La La Land (Damien Chazelle, 2016) คะแนน A+
#ไม่สปอย
By Form Corleone
" บนเส้นความฝัน ตัดสลับบนโลกความจริง " ช่วงเวลาของนครแห่งนี้นั้น เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของ 'คนช่างฝัน' ความวิจิตรของเรื่องราวคนหนุ่มสาวที่มีห้วงเวลาของการเติบโต+เรียนรู้ในการก้าวพ้นข้อจำกัดต่างๆ เพื่อมุ่งหวังในสิ่งที่ตัวเองฝันถึง สิ่งต่างๆที่หนังเรื่องนี้หล่อหลอมขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจนคือ ข้อความที่ส่งถึงคนหนุ่มสาวที่กำลังอยู่บนเส้นทางฝัน เติมพลังในการตามหาความฝันอย่างมี 'ความหวัง' รวมถึง 'ใจสลาย' ในตอนท้ายสุด โดยรวมจึงถือเป็นหนังที่ครบองค์ประกอบในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน เล่าผ่านเรื่องราวต่างฤดูได้อย่างลงตัว เป็นทั้ง 'ความหวานปนขม' ที่เจือจางความขมด้วย 'ความรัก' และบทเพลงที่สุดแสนลื่นหู จากคนสองคนได้อย่างละมุม+ละไม กลมกล่อมแบบหาตัวจับยาก สำหรับเราการได้นั่งดู 'La La Land' เปรียบเสมือนการนั่งไทม์แมชชีน ไปซึมซับความวิจิตรของหนังยุคเก่าๆ แม้พล็อตเรื่องจะเป็นอะไรที่สามารถเดาได้ แต่การถ่ายทอดหรือการเล่าเรื่องนั้น สามารถยกให้เรื่องราวแสนธรรมดาของคนสองคนเจิดจรัสท่ามกลางดวงดาว ภายใต้แสนไฟตามท้องถนน มวลรวมจึงให้ความรู้สึกในความเพ้อฝันบนฐานเรื่องราวชวน 'โรแมนติก' แบบย่อยง่ายแต่ใส่ความแยบยล คมคาย พิถีพิถันทุกองค์ประกอบ ตลอดจนถึงความเพลิดเพลินของดนตรีแจ๊สอันไพเราะที่สามารถดึงอารมณ์ร่วมได้อย่างดีเยี่ยม ถึงกระนั้น ด้วยความที่แนวทางของหนังเป็น 'Musical' อาจจะไม่โดดใจคนดูในวงกว้างมากเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม สำหรับเราแล้วนั้นยังคงมีความเชื่อว่าทุกคนสามารถที่จะซึบซับเรื่องราวต่างๆได้อย่างเต็มอิ่ม เต็มใจ ด้วยบทภาพยนตร์ที่ดีงามผนวกกับจังหวะหนักเบาในการเล่าเรื่อง เนื้อเพลง ท่าทาง ส่วนประกอบของฉากหลัง องค์ประกอบต่างๆมากมายที่สอดแทรกได้อย่างมีมิติ สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถพาเรา 'ลอยละล่อง' ไปในดินแดนที่เรียกตัวเองว่า ' La La Land' ชมชื่อเรื่องแน่นอน
' ความฝัน ความหวัง สิ่งที่ต้องแลกมา ' ไม่มีใครไม่มีความฝันหรอก เราคิดว่าทุกคนมีความฝันกันทั้งนั้นแหละ บางคนอาจเป็นฝันไม่ใหญ่มาก บางคนอาจเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่ บางคนอาจหยุดฝันเรื่องเดิมเพื่อกำลังฝันเรื่องใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างทางไปถึงความฝันคือการประกอบร่างสร้างเส้นทางด้วยตัวของเราเอง แต่มันจะมีความสุขยังไงถ้าเมื่อเราถึงความฝันนั้นแล้ว กลับไม่มีคนที่เราอยากให้เขาอยู่มองความฝันของเราไปด้วยกัน มันจะมีความสุขจริงๆหรือเปล่า เมื่อเราขึ้นยอดเขาแต่กลับพบว่ามีแค่เราคนเดียวอยู่บนไหน บางคนอาจบอกว่า 'ถ้าจะทำตามความฝันจะต้องไปแคร์ใครกัน' แต่สำหรับเรา เราคิดว่า 'ความฝัน' คือการเชื่อมโยงเราไว้ระหว่างคนที่เรารัก ทุกๆครั้งที่เรามีความฝัน ฝันของเราไม่เคยมีเพียงเราคนเดียวอยู่ในนั้น ทุกครั้ง จะต้องมีคนที่เรารักอยู่ด้วยเสมอ เราเชื่อว่า 'ไม่มีความฝันไหนเกิดขึ้นจากคนๆเดียว' ตัวละครในเรื่องทั้งสองตัวต่างออกตามหาความฝันของกันและกัน แม้จะเป็นคนละฝัน แต่การที่เรายอมรับความฝันของอีกคนที่กำลังร่วมทางไปกับเรานั้น มันก็โอเคมากแล้วไม่ใช่หรือ? 'บางทีเราอาจไม่ต้องมองไปในทางเดียวกัน แค่เดินร่วมทางกันไปก็พอ' แม้สุดท้ายจะต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง แต่ร่องรอยระหว่างทางที่เราพยายามเดินมาด้วยกันไม่เคยจางหายไปไหน 'เราจะยังคงรักกันเสมอ' ในวันที่เรากลับมาพบกัน 'เพียงแค่รอยยิ้มหนึ่งหน่วยนั้น' เราคิดว่าสามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้มากมายมหาศาลแล้วจริงๆ รอยยิ้มที่ได้เห็น 'คนที่เรารัก' ได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ เราไม่รู้หรอกว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะได้ความฝันที่เราต้องการ เราอาจหมดหวังไปแล้วที่จะทำสิ่งนั้นก็ได้ แต่คนข้างกายหรือครอบครัวนี้แหละ ที่ยังเป็นแรงกระตุ้นให้เรามี 'ความหวัง' เพื่อไล่ล่าตามความฝัน แม้บางครั้งเราก็ต้องยอมสละบางสิ่งไปก็ตาม ฉนั้นแล้ว 'La La Land' เปรียบเสมือนกระบวนการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ทุกคนต้อง 'Grow Up' ช่วงเวลาสิบกว่านาทีสุดท้ายที่หนังนำเสนอนั้น จึงลุ่มลึก+เศร้า ไปพร้อมๆกัน เราร้องไห้ถึงความสัมพันธ์ที่เหมือนจะสมหวังแต่มักมีบางสิ่งขาดหายไปเสมอ นั้นหรือเปล่านะ ที่หลายคนเรียกว่า 'ชีวิตจริง'
ตัวละครในเรื่องจะเรียกว่าคู่กัดก็คงไม่มากเกินไป เพราะสามารถจะด่ากันไปมาได้ตลอด การแสดงของ 'Ryan Gosling' กับ 'Emma Stone' คงเป็นเคมีที่เข้ากันที่สุดคู่หนึ่ง แน่นอนว่าการแสดงของทั้งสองคนสามารถสะกดเราได้อยู่หมัด ไม่ว่าจะหมัดเบา หมัดหนัก ก็เป็นความเจ็บที่อบอวลไปด้วยความสุขเคล้าน้ำตา ในส่วนของ 'Ryan Gosling' เล่นน้อยแต่ใช้พลังเยอะในการถ่ายทอด เพราะบทไม่ได้โดดเด่นมาก ต้องอาศัยพลังในการแสดงค่อนข้างเยอะมากจึงจะทำให้เรารู้สึกเข้าถึงตัวละครตัวนี้แบบง่ายๆ และที่ต้องชื่มชมที่สุดคือ 'Emma Stone' ที่ให้การแสดงที่น่าจดจำมากๆ และคงเป็นความทรงจำที่พูดถึงกันไปอีกนานแสนนานแน่นอน เพราะเราเชื่อว่าเมื่อผ่านไปอีก 50 ปี หลังจากนี้ 'La La Land' จะยังคงสดใหม่และให้ความบันเทิงในทุกแง่มุมแน่นอน และเราจะสามารถบอกคนรุ่นหลังได้ว่า สมัยนั้น มีหนังที่ชื่อ 'La La Land' และเราได้ไปดูมากับตาตัวเองด้วยนะ นอกจากความสัมพันธ์ของตัวละครที่เปรียบเสมือนแรงผลักดันระหว่างกันและกันแล้วนั้น ความรักที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วลอยตามเสียงเพลงมานั้น ไม่ได้ทำให้เราติดใจหรือขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด เพราะห้วงเวลาที่ผ่านไปนั้น เราเองก็หลงรักตัวละครทั้งสองตัวอย่างรวดเร็วเหมือนเช่นกัน ความดีงามของผู้กำกับ (Damien Chazelle) คือ การหยิบฉากต่างๆที่เราคุ้นเคยจากหนังสมัยก่อนหลายๆเรื่อง ในยุค 50-60 มาโชว์อย่างลื่นไหล อนึ่ง เหมือนการเคารพบูชา ยกย่อง คนรุ่นเก่าที่นำทางเอาไว้ได้อย่างสวยงาม กลมกลืนมากๆ เราหวนคิดถึงฉากต่างๆจาก An American in Paris, Singin’ in the Rain, Top Hat และอีกหลายเรื่อง ถูกบรรจงใส่ได้ถูกจุดถูกเวลา
ในส่วงขององค์ประกอบงานโปรดักชั่นนั้น ต้องบอกว่าสดใสละมุมไปด้วยกลิ่นไอความเก่าอย่างสร้างสรรค์ บ้านเรือนที่ดูเก่า ชุดแต่งกายของตัวละครมีเอกลักษณ์ รวมถึง 'โทนสี' ของหนังตามช่วงเวลาช่วงอารมณ์ของตัวละคร วิธีการ 'Long Take' ที่หนังทำนั้นสวยงามมาก จะเรียกว่า 'ผสมของเก่าในความใหม่' เราไม่ต้องย้อนเวลากลับไปดูหนังสมัยเก่าแล้วเพราะสมัยที่เราอยู่มีหนังเรื่องนี้บอกเล่ารูปแบบหนังเก่าให้เราได้ดูกัน ไม่เพียงแค่รูปแบบของหนังเพลงสมันเก่าเท่านั้นที่เราได้เห็น ตัวหนังยังมีวิธีหรือลูกเล่นใหม่ๆ ให้เราได้เห็นด้วย เป็นความลงตัวที่ไหลลื่นแบบหาเรื่องไหนมาเทียบได้ยากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะฉนั้น ตัวหนังในมุมกว้างของ 'La La Land' จึงเปรียบเสมือนงานศิลปะชั้นเลิศหนึ่งชิ้น ที่ต้องใช้เวลาในการมองในทุกๆมุม อย่างลุ่มลึก สิ่งต่างๆเหล่านี้ จึงเป็นน้ำหล่อเลี้ยงลำต้นได้ตลอดทั้งเรื่อง เพราะแกนหลักของลำต้นคือ 'บทเพลงต่างๆ ที่ใช้บรรยายเรื่องราว' สิ่งเหล่านี้ได้ช่วยให้เนื้อเพลงเข้าถึงใจได้มากถึงมากที่สุด 'ละมุมไปกับช่วงเวลา ตัดสลับผ่านฤดูกาล สนุกสนาน ขมขื่นในตอนท้ายสุด' มุกตลก ที่สอดแทรกมีจังหวะที่โอเคมาก แม้จะเป็นเพียงบทสนทนาเชยๆตามแบบฉบับหนังเก่าก็ตาม
'ยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลง' ประเด็นของเพลงแจ๊สกำลังจะตายจากโลกนี้ไปนั้น สำหรับเรา เราคิดว่าทุกสิ่งที่เป็นของเก่าทั้งหมดนั้นกำลังจะตายจากโลกนี้ไปทั้งนั้น เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น หนังพยายามให้เราเป็นผู้เลือกว่าจะเลือกแบบไหน 1. ดันทุรังทำของเก่าไปเรื่อยๆ ทั้งที่คนรุ่นนั้นกำลังลาโลกนี้ไป 2. ปรับเปลี่ยนปรับตัวไปตามยุคสมัยเพื่อให้ของเก่ายังดำรงหยั่งรากอยู่ได้ในยุคปัจจุบัน สิ่งนี้เปรียบเสมือนการชี้นำแบบปลายเปิด ให้คนดูตัดสินใจเลือกทางกันเอาเอง ซึ่งตอนจบก็คงเป็นคำตอบที่ตัวหนังเลือก แต่สำหรับคนดูนั้นคงต้องเลือกเส้นทางเอาเอง ตัวละครในเรื่องได้ลงมือทำทั้งสองวิธีให้เราเห็นแล้ว นั้นเปรียบเสมือนข้อคิดที่หนังนำเสนอมาให้เราดูกัน ซึ่งคำถามเหล่านั้นได้ถูกยกมาให้เราคิดตลอดระยะเวลาจนจบ
ท้ายสุด 'La La Land' คือหนังที่เราชอบที่สุดในชีวิตเรื่องหนึ่ง แกนหลักของหนังคือ 'ความฝัน' แต่กิ่งก้านนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ความผิดพลาดจากสิ่งที่ฝัน พลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ล้มแล้วล้มอีก ท้อและยอมแพ้ ปล่อยให้ความฝันนั้นหลุดมือไป เราจะยอมทิ้งความฝันนั้นไป หรือจะลุกขึ้นใหม่เพื่อทำตามความฝันนั้น คำถามที่ถามตัวเองหลังดูจบคือ ตอนนี้สิ่งที่เราฝันไว้อยู่ตรงไหน เราใกล้เคียงกับความฝันนั้นหรือเปล่า เราทำตามความฝันหรือเราเป็นเพียงคนช่างฝันแต่ไม่เคยลงมือทำ บางครั้งมันก็เจ็บปวดที่จะต้องได้ความฝันนั้นมา บางครั้งอาจต้องยอมเสียสละบางสิ่งเพื่อทุ่มทั้งชีวิตให้กับสิ่งนั้น มันจะคุ้มกันหรือเปล่าคงไม่รู้หรอก จนถึงวันที่เราเชื่อว่านั้นคือสิ่งที่เราตั้งใจไว้ มันสำเร็จแล้วนะ เมื่อถึงวันนั้น เราคงจะบอกได้ สุดท้าย 'ทุกก้าวเดิน ทุกคนเคยล้มเคยลุก เคยพยายามทุ่มทั้งตัว ไม่เคยมีใครไขว่คว้าความฝันโดยไม่เคยพลาดมาก่อน' ภาพดวงดาวของ 'นครดารา' ยังคงส่องแสงอยู่เสมอ แม้บางครั้งอาจดูเศร้าหมองไปบ้างในบางมุม คงเหมือนความฝันที่ไม่เคยสมหวัง แต่ดาวบนท้องฟ้าก็ยังคงสวยและลอยอยู่บนนั้นในทุกค่ำคืนไม่เคยไปไหน หนังจบแล้วพร้อมเสียงนับจากตัวละคร หนึ่ง สอง สาม ชีวิตจริงเริ่มต้นหลังจากนั้น เรายังคงตามหาความฝันกันอยู่เสมอ...
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page:
https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog:
http://moviesdelightclub.blogspot.com/
Review: La La Land (Damien Chazelle, 2016) เขียนโดย Form Corleone
#ไม่สปอย
By Form Corleone
" บนเส้นความฝัน ตัดสลับบนโลกความจริง " ช่วงเวลาของนครแห่งนี้นั้น เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของ 'คนช่างฝัน' ความวิจิตรของเรื่องราวคนหนุ่มสาวที่มีห้วงเวลาของการเติบโต+เรียนรู้ในการก้าวพ้นข้อจำกัดต่างๆ เพื่อมุ่งหวังในสิ่งที่ตัวเองฝันถึง สิ่งต่างๆที่หนังเรื่องนี้หล่อหลอมขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่างอย่างชัดเจนคือ ข้อความที่ส่งถึงคนหนุ่มสาวที่กำลังอยู่บนเส้นทางฝัน เติมพลังในการตามหาความฝันอย่างมี 'ความหวัง' รวมถึง 'ใจสลาย' ในตอนท้ายสุด โดยรวมจึงถือเป็นหนังที่ครบองค์ประกอบในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน เล่าผ่านเรื่องราวต่างฤดูได้อย่างลงตัว เป็นทั้ง 'ความหวานปนขม' ที่เจือจางความขมด้วย 'ความรัก' และบทเพลงที่สุดแสนลื่นหู จากคนสองคนได้อย่างละมุม+ละไม กลมกล่อมแบบหาตัวจับยาก สำหรับเราการได้นั่งดู 'La La Land' เปรียบเสมือนการนั่งไทม์แมชชีน ไปซึมซับความวิจิตรของหนังยุคเก่าๆ แม้พล็อตเรื่องจะเป็นอะไรที่สามารถเดาได้ แต่การถ่ายทอดหรือการเล่าเรื่องนั้น สามารถยกให้เรื่องราวแสนธรรมดาของคนสองคนเจิดจรัสท่ามกลางดวงดาว ภายใต้แสนไฟตามท้องถนน มวลรวมจึงให้ความรู้สึกในความเพ้อฝันบนฐานเรื่องราวชวน 'โรแมนติก' แบบย่อยง่ายแต่ใส่ความแยบยล คมคาย พิถีพิถันทุกองค์ประกอบ ตลอดจนถึงความเพลิดเพลินของดนตรีแจ๊สอันไพเราะที่สามารถดึงอารมณ์ร่วมได้อย่างดีเยี่ยม ถึงกระนั้น ด้วยความที่แนวทางของหนังเป็น 'Musical' อาจจะไม่โดดใจคนดูในวงกว้างมากเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม สำหรับเราแล้วนั้นยังคงมีความเชื่อว่าทุกคนสามารถที่จะซึบซับเรื่องราวต่างๆได้อย่างเต็มอิ่ม เต็มใจ ด้วยบทภาพยนตร์ที่ดีงามผนวกกับจังหวะหนักเบาในการเล่าเรื่อง เนื้อเพลง ท่าทาง ส่วนประกอบของฉากหลัง องค์ประกอบต่างๆมากมายที่สอดแทรกได้อย่างมีมิติ สิ่งต่างๆเหล่านี้สามารถพาเรา 'ลอยละล่อง' ไปในดินแดนที่เรียกตัวเองว่า ' La La Land' ชมชื่อเรื่องแน่นอน
' ความฝัน ความหวัง สิ่งที่ต้องแลกมา ' ไม่มีใครไม่มีความฝันหรอก เราคิดว่าทุกคนมีความฝันกันทั้งนั้นแหละ บางคนอาจเป็นฝันไม่ใหญ่มาก บางคนอาจเป็นฝันที่ยิ่งใหญ่ บางคนอาจหยุดฝันเรื่องเดิมเพื่อกำลังฝันเรื่องใหม่ ทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างทางไปถึงความฝันคือการประกอบร่างสร้างเส้นทางด้วยตัวของเราเอง แต่มันจะมีความสุขยังไงถ้าเมื่อเราถึงความฝันนั้นแล้ว กลับไม่มีคนที่เราอยากให้เขาอยู่มองความฝันของเราไปด้วยกัน มันจะมีความสุขจริงๆหรือเปล่า เมื่อเราขึ้นยอดเขาแต่กลับพบว่ามีแค่เราคนเดียวอยู่บนไหน บางคนอาจบอกว่า 'ถ้าจะทำตามความฝันจะต้องไปแคร์ใครกัน' แต่สำหรับเรา เราคิดว่า 'ความฝัน' คือการเชื่อมโยงเราไว้ระหว่างคนที่เรารัก ทุกๆครั้งที่เรามีความฝัน ฝันของเราไม่เคยมีเพียงเราคนเดียวอยู่ในนั้น ทุกครั้ง จะต้องมีคนที่เรารักอยู่ด้วยเสมอ เราเชื่อว่า 'ไม่มีความฝันไหนเกิดขึ้นจากคนๆเดียว' ตัวละครในเรื่องทั้งสองตัวต่างออกตามหาความฝันของกันและกัน แม้จะเป็นคนละฝัน แต่การที่เรายอมรับความฝันของอีกคนที่กำลังร่วมทางไปกับเรานั้น มันก็โอเคมากแล้วไม่ใช่หรือ? 'บางทีเราอาจไม่ต้องมองไปในทางเดียวกัน แค่เดินร่วมทางกันไปก็พอ' แม้สุดท้ายจะต้องแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง แต่ร่องรอยระหว่างทางที่เราพยายามเดินมาด้วยกันไม่เคยจางหายไปไหน 'เราจะยังคงรักกันเสมอ' ในวันที่เรากลับมาพบกัน 'เพียงแค่รอยยิ้มหนึ่งหน่วยนั้น' เราคิดว่าสามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆได้มากมายมหาศาลแล้วจริงๆ รอยยิ้มที่ได้เห็น 'คนที่เรารัก' ได้ทำในสิ่งที่ฝันไว้ เราไม่รู้หรอกว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะได้ความฝันที่เราต้องการ เราอาจหมดหวังไปแล้วที่จะทำสิ่งนั้นก็ได้ แต่คนข้างกายหรือครอบครัวนี้แหละ ที่ยังเป็นแรงกระตุ้นให้เรามี 'ความหวัง' เพื่อไล่ล่าตามความฝัน แม้บางครั้งเราก็ต้องยอมสละบางสิ่งไปก็ตาม ฉนั้นแล้ว 'La La Land' เปรียบเสมือนกระบวนการฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ทุกคนต้อง 'Grow Up' ช่วงเวลาสิบกว่านาทีสุดท้ายที่หนังนำเสนอนั้น จึงลุ่มลึก+เศร้า ไปพร้อมๆกัน เราร้องไห้ถึงความสัมพันธ์ที่เหมือนจะสมหวังแต่มักมีบางสิ่งขาดหายไปเสมอ นั้นหรือเปล่านะ ที่หลายคนเรียกว่า 'ชีวิตจริง'
ตัวละครในเรื่องจะเรียกว่าคู่กัดก็คงไม่มากเกินไป เพราะสามารถจะด่ากันไปมาได้ตลอด การแสดงของ 'Ryan Gosling' กับ 'Emma Stone' คงเป็นเคมีที่เข้ากันที่สุดคู่หนึ่ง แน่นอนว่าการแสดงของทั้งสองคนสามารถสะกดเราได้อยู่หมัด ไม่ว่าจะหมัดเบา หมัดหนัก ก็เป็นความเจ็บที่อบอวลไปด้วยความสุขเคล้าน้ำตา ในส่วนของ 'Ryan Gosling' เล่นน้อยแต่ใช้พลังเยอะในการถ่ายทอด เพราะบทไม่ได้โดดเด่นมาก ต้องอาศัยพลังในการแสดงค่อนข้างเยอะมากจึงจะทำให้เรารู้สึกเข้าถึงตัวละครตัวนี้แบบง่ายๆ และที่ต้องชื่มชมที่สุดคือ 'Emma Stone' ที่ให้การแสดงที่น่าจดจำมากๆ และคงเป็นความทรงจำที่พูดถึงกันไปอีกนานแสนนานแน่นอน เพราะเราเชื่อว่าเมื่อผ่านไปอีก 50 ปี หลังจากนี้ 'La La Land' จะยังคงสดใหม่และให้ความบันเทิงในทุกแง่มุมแน่นอน และเราจะสามารถบอกคนรุ่นหลังได้ว่า สมัยนั้น มีหนังที่ชื่อ 'La La Land' และเราได้ไปดูมากับตาตัวเองด้วยนะ นอกจากความสัมพันธ์ของตัวละครที่เปรียบเสมือนแรงผลักดันระหว่างกันและกันแล้วนั้น ความรักที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วลอยตามเสียงเพลงมานั้น ไม่ได้ทำให้เราติดใจหรือขุ่นเคืองใจแต่อย่างใด เพราะห้วงเวลาที่ผ่านไปนั้น เราเองก็หลงรักตัวละครทั้งสองตัวอย่างรวดเร็วเหมือนเช่นกัน ความดีงามของผู้กำกับ (Damien Chazelle) คือ การหยิบฉากต่างๆที่เราคุ้นเคยจากหนังสมัยก่อนหลายๆเรื่อง ในยุค 50-60 มาโชว์อย่างลื่นไหล อนึ่ง เหมือนการเคารพบูชา ยกย่อง คนรุ่นเก่าที่นำทางเอาไว้ได้อย่างสวยงาม กลมกลืนมากๆ เราหวนคิดถึงฉากต่างๆจาก An American in Paris, Singin’ in the Rain, Top Hat และอีกหลายเรื่อง ถูกบรรจงใส่ได้ถูกจุดถูกเวลา
ในส่วงขององค์ประกอบงานโปรดักชั่นนั้น ต้องบอกว่าสดใสละมุมไปด้วยกลิ่นไอความเก่าอย่างสร้างสรรค์ บ้านเรือนที่ดูเก่า ชุดแต่งกายของตัวละครมีเอกลักษณ์ รวมถึง 'โทนสี' ของหนังตามช่วงเวลาช่วงอารมณ์ของตัวละคร วิธีการ 'Long Take' ที่หนังทำนั้นสวยงามมาก จะเรียกว่า 'ผสมของเก่าในความใหม่' เราไม่ต้องย้อนเวลากลับไปดูหนังสมัยเก่าแล้วเพราะสมัยที่เราอยู่มีหนังเรื่องนี้บอกเล่ารูปแบบหนังเก่าให้เราได้ดูกัน ไม่เพียงแค่รูปแบบของหนังเพลงสมันเก่าเท่านั้นที่เราได้เห็น ตัวหนังยังมีวิธีหรือลูกเล่นใหม่ๆ ให้เราได้เห็นด้วย เป็นความลงตัวที่ไหลลื่นแบบหาเรื่องไหนมาเทียบได้ยากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะฉนั้น ตัวหนังในมุมกว้างของ 'La La Land' จึงเปรียบเสมือนงานศิลปะชั้นเลิศหนึ่งชิ้น ที่ต้องใช้เวลาในการมองในทุกๆมุม อย่างลุ่มลึก สิ่งต่างๆเหล่านี้ จึงเป็นน้ำหล่อเลี้ยงลำต้นได้ตลอดทั้งเรื่อง เพราะแกนหลักของลำต้นคือ 'บทเพลงต่างๆ ที่ใช้บรรยายเรื่องราว' สิ่งเหล่านี้ได้ช่วยให้เนื้อเพลงเข้าถึงใจได้มากถึงมากที่สุด 'ละมุมไปกับช่วงเวลา ตัดสลับผ่านฤดูกาล สนุกสนาน ขมขื่นในตอนท้ายสุด' มุกตลก ที่สอดแทรกมีจังหวะที่โอเคมาก แม้จะเป็นเพียงบทสนทนาเชยๆตามแบบฉบับหนังเก่าก็ตาม
'ยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลง' ประเด็นของเพลงแจ๊สกำลังจะตายจากโลกนี้ไปนั้น สำหรับเรา เราคิดว่าทุกสิ่งที่เป็นของเก่าทั้งหมดนั้นกำลังจะตายจากโลกนี้ไปทั้งนั้น เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ เป็นต้น หนังพยายามให้เราเป็นผู้เลือกว่าจะเลือกแบบไหน 1. ดันทุรังทำของเก่าไปเรื่อยๆ ทั้งที่คนรุ่นนั้นกำลังลาโลกนี้ไป 2. ปรับเปลี่ยนปรับตัวไปตามยุคสมัยเพื่อให้ของเก่ายังดำรงหยั่งรากอยู่ได้ในยุคปัจจุบัน สิ่งนี้เปรียบเสมือนการชี้นำแบบปลายเปิด ให้คนดูตัดสินใจเลือกทางกันเอาเอง ซึ่งตอนจบก็คงเป็นคำตอบที่ตัวหนังเลือก แต่สำหรับคนดูนั้นคงต้องเลือกเส้นทางเอาเอง ตัวละครในเรื่องได้ลงมือทำทั้งสองวิธีให้เราเห็นแล้ว นั้นเปรียบเสมือนข้อคิดที่หนังนำเสนอมาให้เราดูกัน ซึ่งคำถามเหล่านั้นได้ถูกยกมาให้เราคิดตลอดระยะเวลาจนจบ
ท้ายสุด 'La La Land' คือหนังที่เราชอบที่สุดในชีวิตเรื่องหนึ่ง แกนหลักของหนังคือ 'ความฝัน' แต่กิ่งก้านนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ความผิดพลาดจากสิ่งที่ฝัน พลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก ล้มแล้วล้มอีก ท้อและยอมแพ้ ปล่อยให้ความฝันนั้นหลุดมือไป เราจะยอมทิ้งความฝันนั้นไป หรือจะลุกขึ้นใหม่เพื่อทำตามความฝันนั้น คำถามที่ถามตัวเองหลังดูจบคือ ตอนนี้สิ่งที่เราฝันไว้อยู่ตรงไหน เราใกล้เคียงกับความฝันนั้นหรือเปล่า เราทำตามความฝันหรือเราเป็นเพียงคนช่างฝันแต่ไม่เคยลงมือทำ บางครั้งมันก็เจ็บปวดที่จะต้องได้ความฝันนั้นมา บางครั้งอาจต้องยอมเสียสละบางสิ่งเพื่อทุ่มทั้งชีวิตให้กับสิ่งนั้น มันจะคุ้มกันหรือเปล่าคงไม่รู้หรอก จนถึงวันที่เราเชื่อว่านั้นคือสิ่งที่เราตั้งใจไว้ มันสำเร็จแล้วนะ เมื่อถึงวันนั้น เราคงจะบอกได้ สุดท้าย 'ทุกก้าวเดิน ทุกคนเคยล้มเคยลุก เคยพยายามทุ่มทั้งตัว ไม่เคยมีใครไขว่คว้าความฝันโดยไม่เคยพลาดมาก่อน' ภาพดวงดาวของ 'นครดารา' ยังคงส่องแสงอยู่เสมอ แม้บางครั้งอาจดูเศร้าหมองไปบ้างในบางมุม คงเหมือนความฝันที่ไม่เคยสมหวัง แต่ดาวบนท้องฟ้าก็ยังคงสวยและลอยอยู่บนนั้นในทุกค่ำคืนไม่เคยไปไหน หนังจบแล้วพร้อมเสียงนับจากตัวละคร หนึ่ง สอง สาม ชีวิตจริงเริ่มต้นหลังจากนั้น เรายังคงตามหาความฝันกันอยู่เสมอ...
ขอให้มีความสุขกับการดูหนังครับ
ตัวอย่างหนัง
ฝากกด like page ด้วยนะครับ
Page: https://www.facebook.com/MoviesDelightClub/
Blog: http://moviesdelightclub.blogspot.com/