มัน..กำลังรอ

“พวก..แม่กูเสียแล้วนะ”
ข้อความทางไลน์ในกรุ๊ปรวมเพื่อนเก่าสมัยมัธยมที่อยู่วงดุริยางค์ด้วยกันเตือนขึ้น จากเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งที่ส่วนตัวผมเอง ในช่วงชีวิตมัธยมอาจจะไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่เพื่อนคนนี้ก็ ‘เคย’ คบกับเพื่อนผมคนหนึ่ง ผมจึงถึงว่าไปให้เป็นน้ำใจในฐานะเพื่อนสักหน่อย พวกผมต่างรู้ว่าแม่ของเพื่อนคนนี้ล้มป่วยด้วยโรคร้ายมานานแล้ว จนวันนี้มันถึงเวลาแล้วที่ท่านต้องจากไป
“วันจันทร์เจอกันที่วัดตอน 6 โมงครึ่งละกัน พระเริ่มสวดทุ่มนึง แต่กูจะไปช่วยถ่ายรูปก่อนตั้งแต่ 4 โมง ใครจะมาเวลานั้นก็ได้นะ” เพื่อนผมที่เป็นช่างภาพของชาวแก๊งค์แจ้งนัดหมายในกรุ๊ปไลน์ของชาวแก๊งค์อีกกรุ๊ปหนึ่งที่มีแต่ชาวแก๊งค์พวกเราด้วยกันเองจริงๆ
ผมตอบรับนัดหมายจากเพื่อนช่างภาพ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า..

‘คนอย่างผมไม่ควรไปเหยียบที่ที่มีการจัดงานศพเลย’

................................................................................................................................................................................

    “เข้าไปหาคุณตาสิลูก” แม่ของผมเอ่ยขึ้นพลางดันแผ่นหลังให้ร่างของผมในวัย 7 ขวบเดินเข้าไปหาร่างของชายวัยชราที่ผมต้องเรียกท่านว่า ‘คุณตา’ อย่างช้าๆ
    “ไหน..มาใกล้ๆ หน่อยซิ..โอ้.. นานๆ ทีจะได้เห็นหน้ากันนี่นะ” ถึงตอนนั้นผมจะยังไม่รู้ความหมายของคำว่า ‘ดูใจ’ ..ไม่รู้ความรู้สึกที่แฝงมากับแต่ละประโยคที่คุณตาเอ่ยมากับผม แต่ถามว่ามาถึงตอนนี้ ผมลืมมันลงซักประโยคมั้ย? ....ไม่เลย
    “เฮ้อ.. หลานรักเอ้ย.. ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวพรุ่งนี้ตาก็ได้ออกแล้วนะ” มืออันสันเทาของแม่ผมค่อยๆ ประคองมือเล็กๆ ของผมให้ไปวางบนฝ่ามืออันหยาบกระด้างและกำลังจะโรยราไปตามเวลาที่ใกล้จะหมดลงของคุณตา นิ้วทั้ง 5 จากฝ่ามือหยาบกระด้างห่อเข้ามาเพื่อจะจับมือหลานอย่างผมไว้แต่ไม่แน่นสนิท ด้วยเรี่ยวแรงที่ยังต้องหล่อเลี้ยงร่างกายที่เหลือเวลาอีกไม่นาน มองผ่านมือที่ประสานกันไว้ของตาหลานขึ้นไปยังหัวเตียง ผมเห็นรอยยิ้มของคุณตาที่ส่งยิ้มมาอย่างโรยรา แต่นึกย้อนอีกที..นั่นดูเป็นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจที่ท่านยังได้มีลมหายใจอยู่ดูหลานมานานถึง 7 ปี
................................................................................................................................................................................

    “ไอ้หนุ่ม!..ไอ้หนุ่ม!”
    ผมสะดุ้งตื่นขึ้นตามเสียงเรียกของโชเฟอร์รถตู้ที่พารถตู้ของตัวเองมาติดอยู่บนถนนสายหนึ่งในเวลาใกล้จะ 6 โมงตรงพอดี ผมมองผ่านกระจกหน้าไปเห็นการจราจรบนท้องถนน เห็นรถติดเรียงรายยาวไปจนสุดตา ในใจรู้ทันทีว่า ‘สงสัยได้แหงกแบบนี้อีกเป็นชั่วโมง’
    “น้ามาได้แค่นี้แหละ วัดเดินต่อไปอีกไม่ถึง 5 นาทีก็ถึงแล้ว ลงเลยก็ได้นะ” ผมพยักหน้ารับก่อนจะจ่ายเงินค่าโดยสารแล้วลงจากรถตู้ เดินไปตามทางอย่างคนไม่รู้ทาง จนกระทั่งเห็นร้านขายพวงหรีดอยู่ข้างทาง ประกอบกับคนแต่งชุดดำเดินเรียงรายไปตามทาง ผมเข้าใจได้ว่าวัดคงไปทางนั้น จึงตัดสินใจเดินตามไป
    ใช้เวลาเดินไม่ถึง 5 นาทีผมก็เดินมาถึงวัดจริงๆ เพียงแต่ว่าแบตฯ โทรศัพท์ผมหมดเสียก่อน ลืมเสียด้วยว่าศาลาไหน วัดนี้ก็กว้างไม่น้อย ผมจึงลองใช้ความสามารถบางอย่างหาตัวเพื่อนช่างภาพได้ไม่นานก็เจอ
    “มาถึงเร็วจังวะ..กูนึกว่าจะมาช้าสุดแล้วนะเนี่ย” เพื่อนผมทักขึ้นด้วยความที่ผมอยู่ไกลจากย่านที่เพื่อนๆ ผมอยู่ จึงต้องมาคนเดียว
    “พอดีรถตู้มันวิ่งทางลัดมา แล้วมันลัดมาทางที่ไม่ติดพอดี”
    “น่อววว โชคดีว่ะ..เจอรถตู้ฉลาด.. เออ เข้าไปไหว้แม่ก่อนไป” ผมเดินเข้าไปยังศาลา เพื่อนคนนั้นเดินออกมาต้อนรับผมด้วยรอยยิ้มที่พอดูออกว่าแฝงความเศร้าอยู่ไม่น้อย ผมไหว้พระพุทธรูปก่อน ตามด้วยแม่ของเพื่อนผม ตามลำดับไป ก่อนจะเดินมานั่งตรงเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ข้างนอก
................................................................................................................................................................................

    จะว่าไป.. นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยด้วยมั้ง ที่ผมได้มายังสถานที่ที่ประกอบพิธีกรรมที่เรียกว่า “งานศพ” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคคุณยายกับญาติๆ คนอื่นๆ จะต้องไปต่อแถวเพื่อรดน้ำจากขันเล็กๆ ลงไปยังฝ่ามือของคุณตาที่หลับอยู่อย่างนั้น..ผมไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนที่กำลังมองดูคุณตาที่กำลังหลับอยู่จะต้องร้องไห้อย่างหนักหนาขนาดนั้น
    “แม่คุยกับป๊าแล้วนะ อาทิตย์นี้อาจจะไม่ได้ไปโรงเรียนนะ” ยิ่งกว่านั้นคือตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่ผมต้องลาหยุดโรงเรียนนานขนาดนั้นเพราะผมมางานศพคุณตาจากกรุงเทพฯ ถึงกาญจนบุรี
    และยิ่งกว่าของยิ่งกว่าที่สุดคือ..

‘ผมไม่รู้ว่ากาญจนบุรีติดอันดับ 1 ของแดนสัมภเวสีที่น่ากลัวที่สุดในประเทศ’

................................................................................................................................................................................

    “อ้าว..มาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?”
    เพื่อนผมอีกคนหนึ่งที่มาพร้อมกับเพื่อนช่างภาพของผมตั้งแต่ 4 โมงทักขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างๆ ผมอธิบายถึงการเดินทางตั้งแต่ที่ผมอยู่มายังวัด ซึ่งมันก็พูดแบบเดียวกับเพื่อนช่างภาพของผม “โชคดีว่ะ..เจอรถตู้ฉลาด”
    “ข้าวต้มมั้ยจ๊ะ” ญาติของเพื่อนผม 2 คนที่มาช่วยงานศพวันนี้ทักขึ้น ผมพยักหน้าก่อนจะรับเอาข้าวต้มในถาดมาไว้พร้อมกันกับเพื่อนของผมอย่างรีบร้อนด้วยความที่ผมยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่กลางวัน ก่อนที่ผมจะบอกเพื่อนผม
    “ไปหลังวัดกัน กูอยากสูบบุหรี่” โชคดีที่เจ้าเพื่อนคนนี้มาถึงเร็ว ไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีใครไปสูบบุหรี่เป็นเพื่อนผมอยู่นานแน่ๆ
    ผมกับเพื่อนเดินมาถึงหลังวัด นั่งลงตรงชานบันไดมุมหนึ่ง ก่อนจะควักบุหรี่ขึ้นมาสูบคนละมวนกับเพื่อนโดยไม่วางถ้วยข้าวต้มลงบนพื้น
    “อย่าวางข้าวต้มกับพื้นเชียวนะ” ผมเตือนเพื่อนแบบเกือบลืมไปแล้ว
    “ทำไมวะ?”
    “เป็นมนุษย์ ห้ามรับของกินที่วางบนพื้น” ผมแค่บอกประโยคนี้ออกไปสั้นๆ เพื่อนผมก็เข้าใจในทันที ด้วยความที่ผมผ่านประสบการณ์พวกนี้มาพอสมควร ทำให้ผมพอรับมือและอยู่ได้โดยเข้าใจว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำบนโลกมนุษย์ โดยที่ไม่ถือเป็นการไปสะกิดต่อมกระหายของบางพวกที่ไม่ได้อยู่บนโลกมนุษย์
    อันที่จริงมันเป็นสมมุติฐานที่ผมตั้งขึ้นเองว่าถ้าเรารับของกินที่มาจากพื้น การปฎิบัติตนแบบนี้คงไม่ต่างอะไรกับ ‘พวกหิวกระหาย’ ที่มันอาจจะไม่ทำอะไรเรา แต่เราอาจจะไม่ได้กินของกินใดๆ อย่างมีความสุขซักเท่าไหร่
    “เออ..ได้ข่าวว่าไปหัวหินมา เป็นไงบ้างวะ” ผมนึกถึงเรื่องที่ผมไปหัวหินมาเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนหน้าเมื่อกลางเดือนธันวา
    “กู.. ไปกับผู้หญิงคนนึง..” ผมแกล้งหยอดให้เพื่อนผมตื่นเต้นเรื่องผมกำลังคบหากับผู้หญิงบางคน แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ายังไงที่ไปด้วยกันนั้นก็แค่เพื่อน
    “ฮันน่อวววว แล้วเป็นไงมั่ง” เพื่อนผมถามต่ออย่างตื่นเต้น
    “แล้วกูก็ได้รู้จักเค้ามากขึ้น จนกูก็รู้ว่า.. เค้าเหมือนกูมาก” ผมพยายามจะละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าเธอคนนั้นเหมือนกับผมในด้านไหน แต่ก็เผื่อใจไว้ให้เพื่อนมันถามต่ออยู่ดี
    “เหมือนยังไงวะที่ว่าเหมือนมาก?”
    “เรื่องที่ก็รู้ว่ากูเป็นคนแบบไหน..เค้าก็เป็นเหมือนกัน” บางทีนอกจากเหตุการณ์ที่ผมเจอ ‘พวกรอตัวแทน’ ตอนไปเล่นเกมลองของ 4 ด่าน หรือ น้อง Pop ที่ชัยภูมิ เรื่องที่หัวหินนั่นก็เป็นอีกเรื่องที่ผมอาจจะจำอย่างไม่มีวันลืม ทั้งมีความสุข และน่ากลัวมากในเวลาเดียวกัน รวมไปถึงเป็นหมุดแรกที่ทำให้ผมเริ่มรู้ตัวเองว่า ‘ไปที่ไหนก็เจอจริงๆ’
    “เออแล้วเคยบอกกูว่า ไม่ค่อยถูกกับงานศพ แล้วมานี่โอเคเหรอวะ?” เพื่อนผมถามขึ้นด้วยความที่มันคงนึกขึ้นได้ว่าประสบการณ์ของผมที่เกี่ยวข้องกับงานศพที่กาญจนบุรีเมื่อตอนที่ผมยัง 7 ขวบก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่
    “ยังไงก็แม่เพื่อนอ่ะนะ.. จริงอยู่ว่ากูอาจจะไม่ค่อยสนิท แต่มันก็แฟนเก่าเพื่อน มาเป็นน้ำใจหน่อยก็ดี
    เสียงบทสวดบังสุกุลดังขึ้นจากไม่ไกล ทำให้ผมกับเพื่อนรู้ว่า ที่ศาลาเริ่มสวดกันแล้ว ผมกับเพื่อนจึงดับบุหรี่พร้อมนำถ้วยข้าวต้มหลังกินเสร็จไปทิ้ง ก่อนจะเดินไปยังศาลา
................................................................................................................................................................................

    สิ้นบทสวดบทสุดท้าย ของคืนสุดท้าย ก็ถึงคราวแยกย้ายของครอบครัวและญาติๆ คนอื่นๆ ด้วยความที่คุณตาของผมค่อนข้างเป็นที่รู้จักในละแวกนั้น จึงมีคนที่มาร่วมงานศพเป็นจำนวนมาก แม่ของผมจึงบอกให้ผมจูงมือไว้ ก่อนจะมียายแก่คนหนึ่งที่ผมไม่รู้จัก แต่คาดว่าจะเป็นคนรู้จักของคุณตา เดินเข้ามามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าพลางยิ้มให้อย่างเอ็นดู ก่อนจะถามแม่ผม
    “นี่หลานตาจ่าหรอ?” ด้วยความที่คุณตาของผมเคยเป็นตำรวจ ถึงแม้ว่าจะรับยศนายดาบแล้ว แต่คนแถวนั้นที่รู้จักใจคอกันมักจะยังเรียกติดปากกันอยู่ว่า ‘ตาจ่า’ อยู่เสมอ ซึ่งแม่ผมก็ยิ้มให้พลางตอบรับว่าใช่อย่างสุภาพ “อื้ม.. โตขึ้นมันต้องดีเหมือนตามันแน่ๆ ฮ่าๆๆ”
    สักพัก ยายคนนั้นก็มองไปรอบๆ ศาลาที่จัดงาน ก่อนจะหันมาพูดประโยคหนึ่งกับผม

“กลับบ้านไปถ้าเจออะไรก็อย่าไปทักนะลูก”

................................................................................................................................................................................

    “.. ยังไหวมั้ยเนี่ย”
    เพื่อนผมทักขึ้นเมื่อเห็นว่าผมเริ่มแสดงอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงกับรู้สึกตัวเองได้ว่าร่างกายมันร้อนวูบวาบคล้ายคนใกล้จะจับไข้ ผมยิ้มให้เพื่อนอย่างแหยๆ ก่อนจะพูดตอบกลับไป “อาการปกติน่ะ..กูไปงานศพที่ไหนกูก็เป็นงี้แหละ”
    “ใช่ว่ากูจะไม่รู้สึกนะเว้ย..กูก็เริ่มรู้สึก.. ยิ้มรู้สึกตึงๆ เหมือนวิงๆ เวียนๆ ในหัว” ผมพยักหน้าให้มันเป็นการบอกว่าตอนนี้เราทั้งคู่ต่างก็อยู่ในอาการเดียวกัน
    เพื่อนผมคนนี้อาจจะไม่ได้มีสัมผัสอย่างที่ผมสัมผัสได้ แต่ด้วยความที่ผมเองก็เคยไปบ้านมันอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็ต้องพบว่า มันเองก็คลุกคลีอยู่กับเจ้าที่ 2-3 ตนในบ้านที่แกร่งกล้าไม่ใช่เล่น ไม่แปลกที่มันจะพอรับรู้อะไรได้บ้างอย่างเบาบาง ในขณะที่มันแค่วิงเวียนเบาๆ ท้องไส้ของผมกลับปั่นป่วนไปหมด เป็นสัญญาณเตือนภายในร่างกายที่บ่งบอกให้ผมรู้ว่า ‘พวกหิวกระหาย’ กำลังมารอส่วนบุญจากบทสวดบังสุกุลที่พระภิกษุสงฆ์ในศาลากำลังสวดอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าพวกนั้นไม่มีทางเข้าถึงพระสงฆ์ที่กำลังถือสายสิญจน์อยู่ทั้งกำ พวกมันจึงหันมาเล่นงานคนที่พอจะมีส่วนบุญให้มันได้เกาะกิน โดยที่อาการของคนที่ถูกเกาะกินจะแตกต่างกันออกไปตามสัมผัสที่บางคนอาจจะมี หรือไม่มีเลย ซึ่ง ณ ที่ตรงนั้น ผมดันอยู่ถูกที่พอดี และนี่คือ 1 ในเหตุผลที่ผมเจอพวกหิวกระหายหรือพวกรอตัวแทนแล้วผมจะไม่แผ่ส่วนกุศลไปให้อย่างเด็ดขาด..จะแผ่ให้ไปทำไม หากคุณเดินในชายแดนที่เต็มไปด้วยมือดีที่พร้อมจะล้วงกระเป๋า หรือขอทานที่กรูกันมาขอเงินโดยที่คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจว่า ‘พวกมันกินไม่เคยพอ’
................................................................................................................................................................................
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่