คนแบบนี้หรือที่เราจะให้เห็นผู้บริหารต่อไป ขอเชิญผู้ถือหุ้นรายย่อยมารวมพลังเพื่อแสดงพลังในวันที่ 25 มกราคม 2560 เพื่อขับไล่ให้พ้นจาก IFEC
วันนี้... บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (IFEC) ภายใต้การของ นายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการ ถูกตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้นเครื่องหมาย SP ถึง 2 ครั้ง ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน (ธันวาคม 2559-มกราคม 2560)
สาเหตุสำคัญมาจากประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบีอีจำนวน 200 ล้านบาท ที่ครบกำหนดในวันที่ 5 มกราคม 2560 แต่ “หมอวิชัย” ขอเลื่อนเป็นวันที่ 11 มกราคม 2560
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ IFEC นาทีนี้ต้องบอกว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร นั่นก็คือ “หมอวิชัย” ต้องหาทางออก และเสนอแนวทางแก้ปัญหาให้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงิน เพราะเดือนมกราคมนี้ ยังมีระเบิดอีก 2 ลูกที่รอวันระเบิด...
โดยในวันที่ 19 มกราคม มีตั๋วบีอีที่ครบกำหนดชำระคืนจำนวน 100 ล้านบาท และในวันที่ 26 มกราคม อีกจำนวน 200 ล้านบาท ไม่นับซุปเปอร์บอมบ์ที่รอวันระเบิดในเดือนกุมภาพันธ์อีกวงเงินกว่า 1,500 ล้านบาท หนี้ตั๋วบีอีทั้งสองก้อนนี้เป็นระเบิดเวลาที่รอบอมบ์ IFEC คิดเป็นมูลค่ารวมกันกว่า 2,000 ล้านบาท ที่รอการแก้ไขของฝ่ายบริหาร แต่เราในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อย กลับต้องมาติดบ่วง “ร่างแห” ไปกับการบริหารงานที่ผิดพลาดของ “หมอวิชัย” เพราะก่อนหน้านี้ให้เหตุผลกับตลาดหลักทรัพย์ฯว่า สาเหตุที่ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบีอี จำนวน 200 ล้านบาท มาจากความผิดพลาดในการประมาณการของระยะเวลาของแหล่งเงินทุนที่จะได้มา ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ แต่ล่วงเวลามาถึงวันที่ 11 มกราคม ที่ขอเลื่อนจ่ายหนี้ตั๋วบีอี กลับไม่สามารถคืนหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก กรรมการตรวจสอบและกรรมการอิสระ ของ IFEC ลาออกอีก 2 คน ทำให้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมถึงตัดสินใจลาออกในช่วงนี้ หรือมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลใน IFEC ทำให้ไม่กล้านั่งเป็นกรรมการต่อ
ในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อย อยากเรียกร้องให้ “หมอวิชัย” เร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใน IFEC โดยเฉพาะการเร่งเสนอแผนแก้ปัญหาหนี้ให้กับเจ้าหนี้ตั๋วบีอี และหุ้นกู้ ที่กำลังจะครบกำหนด อย่างเป็นรูปธรรม
แต่คงจะเป็นเรื่องที่ยากสุดๆ หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่า “หมอวิชัย” ไร้ซึ่งแผนชำระหนี้ และทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคต
ในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อย เห็นว่า “หมอวิชัย” ควรเปิดทางให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ “กลุ่มใหม่” เข้ามานั่งบริหารงาน เพราะเชื่อว่าจะเป็นทางออกที่สง่างามของ “หมอวิชัย” ที่ถือหุ้นเพียง 2% กว่าๆ เท่านั้น แต่กลับกุมอำนาจในการบริหารงานแบบเบ็ดเสร็จสร้างความเสียหายให้กับ IFEC เป็นอย่างมาก
แน่นอนว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ “กลุ่มใหม่" ย่อมมองเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจ และพร้อมที่จะดึงมืออาชีพเข้ามาร่วมบริหารงาน
เพราะเพียงช่วงเวลา 2 เดือน (ธันวาคม-มกราคม) IFEC ภายใต้การบริหารของ “หมอวิชัย” ได้เกิดความเสียหายทางเครดิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนของเครดิตที่มีกับเจ้าหนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ไม่นับรวมถึงเครดิตของ “หมอวิชัย” ที่เสียไปกับกรณีที่อดีตผู้ถือหุ้น IFEC ฟ้องหมิ่นประมาท
ในนามผู้ถือหุ้นรายย่อย ขอให้พวกเรามาแสดงพลังในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 25 มกราคม2560 นี้ และขอเรียกร้องให้ “หมอวิชัย” แสดงสปิริต ด้วยการยอมรับผลโหวต พร้อมกับเปิดทางให้กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ ได้ส่งตัวแทนเข้ามานั่งกรรมการ เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจของ IFEC ให้กลับมายืนโดดเด่นในเวทีตลาดทุนได้อีกครั้ง แม้ในเวลานี้ IFEC จะมีปัญหาหนี้ประเด ประดัง แต่ด้วยความที่ IFEC เป็นบริษัทที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน เชื่อว่าปัญหานี้จะคลี่คลายในเวลาไม่นาน ไม่ใช่ปล่อยเคว้งคว้าง เฉกเช่นทุกวันนี้ ภายใต้การบริหารงานของ “หมอวิชัย” ที่ไร้ทางออกของการแก้ปัญหา ปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยตกเป็นตัวประกัน
“นพ.วิชัย”จับผู้ถือหุ้นรายย่อยเป็นตัวประกัน...
วันนี้... บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (IFEC) ภายใต้การของ นายวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ประธานกรรมการ ถูกตลาดหลักทรัพย์ฯขึ้นเครื่องหมาย SP ถึง 2 ครั้ง ในช่วงเวลาเพียง 2 เดือน (ธันวาคม 2559-มกราคม 2560)
สาเหตุสำคัญมาจากประเด็นการผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบีอีจำนวน 200 ล้านบาท ที่ครบกำหนดในวันที่ 5 มกราคม 2560 แต่ “หมอวิชัย” ขอเลื่อนเป็นวันที่ 11 มกราคม 2560
ปัญหาที่เกิดขึ้นกับ IFEC นาทีนี้ต้องบอกว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหาร นั่นก็คือ “หมอวิชัย” ต้องหาทางออก และเสนอแนวทางแก้ปัญหาให้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงิน เพราะเดือนมกราคมนี้ ยังมีระเบิดอีก 2 ลูกที่รอวันระเบิด...
โดยในวันที่ 19 มกราคม มีตั๋วบีอีที่ครบกำหนดชำระคืนจำนวน 100 ล้านบาท และในวันที่ 26 มกราคม อีกจำนวน 200 ล้านบาท ไม่นับซุปเปอร์บอมบ์ที่รอวันระเบิดในเดือนกุมภาพันธ์อีกวงเงินกว่า 1,500 ล้านบาท หนี้ตั๋วบีอีทั้งสองก้อนนี้เป็นระเบิดเวลาที่รอบอมบ์ IFEC คิดเป็นมูลค่ารวมกันกว่า 2,000 ล้านบาท ที่รอการแก้ไขของฝ่ายบริหาร แต่เราในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อย กลับต้องมาติดบ่วง “ร่างแห” ไปกับการบริหารงานที่ผิดพลาดของ “หมอวิชัย” เพราะก่อนหน้านี้ให้เหตุผลกับตลาดหลักทรัพย์ฯว่า สาเหตุที่ผิดนัดชำระหนี้ตั๋วบีอี จำนวน 200 ล้านบาท มาจากความผิดพลาดในการประมาณการของระยะเวลาของแหล่งเงินทุนที่จะได้มา ทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ แต่ล่วงเวลามาถึงวันที่ 11 มกราคม ที่ขอเลื่อนจ่ายหนี้ตั๋วบีอี กลับไม่สามารถคืนหนี้ให้กับเจ้าหนี้ได้
ความวัวยังไม่ทันหาย ความควายเข้ามาแทรก กรรมการตรวจสอบและกรรมการอิสระ ของ IFEC ลาออกอีก 2 คน ทำให้ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ทำไมถึงตัดสินใจลาออกในช่วงนี้ หรือมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลใน IFEC ทำให้ไม่กล้านั่งเป็นกรรมการต่อ
ในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อย อยากเรียกร้องให้ “หมอวิชัย” เร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นใน IFEC โดยเฉพาะการเร่งเสนอแผนแก้ปัญหาหนี้ให้กับเจ้าหนี้ตั๋วบีอี และหุ้นกู้ ที่กำลังจะครบกำหนด อย่างเป็นรูปธรรม
แต่คงจะเป็นเรื่องที่ยากสุดๆ หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่า “หมอวิชัย” ไร้ซึ่งแผนชำระหนี้ และทิศทางการดำเนินธุรกิจในอนาคต
ในฐานะผู้ถือหุ้นรายย่อย เห็นว่า “หมอวิชัย” ควรเปิดทางให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ “กลุ่มใหม่” เข้ามานั่งบริหารงาน เพราะเชื่อว่าจะเป็นทางออกที่สง่างามของ “หมอวิชัย” ที่ถือหุ้นเพียง 2% กว่าๆ เท่านั้น แต่กลับกุมอำนาจในการบริหารงานแบบเบ็ดเสร็จสร้างความเสียหายให้กับ IFEC เป็นอย่างมาก
แน่นอนว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ “กลุ่มใหม่" ย่อมมองเห็นโอกาสในการดำเนินธุรกิจ และพร้อมที่จะดึงมืออาชีพเข้ามาร่วมบริหารงาน
เพราะเพียงช่วงเวลา 2 เดือน (ธันวาคม-มกราคม) IFEC ภายใต้การบริหารของ “หมอวิชัย” ได้เกิดความเสียหายทางเครดิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในส่วนของเครดิตที่มีกับเจ้าหนี้ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ไม่นับรวมถึงเครดิตของ “หมอวิชัย” ที่เสียไปกับกรณีที่อดีตผู้ถือหุ้น IFEC ฟ้องหมิ่นประมาท
ในนามผู้ถือหุ้นรายย่อย ขอให้พวกเรามาแสดงพลังในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 25 มกราคม2560 นี้ และขอเรียกร้องให้ “หมอวิชัย” แสดงสปิริต ด้วยการยอมรับผลโหวต พร้อมกับเปิดทางให้กลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ ได้ส่งตัวแทนเข้ามานั่งกรรมการ เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจของ IFEC ให้กลับมายืนโดดเด่นในเวทีตลาดทุนได้อีกครั้ง แม้ในเวลานี้ IFEC จะมีปัญหาหนี้ประเด ประดัง แต่ด้วยความที่ IFEC เป็นบริษัทที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน เชื่อว่าปัญหานี้จะคลี่คลายในเวลาไม่นาน ไม่ใช่ปล่อยเคว้งคว้าง เฉกเช่นทุกวันนี้ ภายใต้การบริหารงานของ “หมอวิชัย” ที่ไร้ทางออกของการแก้ปัญหา ปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยตกเป็นตัวประกัน