"ภาษาที่เราใช้นั้น มีผลต่อความเข้าใจที่เรามีต่อโลกนี้" ชาวเอสกิโมเองนั้นมีคำเรียกของหิมะอยู่หลายแบบ แน่นอนว่าพวกเขาต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับหิมะที่ต่างจากเรา
Arrival เป็นหนังอีกเรื่องนึง ที่ไม่ได้เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเข้ากันได้ดีกับสิ่งที่ตัวหนังอย่างจะสื่อและนำเสนอมุมมองในเรื่องของ "เวลา" ที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง มีจุดเริ่มและจุดจบอย่างที่มนุษย์เราเข้าใจ...
สิ่งที่ชาวต่างดาวนำมามอบเป็นของขวัญให้เรานั้น คือ "ภาษา"
ภาษาต่างดาวนั้น ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าภาษาของมนุษย์เราหลายเท่า เป็นภาษาที่ไม่มีกระบวนการคิดจากหน้ามาหลัง ทีละคำอย่างที่สมองเราคิด เป็นภาษาที่สมองนั้นคิดครั้งเดียวทั้งต้นและจบ เป็นภาษาสำหรับคนที่เห็นอดีตปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นภาษาของพวกเขาจึงมีลักษณะเป็นวงกลม และมันยิ่งสวยงามก็ตรงที่ หนังได้ถ่ายถอดออกมาเป็นวงกลม ที่มันไม่ราบเรียบ มันมีร่องรอยและความขรุขระ ราวกับว่าแต่ละวงกลมที่สื่อสารออกไปนั้น มันคือเรื่องราวของอนาคตนึงที่เกิดขึ้นและจบลง หนึ่งเรื่องราว เป็นการสื่อสารที่ครบสมบูรณ์ตั้งแต่แรกจนจบ สิ่งที่นางเอกคิดว่าเป็นชื่อของพวกต่างดาว น่าจะเป็นสัญลักษณ์วงกลมที่แทนเรื่องราวการทั้งชีวิตทั้งหมดของคนๆนึง แทนการแนะนำตัวมากกว่า การที่เราจะเข้าใจและเรียนรู้ภาษานี้ มนุษย์จะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และจะเข้าใจอะไรๆในจักรวาลได้อีกมากมายมหาศาล เช่นเดียวกับนางเอกที่แม้ศึกษาเพียงนิดเดียว ก็สามารถเห็นอนาคตไปถึงประมาณยี่สิบปี ถ้าศึกษาจนถ่องแท้ อย่างน้อยจะทำให้เห็นไปถึงสามพันปีเลยทีเดียว หรือไม่แน่อาจจะเห็นทุกอย่างเป็น infinity หรือเห็นทุกๆอย่างตั้งแต่เริ่มจนจบของจักรวาลก็เป็นได้ นี่จึงเปรียบได้ดังของขวัญที่ดีที่สุด ที่ต่างดาวจะมอบให้เราได้ จึงเป็นแรงบัลดาลใจที่นางเอกนำมาตั้งเป็นชื่อลูกว่า ฮันนา ที่อ่านได้ทั้งหน้าไปหลังและหลังไปหน้า ฮันนาเป็นคนที่มีความหมายในชีวิตของนางเอกมากที่สุด ชาวต่างดาวนำของขวัญนี้มาให้ เพื่อว่าวันนึง ในอีกสามพันปี เราจะช่วยเหลือเขาได้เช่นกัน แต่ทำไมชาวต่างดาวจึงอยากให้เรามองเห็นอนาคต..
หนังแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งของแต่ละประเทศบนโลกของเราอย่างชัดเจน แต่ละประเทศนั้นไม่มีใครแชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากต่างดาว ทุกคนนึกถึงแต่ตัวเอง รวมทั้งการอวดศักดานุภาพเกี่ยวกับอาวุธ แต่อาวุธที่ดีที่สุดที่จะช่วยโลกเราได้ ก็คืออาวุธที่นางเอกมี สิ่งเดียวที่จะช่วยเหลือโลกเรา ที่มันย่ำแย่จนเกินจะเยียวยานี้ ก็คือการที่มนุษย์นั้น "ต้องเห็นจุดจบของโลกซะก่อน" โลกทั้งโลกถึงจะร่วมมือกัน และรักษาดาวโลกให้อยู่ต่อไปได้ ผมว่านี่คือสิ่งที่หนังอยากจะสื่ออย่างแท้จริง ซึ่งมันเป็นอะไรที่หนังนำเสนอออกมาได้อย่างสวยงามจริงๆ... ภาพในอนาคตที่หนังฉายให้เห็นเป็นภาพของนางเอกที่กำลังสอนภาษนี้ให้เหล่าผู้นำของโลกอยู่ ลองนึกภาพว่าถ้าคุณสามารถเห็นจุดเริ่มต้นของชีวิตบนโลกและวันที่มันล่มสลาย โดยที่รู้ว่าเราต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนั้น อย่างไม่มีทางเลี่ยง แน่นอนว่าเราต้องเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดในการปกครองประเทศ และให้ความร่วมมือกัน ดังเช่นภาพธงหลายๆประเทศที่แขวนไว้ข้างๆธงของต่างดาว
สิ่งที่ชอบมากในเรื่องนี้คือ cinematography งานภาพที่ถ่ายให้คงอยู่ในธีมของความรักและหนังไซไฟให้เข้ากันเป็นได้อย่างดีและชัดเจน หลากๆฉากตั้งใจถ่ายออกมาได้สวยมาก ภาพในบ้านของนางเอกที่เป็นทั้งความทรงจำในอนาคตและอดีต ถูกถ่ายถอดออกมาทางภาพได้ดี ฉากความรักของแม่ที่มีต่อลูก ส่วนใหญ่จะเป็นฉาก close up ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเวลาที่เราได้อยู่ใกล้คนที่เรารัก , screenplay ที่เล่าเรื่องได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกอย่างมีความสอดคล้องกันได้อย่างลงตัว และมีนัยยะช่วนให้คิดมากมาย
สิ่งที่ผมประทับใจอีกอย่างก็คือ "ทางเลือก" ของอนาคต อย่างที่หนังบอกไว้ว่ามีประมาณ 280กว่าทางเลือก จากตอนที่ต่างดาวเขียนทิ้งไว้ก่อนระเบิดในยาน ซึ่งก็ตรงกับที่นางเอกพูดไว้ว่า "คุณละเลือกใช้ชีวิตกับคนที่เรารักแบบนี้มั้ย ทั้งๆที่รู้ว่ามันจะจบลงด้วยความเจ็บปวดอย่างไร"
ส่วนประโยคในเรื่องที่ผมว่ากินใจที่สุด คงจะเป็นประโยคที่พระเอกบอกนางเอกว่า "เรามีลูกกันเถอะ" นางเอกรู้ทั้งรู้ ว่าลูกของเธอกับเขานั้น วันนึงจะต้องป่วยตาย ทั้งๆที่เธอมีทางเลือกในอนาคตมากมาย แต่เธอก็ตอบว่า "yes" และเลือกที่จะขอให้ได้ใช้เวลา กับลูกคนนี้ ที่มีความหมายที่สุดในชีวิตสำหรับเธอ แม้มันจะสั้นแค่ไหนก็ตาม
แม้แต่ตัวต่างดาวเองก็ยอมโดนระเบิดตาย ทั้งๆที่มีทางเลือกมากมาย เพียงเพื่อให้ใช้มันได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ถ้าเรามองเห็นชีวิตตั้งแต่เริ่มจนจบ ก็คงไม่สำคัญอีกต่อไปว่าชีวิตนั้นจะสั้นหรือยาวแค่ไหน นางเอกบอกไว้ตอนต้นเรื่องว่า "ฉันไม่ได้มองเห็นมันเป็นจุดเริ่มและจบอีกแล้ว" ดังนั้นการได้ใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก ยอมรับความเป็นไป และเห็นคุณค่าของมันในทุกๆวินาที จนถึงวันสุดท้าย แค่นั้นก็ย่อมเพียงพอที่สุดแล้ว แต่สำหรับผู้ที่ยังมองไม่เห็นอนาคตแบบพระเอกนั้นก็จึงไม่เข้าใจ ผมเดาว่าที่ทะเลาะกันจนเลิกกัน ก็เพราะว่าพอนางเอกเล่าให้ฟังว่าอนาคตของลูกของเราจะเป็นอย่างไร พระเอกเชื่อแน่นอนว่านางเอกรู้ แต่คงจะโมโหที่ว่าทำไม ถึงยังเลือกให้ลูกคนนี้เกิดมา ทั้งๆที่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
แต่ผมว่า ถ้าคนเราเห็นชีวิตในอนาคตทั้งชีวิตที่จะเกิดขึ้น เราจะไม่ยินร้าย กับเรื่องราวแย่ๆเพราะรู้ว่าวันนึงมันก็จะผ่านไป แต่เราจะยินดี และเห็นคุณค่าของเส้นทางที่เราเลือกเดิน เห็นถึงคุณค่าของคนที่เรารักในทุกๆวินาที
หนังเรื่องนี้เขียนบทได้ดี เล่าเรื่องได้ดีจนแทบจะไม่อยากสนใจข้อเสียทั้งหลายของหนังเลยทีเดียว
ทุกอย่างมาจากความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ผิดพลาดขออภัยครับ
รีวิว Arrival แบบสปอยด์ และพูดคุยหลังดูหนังจบ "ความสวยงามของวันเวลาที่แม้จะไม่เป็นนิรันดร์"
Arrival เป็นหนังอีกเรื่องนึง ที่ไม่ได้เล่าเรื่องอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเข้ากันได้ดีกับสิ่งที่ตัวหนังอย่างจะสื่อและนำเสนอมุมมองในเรื่องของ "เวลา" ที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง มีจุดเริ่มและจุดจบอย่างที่มนุษย์เราเข้าใจ...
สิ่งที่ชาวต่างดาวนำมามอบเป็นของขวัญให้เรานั้น คือ "ภาษา"
ภาษาต่างดาวนั้น ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่าภาษาของมนุษย์เราหลายเท่า เป็นภาษาที่ไม่มีกระบวนการคิดจากหน้ามาหลัง ทีละคำอย่างที่สมองเราคิด เป็นภาษาที่สมองนั้นคิดครั้งเดียวทั้งต้นและจบ เป็นภาษาสำหรับคนที่เห็นอดีตปัจจุบันและอนาคตเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ ดังนั้นภาษาของพวกเขาจึงมีลักษณะเป็นวงกลม และมันยิ่งสวยงามก็ตรงที่ หนังได้ถ่ายถอดออกมาเป็นวงกลม ที่มันไม่ราบเรียบ มันมีร่องรอยและความขรุขระ ราวกับว่าแต่ละวงกลมที่สื่อสารออกไปนั้น มันคือเรื่องราวของอนาคตนึงที่เกิดขึ้นและจบลง หนึ่งเรื่องราว เป็นการสื่อสารที่ครบสมบูรณ์ตั้งแต่แรกจนจบ สิ่งที่นางเอกคิดว่าเป็นชื่อของพวกต่างดาว น่าจะเป็นสัญลักษณ์วงกลมที่แทนเรื่องราวการทั้งชีวิตทั้งหมดของคนๆนึง แทนการแนะนำตัวมากกว่า การที่เราจะเข้าใจและเรียนรู้ภาษานี้ มนุษย์จะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และจะเข้าใจอะไรๆในจักรวาลได้อีกมากมายมหาศาล เช่นเดียวกับนางเอกที่แม้ศึกษาเพียงนิดเดียว ก็สามารถเห็นอนาคตไปถึงประมาณยี่สิบปี ถ้าศึกษาจนถ่องแท้ อย่างน้อยจะทำให้เห็นไปถึงสามพันปีเลยทีเดียว หรือไม่แน่อาจจะเห็นทุกอย่างเป็น infinity หรือเห็นทุกๆอย่างตั้งแต่เริ่มจนจบของจักรวาลก็เป็นได้ นี่จึงเปรียบได้ดังของขวัญที่ดีที่สุด ที่ต่างดาวจะมอบให้เราได้ จึงเป็นแรงบัลดาลใจที่นางเอกนำมาตั้งเป็นชื่อลูกว่า ฮันนา ที่อ่านได้ทั้งหน้าไปหลังและหลังไปหน้า ฮันนาเป็นคนที่มีความหมายในชีวิตของนางเอกมากที่สุด ชาวต่างดาวนำของขวัญนี้มาให้ เพื่อว่าวันนึง ในอีกสามพันปี เราจะช่วยเหลือเขาได้เช่นกัน แต่ทำไมชาวต่างดาวจึงอยากให้เรามองเห็นอนาคต..
หนังแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งของแต่ละประเทศบนโลกของเราอย่างชัดเจน แต่ละประเทศนั้นไม่มีใครแชร์สิ่งที่ได้เรียนรู้จากต่างดาว ทุกคนนึกถึงแต่ตัวเอง รวมทั้งการอวดศักดานุภาพเกี่ยวกับอาวุธ แต่อาวุธที่ดีที่สุดที่จะช่วยโลกเราได้ ก็คืออาวุธที่นางเอกมี สิ่งเดียวที่จะช่วยเหลือโลกเรา ที่มันย่ำแย่จนเกินจะเยียวยานี้ ก็คือการที่มนุษย์นั้น "ต้องเห็นจุดจบของโลกซะก่อน" โลกทั้งโลกถึงจะร่วมมือกัน และรักษาดาวโลกให้อยู่ต่อไปได้ ผมว่านี่คือสิ่งที่หนังอยากจะสื่ออย่างแท้จริง ซึ่งมันเป็นอะไรที่หนังนำเสนอออกมาได้อย่างสวยงามจริงๆ... ภาพในอนาคตที่หนังฉายให้เห็นเป็นภาพของนางเอกที่กำลังสอนภาษนี้ให้เหล่าผู้นำของโลกอยู่ ลองนึกภาพว่าถ้าคุณสามารถเห็นจุดเริ่มต้นของชีวิตบนโลกและวันที่มันล่มสลาย โดยที่รู้ว่าเราต้องใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนั้น อย่างไม่มีทางเลี่ยง แน่นอนว่าเราต้องเลือกเส้นทางที่ดีที่สุดในการปกครองประเทศ และให้ความร่วมมือกัน ดังเช่นภาพธงหลายๆประเทศที่แขวนไว้ข้างๆธงของต่างดาว
สิ่งที่ชอบมากในเรื่องนี้คือ cinematography งานภาพที่ถ่ายให้คงอยู่ในธีมของความรักและหนังไซไฟให้เข้ากันเป็นได้อย่างดีและชัดเจน หลากๆฉากตั้งใจถ่ายออกมาได้สวยมาก ภาพในบ้านของนางเอกที่เป็นทั้งความทรงจำในอนาคตและอดีต ถูกถ่ายถอดออกมาทางภาพได้ดี ฉากความรักของแม่ที่มีต่อลูก ส่วนใหญ่จะเป็นฉาก close up ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเวลาที่เราได้อยู่ใกล้คนที่เรารัก , screenplay ที่เล่าเรื่องได้ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ทุกอย่างมีความสอดคล้องกันได้อย่างลงตัว และมีนัยยะช่วนให้คิดมากมาย
สิ่งที่ผมประทับใจอีกอย่างก็คือ "ทางเลือก" ของอนาคต อย่างที่หนังบอกไว้ว่ามีประมาณ 280กว่าทางเลือก จากตอนที่ต่างดาวเขียนทิ้งไว้ก่อนระเบิดในยาน ซึ่งก็ตรงกับที่นางเอกพูดไว้ว่า "คุณละเลือกใช้ชีวิตกับคนที่เรารักแบบนี้มั้ย ทั้งๆที่รู้ว่ามันจะจบลงด้วยความเจ็บปวดอย่างไร"
ส่วนประโยคในเรื่องที่ผมว่ากินใจที่สุด คงจะเป็นประโยคที่พระเอกบอกนางเอกว่า "เรามีลูกกันเถอะ" นางเอกรู้ทั้งรู้ ว่าลูกของเธอกับเขานั้น วันนึงจะต้องป่วยตาย ทั้งๆที่เธอมีทางเลือกในอนาคตมากมาย แต่เธอก็ตอบว่า "yes" และเลือกที่จะขอให้ได้ใช้เวลา กับลูกคนนี้ ที่มีความหมายที่สุดในชีวิตสำหรับเธอ แม้มันจะสั้นแค่ไหนก็ตาม
แม้แต่ตัวต่างดาวเองก็ยอมโดนระเบิดตาย ทั้งๆที่มีทางเลือกมากมาย เพียงเพื่อให้ใช้มันได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ถ้าเรามองเห็นชีวิตตั้งแต่เริ่มจนจบ ก็คงไม่สำคัญอีกต่อไปว่าชีวิตนั้นจะสั้นหรือยาวแค่ไหน นางเอกบอกไว้ตอนต้นเรื่องว่า "ฉันไม่ได้มองเห็นมันเป็นจุดเริ่มและจบอีกแล้ว" ดังนั้นการได้ใช้ชีวิตกับคนที่เรารัก ยอมรับความเป็นไป และเห็นคุณค่าของมันในทุกๆวินาที จนถึงวันสุดท้าย แค่นั้นก็ย่อมเพียงพอที่สุดแล้ว แต่สำหรับผู้ที่ยังมองไม่เห็นอนาคตแบบพระเอกนั้นก็จึงไม่เข้าใจ ผมเดาว่าที่ทะเลาะกันจนเลิกกัน ก็เพราะว่าพอนางเอกเล่าให้ฟังว่าอนาคตของลูกของเราจะเป็นอย่างไร พระเอกเชื่อแน่นอนว่านางเอกรู้ แต่คงจะโมโหที่ว่าทำไม ถึงยังเลือกให้ลูกคนนี้เกิดมา ทั้งๆที่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร
แต่ผมว่า ถ้าคนเราเห็นชีวิตในอนาคตทั้งชีวิตที่จะเกิดขึ้น เราจะไม่ยินร้าย กับเรื่องราวแย่ๆเพราะรู้ว่าวันนึงมันก็จะผ่านไป แต่เราจะยินดี และเห็นคุณค่าของเส้นทางที่เราเลือกเดิน เห็นถึงคุณค่าของคนที่เรารักในทุกๆวินาที
หนังเรื่องนี้เขียนบทได้ดี เล่าเรื่องได้ดีจนแทบจะไม่อยากสนใจข้อเสียทั้งหลายของหนังเลยทีเดียว
ทุกอย่างมาจากความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ผิดพลาดขออภัยครับ