ... กัวลาลัมเปอร์ ... นั่นเองงง
ทำความรู้จัก กัวลาลัมเปอร์
กัวลาลัมเปอร์ หรือ กัวลาลุมปูร์ ถ้าออกเสียงแบบภาษามาเลย์ หรือที่เราเรียกกันย่อ ๆ ว่า KL เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศมาเลเซีย และเช่นเดียวกันกับปีนัง ประชากรส่วนใหญ่แบ่งออกเป็น 3 เชื้อชาติหลัก ๆ อย่างชัดเจนคือ จีน อินเดีย และมาเลย์ ผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้น เวลาจะแต่งตัวก็ต้องเรียบร้อยหน่อยน่ะ ตอนที่เราไปแค่เสื้อแขนสั้นก็แทบจะไม่เห็นแล้ว ส่วนใหญ่ผู้หญิงจะใส่ชุดจนเห็นแต่หน้าและมือ บางทีก็เจอเหลือแต่ตาก็มี
เมื่อก่อนนี้สถานที่ราชการต่าง ๆ จะอยู่ที่นี่ แต่เมื่อไม่กี่ปีผ่านมานี้สถานที่ราชการต่าง ๆ ถูกย้ายไปอยู่ที่ เมืองปุตราจายา แล้ว ถ้าใครอยากจะทำกิจกรรมเกี่ยวกับราชการก็ต้องไปที่เมืองนั้นแทน แต่เดินทางง่าย นั่ง KLIA ไปได้เลย สบ๊าย
เอากันแค่พอหอมปากหอมคอเนอะ ตอนนี้เราไปเที่ยวกันดีก่าาาาาาา
ความเดิมตอนที่แล้ว เรามาถึง กัวลาลัมเปอร์ด้วยรถทัวร์รอบสุดท้ายจากปีนัง นั่งรอ LRT เปิดตอน 6 โมง เพื่อต่อรถไฟไป China Town เพื่อเข้าที่พักที่จองเอาไว้
.. สมมติว่าเราถึงสถานีแล้วนะ .. 555+
ที่พักของเราตั้งอยู่ในย่าน China Town และติดกับ Central Market สถานที่ช้อปปิงของฝากอันขึ้นชื่อ ซึ่งเราจะไปพูดกันอีกทีเนอะ และด้วยความที่เราไปถึงเช้ามา (ประมาณ 6 โมงกว่า ๆ ) ทำให้ได้รับบรรยากาศที่แปลกออกไปอย่างสิ้นเชิง
ฟ้ามืดสลัว ๆ ลานกว้างหน้า Central Market เสาไฟสูงที่เปิดสปอร์ตไลท์แค่ไม่กี่ดวง และเสียงบทสวดคัมภีร์อัลกุรอ่านห์ที่ดังออกมาจากลำโพงที่เสาไฟ ผู้คนที่นับถือศาสนาอิสลามบางคนกำลังยืนนิ่ง ทำสมาธิไปกับบทสวด ... คือมันเป็นความรู้สึกคือ แตกต่าง แปลกใหม่ และรู้สึกว่าประทับใจมาก ๆ มันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ...
ใจหนึ่งเราก็รู้สึกเหมือนกับว่าเราอยู่ในหนังทะลทราย หนังอาหรับ ที่มีเสียงสวดฟังดูแล้วมันเคว้งคว้างและเศร้า ๆ อีกใจหนึ่งเราก็รู้สึกว่ามันคือความสวยงามของความเชื่อที่แตกต่าง มันคือ ความสวยงามของวัฒนธรรม มันคืออะไรที่ไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้จริง ๆ แต่จนถึงทุกวันนี้ ถ้าเรามีโอกาสได้กลับมามาเลเซียอีก เราจะตื่นเช้า ๆ เพื่อไปมัสยิด ไปยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ยังดี มันกินใจและตราตรึงใจจนทุกวันนี้จริง ๆ
เข้าเรื่องกันดีกว่า เพราะว่าเรามาเช้าเกินไปไง check-in ไม่ได้ ก็เอาของไปฝากเอาไว้ก่อน ล้างหน้า แปรงฟัน นั่งอ่านนู้นนี่นั่นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง 7 โมงกว่า ๆ รอให้ฟ้าสางหน่อยเราก็ออกไปหาข้าวกิน ไปเดินเล่น ตั้งใจเอาไว้ว่า ตอนเช้านี่ระหว่างรอเวลา check-in เราจะไปแถว ๆ เมอร์ดิก้า สแควร์
ป่ะ ไปเที่ยวกัน !
เดินออกมาดูบ้านเมืองของเขา รู้สึกถึง 'ความแตกต่าง' อย่างชัดเจนกับปีนัง จากตึกสองชั้นเตี้ย ๆ เก่า ๆ สวย ๆ กลายเป็นตึกสูงเสียดฟ้าระรานตา จากคนที่ค่อย ๆ เดินเรื่อย ๆ กลายเป็นคนใส่สูทผูกไทน์ก้มหน้าก้มตาเดินแบบเร่งรีบไม่สนใจใคร ... คือมันเป็นอะไรที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงภายในระยะเวลา 10 กว่าชั่วโมงที่ผ่านมานี้
และอย่างที่เคยพูดไปว่า มาเลเซีย เป็นประเทศที่เป็น mixed culture ตึกรามบ้านช่อง ก็มาแบบ มิกซ์ ๆ เช่นกัน คือมีทั้งตึกเก่าและตึกใหม่ปะปนกันเมืองงง ๆ แต่กลายเป็นว่ากลายเป็นอีกมนต์เสน่ห์หนึ่งของกัวลาลัมเปอร์
และด้วยความที่เราอาศัยการเดินเป็นหลัก เรามักจะชอบหาอะไรที่มันเป็นจุดใหญ่ ๆ เดิน ๆ เอาไว้เวลาเราหลง เดินไปเรื่อย ๆ ก็เหลือบไปเห็นตึกนี้ OCBC Bank เป็นตึกสูงมากและมีโดมอยู่บนยอด อีกอย่างอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟมัสยิดจาเม็กด้วย ก็เลย เอาอันนี้ล่ะ เป็นจุดหลัก 555+ ... ถ้าหลงก็มองหารางรถไฟ เดินตามไปแล้วหาตึก จะกลับที่พักได้ ;P คือเป็นคนโคตรจะขี้เกียจ ...
...คราวนี้เราก็เดินไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ตามแผนที่ที่เอามาจากที่พัก...
เดินไปเรื่อย ๆ ลากร่างกายพัง ๆ ออกมา ... คือตอนนั้นต้องการจะหลับมากกกก แต่ไม่มีเตียงไง 555+ มาคนเดียวต้องมีความ อึด ถึก และ บึกบึน ! (...หรือนี่คือเหตุผลที่ไม่มีแฟน.../// อย่าไปแคร์ /// เป็นผู้หญิง ก็เที่ยวคนเดียวได้ สนุกด้วย !!!!)
อย่างที่บอกอ่ะ ว่ามันมีทั้งตึกเก่าและตึกใหม่อยู่ด้วยกันแบบงง ๆ แต่มาดูแตกต่างอย่างลงตัวดีนะเราว่า มันดูมีเรื่องมีราว มันดูไม่ perfect เกินไป ยิ่งในย่านนี้นะ จะมีตึกแบบนี้ค่อนข้างเยอะ บางตึกยังถูกใช้งานให้เป็นสถานที่ราชการอยู่ แต่บางตึกก็ปิดไปแล้วแถมไม่ให้เข้าด้วย 555+ จะแอบลักลอบไปส่องกระจกดูนี่ก็ไม่ได้นะ ... เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลัง 555+
ที่แรกที่เดินผ่าน
Sultan Abdul Samad Building
เป็นตีกแนวยาว ๆ พาดผ่านทั้งแยกนั้น แต่ ! ที่นี่แหล่ะที่ไม่ให้เข้า เราก็แหม่ะ ชั้นก็อยากจะเห็นข้างในซะหน่อย ขอส่องหน้าตาหน่อยก็แล้วกัน ... ไม่ได้ !!! มีพี่รปภ.เดินมาห้ามเอาไว้ ฮืออออ เก๊าแค่อยากจะส่องหน่อยเอง ... แต่ก็กลัวโดนจับ 555+ โอเค ไม่ส่องก็ได้ ถ่ายรูปแทน คือตึกมันยาวมากจนถ่ายไม่ครบ ก็เลยได้มาแค่หอนาฬิกาที่ยอดอาคารเท่านั้น แต่ว่าที่นี่สวยดีนะ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมอร์ดิก้า สแควร์
นั่นไงงงง
เมอร์ดิก้า สแควร์ !!! เห็นเสาธงนั่นมั้ย มันสูงเหลือเกินนนนนนน
มาเดินเที่ยวเล่นตอนเช้า ๆ ตอนที่คนอื่นเขายังไม่มาเดินกันนี่มันดีจริม ๆ เลย คนน้อยยย ไม่ต้องหลบคนเวลาถ่ายรูป ;P ส่วนใหญ่ตอนเช้า ๆ แบบนี้ ก็จะมีแค่ชาวมาเลเซียและนักท่องเที่ยวนิดหน่อย ... แต่ดีอย่างนึงที่เรารู้สึกว่ายังไม่ค่อยมี ไชนีส พีเพิ้ล เท่าไหร่ 555+
เมอร์ดิก้า สแควร์ เป็นจัตุรัสที่มีความสำคัญมากของมาเลเซีย เนื่องจากถูกใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมที่สำคัญของประเทศ อีกทั้งยังเป็นที่จัดงานใหญ่ ๆ อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะปีใหม่ งานวันสำคัญต่าง ๆ เพื่อนแอบบอกด้วยว่า บางทีก็นั่งดูกีฬาที่มาเลเซียแข่งระดับชาติด้วยกันที่นี่แหล่ะ มันส์สุด !!! ... มันน่าก็น่าจะสนุกจริง ๆ นั่นแหล่ะ คนน่าจะเยอะมาก ๆ ... เราคิดว่ามันให้อารมณ์เหมือนสนามหลวงบ้านเราอ่ะ
รอบ ๆ เมอร์ดิก้า สแควร์ยังรายล้อมไปด้วยสถานที่สวย ๆ และพิพิธภัณฑ์ที่สนใจอีกหลายทีที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นหอสมุดแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี หรืองานผ้าพื้นเมือง
มาถึงนี่แล้วจะไม่มาถ่ายรูปเสาธงนี้ไม่ได้เลยนะ ! จะต้องแหวนหน้าแบบสุด ๆ แหงนจนเมื่อยคออ่ะ เพราะว่า .. เห้ย !!! มันสูงอะไรขนาดนี้ !!!!
หลังจากนั้น เราก็เหลือบไปเห็นพิพิธภัณฑ์ใกล้ ๆ กับจัตุรัสเมอร์ดิก้า อยู่หน้าหอสมุดแห่งชาติ คือ
พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี และ ถัดไปเป็น
พิพิธภัณฑ์ผ้าพื้นเมือง
การเข้าพิพิธภัณฑ์ที่นี่ ส่วนมากไม่ต้องเสียค่าเข้าชม (ยิ้มแฉ่งเลยตรู) เพียงแค่ลงชื่อเข้าชมเท่านั้น แต่ว่าพิพิธภัณฑ์ไม่ได้ดีขนาด National Museum of Singapore อะไรแบบนั้นนะ อันนั้นก็สมค่าบัตรเขา แต่ที่มาเลเซีย จะเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กถึงกลาง ไมใหญ่มาก ส่วนใหญ่จะแยกแต่ละเรื่องจากการอย่างชัดเช่น เช่น เครื่องนุ่งห่มก็มีพิพิธภัณฑ์ของตัวเอง เครื่องดนตรีก็มีพิพิธภัณฑ์ของตัวเอง อะไรแบบนี้ ถามว่าดีมั้ย เราว่าโอเคเลยนะ ได้รู้อะไรใหม่ ๆ เยอะดี
การไปเที่ยวสำหรับเราไม่ใช่แค่การไปถึงที่ ถ่ายรูป และ check-in อ่ะ เราชอบไปเห็นอะไรที่ local ๆ มากกว่า คือ landmark เราก็โอเคนะ แต่ไม่ต้องเก็บครบก็ได้ อยากไปเดินดูบ้านดูเมืองเขามากกว่า 5555+
หลังจากที่เราเวิ่นเว้ออยู่แถว ๆ นั้นมาซักพักหนึ่ง เราก็คิดว่าเราอยากจะเดินกลับไปเที่ยวที่มัสยิดจาเม็ก ซึ่งจริง ๆ แล้วนี่คือ สถานที่ที่ทำให้เราเลือกที่จะพักบริเวณนี้เลย เพราะว่าเราอยากจะมาที่นี่มากกกก ตอนขามาเดินผ่านมาแล้วมันยังปิดอยู่ก็เลยมาเดินเล่นที่อื่นก่อน แต่นี่ก็ว่ามันก็สายพอสมควรแล้วน่าจะเปิดแล้ว ... ประกอบกับความง่วงและอยากจะอาบน้ำนอนซักหน่อย ก็เลยมุ่งหน้ากลับไปที่มัสยิดจาเม็ก !
มัสยิดจาเม็ก เป็นมัสยิดที่ไม่ใหญ่มาก แต่ว่าตั้งอยู่ใจกลางเมืองและเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสองสาย ประกอบกับเราชอบที่มัสยิดตั้งอยู่ท่ามกลางตึกสูงสมัยใหม่ แล้วเห็นจากรูปแล้วมันดู contrast มากอ่ะ เลยชอบบ 55+
แต่น่าเสียดายที่ตอนเราไปมีส่วนที่เปิดให้เข้าไปดูได้แค่นิดหน่อย เพราะว่าเขารีโนเวทอยู่ ไม่เสียค่าเข้านะ แต่จะมีค่าชุดคลุมที่เราสามารถบริจาคเท่าไหร่ก็ได้ มีแผ่นพับเกี่ยวกับศาสนาอิสลามให้เราหยิบได้และมีคุณลุงอาสาสมัครในการให้ข้อมูลกับเราด้วย
แนะนำ : ในการเข้าชมมัสยิดนั่น ส่วนมากจะ ฟรี แต่สามารถบริจาคค่าเข้าได้ ยกเว้นบางที่ที่จะเก็บค่าเข้าชม การแต่งกาย ควรแต่งกายเรียบร้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามที่ประเทศมาเลเซีย ทุกมัสยิดผู้หญิงจะได้ใส่ชุดคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า รูปแบบ สีสันของชุดคลุมนั้นก็แตกต่างกันไปตามแต่ละมัสยิด ที่ดัง ๆ ก็เห็นจะมี มัสยิดปุตราจายา ที่เหมือนชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ นี่ก็อยากจะไปด้วย แต่ไม่มีเวลา กับมัสยิดนาการ่า ซึ่งเราว่าสวยดีอ่ะ สีม่วง
เขินนะ บอกเลย 555+ ... หราาาาา ;P นี่คือชุดคลุมที่เราได้ใส่ตลอดทั้งทริปนี้ที่ประเทศมาเลเซีย
ชุดสีแดง : มัสยิดจาเม็ก กัวลาลัมเปอร์ มาแบบสีแดงแรงร้อนมาก ใส่แล้วรู้สึกถึงความฮอต ..-3-
ชุดสีม่วง : มัสยิดนาการา หรือ National Mosque กัวลาลัมเปอร์ ชุดคลุมที่นี่อลังการงานสร้าง มี 2 ส่วนที่จะต้องใส่สำหรับผู้หญิงคือ ชุดคลุมสีม่วงอ่อนและฮิญาบซึ่งมีลวดสวยงามมากเลย คือแบบตอนที่ไปถ่ายรูปนี้คือไปอยากมีรูปตัวเองกับชุดนี้ไง แบบ มาก ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วก็เดินไปเจอกับผู้หญิงคนนึงเป็นคนต่างประเทศซึ่งมาคนเดียวเหมือนกัน แล้วก็เห็นชีกำลังพยายามจะถ่ายรูปตัวเองอยู่ ก็เลยบอกว่า ไอ ถ่ายให้ยูมั้ย แล้วยูช่วยถ่ายให้ไอหน่อย ไอก็อยากได้เหมือนกัน ก็เลยแลกกันถ่าย หัวเราะกัน ตลกดี .... ความสวยงามของการเดินทางคนเดียว ก็คือ ได้คุยกับคนไปเรื่อย ๆ เผลอ ๆ เป็นเพื่อนกันมาจนทุกวันนี้ ...เหมือนเรา เป็นเพื่อนกันจนทุกวันนี้ บางคนก็มาจากการท่องเที่ยวนี่แหล่ะ
ชุดสีเขียว : จำชื่อมัสยิดไม่ได้ ที่มะละกา เป็นมัสยิดเล็ก ๆ อันนี้ก็ขอให้เพื่อนจาก couchsurfing ที่พาไปเที่ยวเป็นคนถ่ายให้
ยังไงใครไปก็อย่าลืมเก็บภาพมาฝากกันบ้างนะ นี่เรายังอยากจะไปใส่ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่อุตราจายาอยู่เลย ... อยากไปอีกอ่ะะะ
มันหมดโค้วต้าตัวหนังสือล่ะอ่ะ ต่อที่คอมเม้นท์เนอะ ๆ ๆ
[CR] เดินเล่นชิว ๆ 1 วันที่ 'กัวลาลัมเปอร์'
กลับมาเขียนกันต่อจากตอนที่แล้ว ที่เราค้างเอาไว้ที่ 'ปีนัง' ติดตามอ่านได้ที่ https://ppantip.com/topic/36023471 นะจ๊ะ
คราวนี้เรามาเที่ยวกันต่อที่ เมืองหลวงแห่งมาเลเซีย ... กัวลาลัมเปอร์ ... นั่นเองงง
ทำความรู้จัก กัวลาลัมเปอร์
เมื่อก่อนนี้สถานที่ราชการต่าง ๆ จะอยู่ที่นี่ แต่เมื่อไม่กี่ปีผ่านมานี้สถานที่ราชการต่าง ๆ ถูกย้ายไปอยู่ที่ เมืองปุตราจายา แล้ว ถ้าใครอยากจะทำกิจกรรมเกี่ยวกับราชการก็ต้องไปที่เมืองนั้นแทน แต่เดินทางง่าย นั่ง KLIA ไปได้เลย สบ๊าย
เอากันแค่พอหอมปากหอมคอเนอะ ตอนนี้เราไปเที่ยวกันดีก่าาาาาาา
ความเดิมตอนที่แล้ว เรามาถึง กัวลาลัมเปอร์ด้วยรถทัวร์รอบสุดท้ายจากปีนัง นั่งรอ LRT เปิดตอน 6 โมง เพื่อต่อรถไฟไป China Town เพื่อเข้าที่พักที่จองเอาไว้
.. สมมติว่าเราถึงสถานีแล้วนะ .. 555+
ที่พักของเราตั้งอยู่ในย่าน China Town และติดกับ Central Market สถานที่ช้อปปิงของฝากอันขึ้นชื่อ ซึ่งเราจะไปพูดกันอีกทีเนอะ และด้วยความที่เราไปถึงเช้ามา (ประมาณ 6 โมงกว่า ๆ ) ทำให้ได้รับบรรยากาศที่แปลกออกไปอย่างสิ้นเชิง
ฟ้ามืดสลัว ๆ ลานกว้างหน้า Central Market เสาไฟสูงที่เปิดสปอร์ตไลท์แค่ไม่กี่ดวง และเสียงบทสวดคัมภีร์อัลกุรอ่านห์ที่ดังออกมาจากลำโพงที่เสาไฟ ผู้คนที่นับถือศาสนาอิสลามบางคนกำลังยืนนิ่ง ทำสมาธิไปกับบทสวด ... คือมันเป็นความรู้สึกคือ แตกต่าง แปลกใหม่ และรู้สึกว่าประทับใจมาก ๆ มันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ถูก ...
ใจหนึ่งเราก็รู้สึกเหมือนกับว่าเราอยู่ในหนังทะลทราย หนังอาหรับ ที่มีเสียงสวดฟังดูแล้วมันเคว้งคว้างและเศร้า ๆ อีกใจหนึ่งเราก็รู้สึกว่ามันคือความสวยงามของความเชื่อที่แตกต่าง มันคือ ความสวยงามของวัฒนธรรม มันคืออะไรที่ไม่สามารถบอกออกมาเป็นคำพูดได้จริง ๆ แต่จนถึงทุกวันนี้ ถ้าเรามีโอกาสได้กลับมามาเลเซียอีก เราจะตื่นเช้า ๆ เพื่อไปมัสยิด ไปยืนอยู่ใกล้ ๆ ก็ยังดี มันกินใจและตราตรึงใจจนทุกวันนี้จริง ๆ
เข้าเรื่องกันดีกว่า เพราะว่าเรามาเช้าเกินไปไง check-in ไม่ได้ ก็เอาของไปฝากเอาไว้ก่อน ล้างหน้า แปรงฟัน นั่งอ่านนู้นนี่นั่นไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง 7 โมงกว่า ๆ รอให้ฟ้าสางหน่อยเราก็ออกไปหาข้าวกิน ไปเดินเล่น ตั้งใจเอาไว้ว่า ตอนเช้านี่ระหว่างรอเวลา check-in เราจะไปแถว ๆ เมอร์ดิก้า สแควร์
เดินออกมาดูบ้านเมืองของเขา รู้สึกถึง 'ความแตกต่าง' อย่างชัดเจนกับปีนัง จากตึกสองชั้นเตี้ย ๆ เก่า ๆ สวย ๆ กลายเป็นตึกสูงเสียดฟ้าระรานตา จากคนที่ค่อย ๆ เดินเรื่อย ๆ กลายเป็นคนใส่สูทผูกไทน์ก้มหน้าก้มตาเดินแบบเร่งรีบไม่สนใจใคร ... คือมันเป็นอะไรที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงภายในระยะเวลา 10 กว่าชั่วโมงที่ผ่านมานี้
และอย่างที่เคยพูดไปว่า มาเลเซีย เป็นประเทศที่เป็น mixed culture ตึกรามบ้านช่อง ก็มาแบบ มิกซ์ ๆ เช่นกัน คือมีทั้งตึกเก่าและตึกใหม่ปะปนกันเมืองงง ๆ แต่กลายเป็นว่ากลายเป็นอีกมนต์เสน่ห์หนึ่งของกัวลาลัมเปอร์
...คราวนี้เราก็เดินไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ตามแผนที่ที่เอามาจากที่พัก...
เดินไปเรื่อย ๆ ลากร่างกายพัง ๆ ออกมา ... คือตอนนั้นต้องการจะหลับมากกกก แต่ไม่มีเตียงไง 555+ มาคนเดียวต้องมีความ อึด ถึก และ บึกบึน ! (...หรือนี่คือเหตุผลที่ไม่มีแฟน.../// อย่าไปแคร์ /// เป็นผู้หญิง ก็เที่ยวคนเดียวได้ สนุกด้วย !!!!)
อย่างที่บอกอ่ะ ว่ามันมีทั้งตึกเก่าและตึกใหม่อยู่ด้วยกันแบบงง ๆ แต่มาดูแตกต่างอย่างลงตัวดีนะเราว่า มันดูมีเรื่องมีราว มันดูไม่ perfect เกินไป ยิ่งในย่านนี้นะ จะมีตึกแบบนี้ค่อนข้างเยอะ บางตึกยังถูกใช้งานให้เป็นสถานที่ราชการอยู่ แต่บางตึกก็ปิดไปแล้วแถมไม่ให้เข้าด้วย 555+ จะแอบลักลอบไปส่องกระจกดูนี่ก็ไม่ได้นะ ... เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลัง 555+
ที่แรกที่เดินผ่าน Sultan Abdul Samad Building
เป็นตีกแนวยาว ๆ พาดผ่านทั้งแยกนั้น แต่ ! ที่นี่แหล่ะที่ไม่ให้เข้า เราก็แหม่ะ ชั้นก็อยากจะเห็นข้างในซะหน่อย ขอส่องหน้าตาหน่อยก็แล้วกัน ... ไม่ได้ !!! มีพี่รปภ.เดินมาห้ามเอาไว้ ฮืออออ เก๊าแค่อยากจะส่องหน่อยเอง ... แต่ก็กลัวโดนจับ 555+ โอเค ไม่ส่องก็ได้ ถ่ายรูปแทน คือตึกมันยาวมากจนถ่ายไม่ครบ ก็เลยได้มาแค่หอนาฬิกาที่ยอดอาคารเท่านั้น แต่ว่าที่นี่สวยดีนะ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมอร์ดิก้า สแควร์
นั่นไงงงง เมอร์ดิก้า สแควร์ !!! เห็นเสาธงนั่นมั้ย มันสูงเหลือเกินนนนนนน
มาเดินเที่ยวเล่นตอนเช้า ๆ ตอนที่คนอื่นเขายังไม่มาเดินกันนี่มันดีจริม ๆ เลย คนน้อยยย ไม่ต้องหลบคนเวลาถ่ายรูป ;P ส่วนใหญ่ตอนเช้า ๆ แบบนี้ ก็จะมีแค่ชาวมาเลเซียและนักท่องเที่ยวนิดหน่อย ... แต่ดีอย่างนึงที่เรารู้สึกว่ายังไม่ค่อยมี ไชนีส พีเพิ้ล เท่าไหร่ 555+
เมอร์ดิก้า สแควร์ เป็นจัตุรัสที่มีความสำคัญมากของมาเลเซีย เนื่องจากถูกใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมที่สำคัญของประเทศ อีกทั้งยังเป็นที่จัดงานใหญ่ ๆ อีกเช่นกัน ไม่ว่าจะปีใหม่ งานวันสำคัญต่าง ๆ เพื่อนแอบบอกด้วยว่า บางทีก็นั่งดูกีฬาที่มาเลเซียแข่งระดับชาติด้วยกันที่นี่แหล่ะ มันส์สุด !!! ... มันน่าก็น่าจะสนุกจริง ๆ นั่นแหล่ะ คนน่าจะเยอะมาก ๆ ... เราคิดว่ามันให้อารมณ์เหมือนสนามหลวงบ้านเราอ่ะ
รอบ ๆ เมอร์ดิก้า สแควร์ยังรายล้อมไปด้วยสถานที่สวย ๆ และพิพิธภัณฑ์ที่สนใจอีกหลายทีที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นหอสมุดแห่งชาติ พิพิธภัณฑ์เครื่องดนตรี หรืองานผ้าพื้นเมือง
มาถึงนี่แล้วจะไม่มาถ่ายรูปเสาธงนี้ไม่ได้เลยนะ ! จะต้องแหวนหน้าแบบสุด ๆ แหงนจนเมื่อยคออ่ะ เพราะว่า .. เห้ย !!! มันสูงอะไรขนาดนี้ !!!!
การเข้าพิพิธภัณฑ์ที่นี่ ส่วนมากไม่ต้องเสียค่าเข้าชม (ยิ้มแฉ่งเลยตรู) เพียงแค่ลงชื่อเข้าชมเท่านั้น แต่ว่าพิพิธภัณฑ์ไม่ได้ดีขนาด National Museum of Singapore อะไรแบบนั้นนะ อันนั้นก็สมค่าบัตรเขา แต่ที่มาเลเซีย จะเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กถึงกลาง ไมใหญ่มาก ส่วนใหญ่จะแยกแต่ละเรื่องจากการอย่างชัดเช่น เช่น เครื่องนุ่งห่มก็มีพิพิธภัณฑ์ของตัวเอง เครื่องดนตรีก็มีพิพิธภัณฑ์ของตัวเอง อะไรแบบนี้ ถามว่าดีมั้ย เราว่าโอเคเลยนะ ได้รู้อะไรใหม่ ๆ เยอะดี
การไปเที่ยวสำหรับเราไม่ใช่แค่การไปถึงที่ ถ่ายรูป และ check-in อ่ะ เราชอบไปเห็นอะไรที่ local ๆ มากกว่า คือ landmark เราก็โอเคนะ แต่ไม่ต้องเก็บครบก็ได้ อยากไปเดินดูบ้านดูเมืองเขามากกว่า 5555+
หลังจากที่เราเวิ่นเว้ออยู่แถว ๆ นั้นมาซักพักหนึ่ง เราก็คิดว่าเราอยากจะเดินกลับไปเที่ยวที่มัสยิดจาเม็ก ซึ่งจริง ๆ แล้วนี่คือ สถานที่ที่ทำให้เราเลือกที่จะพักบริเวณนี้เลย เพราะว่าเราอยากจะมาที่นี่มากกกก ตอนขามาเดินผ่านมาแล้วมันยังปิดอยู่ก็เลยมาเดินเล่นที่อื่นก่อน แต่นี่ก็ว่ามันก็สายพอสมควรแล้วน่าจะเปิดแล้ว ... ประกอบกับความง่วงและอยากจะอาบน้ำนอนซักหน่อย ก็เลยมุ่งหน้ากลับไปที่มัสยิดจาเม็ก !
มัสยิดจาเม็ก เป็นมัสยิดที่ไม่ใหญ่มาก แต่ว่าตั้งอยู่ใจกลางเมืองและเป็นจุดบรรจบของแม่น้ำสองสาย ประกอบกับเราชอบที่มัสยิดตั้งอยู่ท่ามกลางตึกสูงสมัยใหม่ แล้วเห็นจากรูปแล้วมันดู contrast มากอ่ะ เลยชอบบ 55+
แต่น่าเสียดายที่ตอนเราไปมีส่วนที่เปิดให้เข้าไปดูได้แค่นิดหน่อย เพราะว่าเขารีโนเวทอยู่ ไม่เสียค่าเข้านะ แต่จะมีค่าชุดคลุมที่เราสามารถบริจาคเท่าไหร่ก็ได้ มีแผ่นพับเกี่ยวกับศาสนาอิสลามให้เราหยิบได้และมีคุณลุงอาสาสมัครในการให้ข้อมูลกับเราด้วย
แนะนำ : ในการเข้าชมมัสยิดนั่น ส่วนมากจะ ฟรี แต่สามารถบริจาคค่าเข้าได้ ยกเว้นบางที่ที่จะเก็บค่าเข้าชม การแต่งกาย ควรแต่งกายเรียบร้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามที่ประเทศมาเลเซีย ทุกมัสยิดผู้หญิงจะได้ใส่ชุดคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้า รูปแบบ สีสันของชุดคลุมนั้นก็แตกต่างกันไปตามแต่ละมัสยิด ที่ดัง ๆ ก็เห็นจะมี มัสยิดปุตราจายา ที่เหมือนชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ นี่ก็อยากจะไปด้วย แต่ไม่มีเวลา กับมัสยิดนาการ่า ซึ่งเราว่าสวยดีอ่ะ สีม่วง
เขินนะ บอกเลย 555+ ... หราาาาา ;P นี่คือชุดคลุมที่เราได้ใส่ตลอดทั้งทริปนี้ที่ประเทศมาเลเซีย
ชุดสีแดง : มัสยิดจาเม็ก กัวลาลัมเปอร์ มาแบบสีแดงแรงร้อนมาก ใส่แล้วรู้สึกถึงความฮอต ..-3-
ชุดสีม่วง : มัสยิดนาการา หรือ National Mosque กัวลาลัมเปอร์ ชุดคลุมที่นี่อลังการงานสร้าง มี 2 ส่วนที่จะต้องใส่สำหรับผู้หญิงคือ ชุดคลุมสีม่วงอ่อนและฮิญาบซึ่งมีลวดสวยงามมากเลย คือแบบตอนที่ไปถ่ายรูปนี้คือไปอยากมีรูปตัวเองกับชุดนี้ไง แบบ มาก ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วก็เดินไปเจอกับผู้หญิงคนนึงเป็นคนต่างประเทศซึ่งมาคนเดียวเหมือนกัน แล้วก็เห็นชีกำลังพยายามจะถ่ายรูปตัวเองอยู่ ก็เลยบอกว่า ไอ ถ่ายให้ยูมั้ย แล้วยูช่วยถ่ายให้ไอหน่อย ไอก็อยากได้เหมือนกัน ก็เลยแลกกันถ่าย หัวเราะกัน ตลกดี .... ความสวยงามของการเดินทางคนเดียว ก็คือ ได้คุยกับคนไปเรื่อย ๆ เผลอ ๆ เป็นเพื่อนกันมาจนทุกวันนี้ ...เหมือนเรา เป็นเพื่อนกันจนทุกวันนี้ บางคนก็มาจากการท่องเที่ยวนี่แหล่ะ
ชุดสีเขียว : จำชื่อมัสยิดไม่ได้ ที่มะละกา เป็นมัสยิดเล็ก ๆ อันนี้ก็ขอให้เพื่อนจาก couchsurfing ที่พาไปเที่ยวเป็นคนถ่ายให้
ยังไงใครไปก็อย่าลืมเก็บภาพมาฝากกันบ้างนะ นี่เรายังอยากจะไปใส่ชุดแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่อุตราจายาอยู่เลย ... อยากไปอีกอ่ะะะ