พอดีมีความเห็นของเพื่อนนักลงทุนท่านหนึ่งได้เข้ามาคอมเม้นท์ในกระทู้ของผม  และผมเห็นว่าเป็นความเห็นที่ดี น่าจะนำมาแชร์ต่อ รวมทั้งอยากจะแสดงความเห็นส่วนตัวในมุมมองของผมเพิ่มเติมด้วย จึงขออนุญาตเจ้าของคอมเม้นท์นำมาเป็นข้อมมูลการตอบกระทู้ด้วยครับ (ขอบคุณมากครับ)


โดยหลักการแล้วการลงทุนแบบdcaเหมาะกับคนที่เลือกหุ้นไม่เป็น
และควรจะซื้อเป็นtdexหรือกองทุน set50 ที่มีค่าดําเนินการตํ่าๆ



ในความเห็นของผม .. การลงทุนหุ้นไม่ว่าแนวไหน คงจะต้องมีความรู้พื้นฐานในหุ้นไม่มากก็น้อยครับ หากไม่มีความรู้เรื่องหุ้นเลย อาจจะต้องสอบถามจากโบรกเกอร์ว่าถ้าจะลงทุนระยะยาว 3 ปี , 5 ปี ขึ้นไปหุ้นกลุ่มไหน หรือหุ้นไหนน่าลงทุนได้บ้าง แล้วก็พิจารณาเลือกมาลัก 2-3 ตัวแล้ว DCA น่าจะพอไหวนะครับ

ส่วนการซื้อ Tdex หรือ Set50 ก็ดีครับ แต่เป็นการลงทุนหุ้นโดยรวมหลายสิบตัว ผลตอบแทนน่าจะได้ไม่มากเท่าหุ้นที่เราเลือกถูกตัว  ซึ่งเราเน้นลงทุนพียงไม่กี่ตัว โดยเน้นหุ้นที่เด่นๆใน Set 50  อีกทั้งTdex หรือ Set50 จะต้องถูกหักค่าบริหารจัดการไม่ว่ากองทุนจะได้กำไร หรือขาดทุนก็ตาม

เพราะถ้าเลือกหุ้นไม่เก่งแล้วไป dca ในหุ้นเน่า แม้จะลงทุนยาวพอร์ทก็ยังหายนะได้
การเลือกหุ้นต้องมีความรู้ในการลงทุนมากและต้องใช้เวลาศึกษาบริษัทจํานวนมาก
ว่าบริษัทไหนดีไม่ดีอย่างไร ซึ่งหลายๆคนไม่มีเวลาและไม่อยากอ่านข้อมูลแต่ละบริษัทจํานวนมาก
การลงทุนในดัชนีจึงไม่ต้องเสียเวลาศึกษาทีละบริษัทและช่วยลดโอกาสเลือกบริษัทผิด

ในความเห็นของผม ..  ปรกติหุ้นในกลุ่มที่บล.ที่มีโปรแกรมซื้อหุ้นรายเดือน ก็จะให้เลือกซื้อจากหุ้นใน Set 50 เท่านั้น ..ซึ่งหุ้นกลุ่มนี้เกือบทุกตัวน่าจะมีพื้นฐานดี เติบโตได้ต่อเนื่องอยู่แล้ว แต่การเติบโตแต่ละบริษัทอาจจะมากน้อยไม่เท่ากัน ก็คงต้องศึกษา และขอคำแนะนำจากโบรกเกอร์ หรืออาจจะเลือก และพิจารณาออมหุ้นตามนักลงทุนที่ท่านได้ลงทุนการออมหุ้น DCA ที่ประสบความสำเร็จก็น่าจะพอไหวนะครับ


แต่ถ้าเลือกหุ้นเก่งก็ไม่ควรใช้dca
ซื้อหุ้นที่ดีในตอนที่ราคาตํ่าย่อมดีกว่าซื้อทุกเดือนทั้งตอนที่ถูกและแพง
หุ้นทุกตัวที่จขกทเลือกเป็นหุ้นคุณภาพสูง แสดงว่าเลือกหุ้นเก่ง
ดูเหมือนจขกทเล่นdcaเพื่อทดลองอะไรบางอย่างมากกกว่า


ในความเห็นของผม .. เห็นด้วยครับถ้าเลือกหุ้นเก่ง ไม่ควร DCA แต่การเลือกหุ้นเก่ง แต่หาจังหวะการซื้อ การขายหุ้นไม่เก่ง ก็อาจจะได้กำไรน้อย หรืออาจจะขาดทุนก็ได้ครับ ผมเองก็ยังเลือกหุ้นผิด ซื้อแพงขายถูกก็หลายๆครั้งหลายๆตัว  คัทลอสก็บ่อยพอควรคัมลอสทุกปีครับ  ...ผมจึงกำหนดแนวทางการลงทุนโดยแบ่งเงินออกเป็น 2 ส่วน โดยลงทุนดังนี้

ส่วนที่ 1 ผมซื้อโดยการออมหุ้นทุกเดือน เพื่อให้ไม่เสียโอกาสในการลงทุน ไม่ว่าหุ้นนจะขึ้น จะลง พอร์ตผมก็มีส่วนกำไรขาดทุน แต่มองในระยะยาว หุ้นพื้นฐานดี และมีการเติบโตได้ต่อเนื่องน่าจะให้ผลตอบแทนได้มากกว่า 10% ต่อปี(โดยเฉลี่ย เกิน 5 ปี .. มโนเอานะครับ )

ส่วนที่ 2 ผมจะซื้อขายโดยตรง ก็จะเลือกซื้อเมื่อเห็นว่าหุ้นมีราคาถูก หรือราคาไม่ได้เกินพื้นฐานมากนัก (คิดเองว่าพื้นฐานแค่ไหนโอเค) หรือช่วง Grand Sale ครับ  และจะขายออกเมื่อราคาหุ้นเพิ่มมากพอสมควร ทยอยขายทำกำไรออกไปบ้างครับ ผมจะซื้อๆขายๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ บางครั้งซื้อแล้วลง ก็ต้องถือยาวหน่อย เป็น VI จำไปไปตามธรรมเนียม อิ อิ ก็เป็นหุ้นในกลุ่มที่ผม DCA นั่นแหละครับ อาจจะมีหุ้นอื่นบ้างแต่ไม่มากครับ

หลายครั้งผมเลือกหุ้นผิดตัว ผิดจังหวะ ผมก็ยอมมอบตัว และยอมคัทลอส มีคัทลอสทุกๆปีมากบ้างน้อยบ้าง  แต่โดยรวมแล้วก็ยังพอมีกำไรมากกว่าเกือบทุกปีครับ

    การลงทุนมีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนลงทุน

...แต่หากเราศึกษาและตัดสินใจไปแล้ว เมือตัดสินใจผิดก็ต้องทำใจยอมรับความผิดพลาด เพราะเราตัดสินใจเอง ฮาฮา ...แล้วนำบทเรียนนั้นมาเตือนใจการเลือกหุ้นเพื่อการลงทุนคราวต่อๆไป ก็อาจจะลดความผิดพลาดในอนาคตลงได้ ...สิ่งที่ผมได้เรียนรู้และล้มเหลวเกือบทุกครั้งคือ การซื้อหุ้นตามคำบอกและคำแนะนำของเพื่อนให้ซื้อ (เพื่อนกำไร แต่ผมขาดทุนเกือบทุกตัว)

ขาดทุนเพราะเพือ่นบอกว่าเราข่าววงใน!! ... ขาดทุนเพราะเราไม่สันทัดในหุ้นกลุ่มนั้นๆ ไม่มีความรู้พื้นฐานและลักษณะการขึ้นลงของราคาหุ้นกลุ่มนั้นๆ หรือไม่รู้ข้อจำกัดของหุ้นกลุ่มนั้นๆ บลาๆๆๆๆ

ทำให้ขาดทุนครั้งละมากๆ ...เพราะเราไม่มีความรู้ในหุ้นตัวนั้น และเกิดความโลภ อยากกำไรเร็ว เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย 55555


ปัจจุบันจะไม่ซื้อหุ้นตามเพื่อนๆที่แนะนำโดยที่เราไม่เก่งในหุ้นกลุ่มนั้น หรือหุ้นตัวนั้น หากเราไม่มีข้อมูลที่เพียงพอ ...ขอลงทุนหุ้นที่ผมรู้พื้นฐานเองดีกว่า ช้าหน่อยแต่ไม่เสี่ยง!!!!