ระบบการศึกษาในประเทศเยอรมนี ตอนที่ 2
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.facebook.com/aDiaryofaMomofThreeGirls/
ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานในประเทศเยอรมนีประเภทแรก คือ การเรียนในโรงเรียนอนุบาล โดยเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 3 - 6 ขวบ
แนวทางการเรียนการสอนของที่นี่นั้นจะไม่เน้นวิชาการมาก แต่จะเน้นกิจกรรมและการเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆ ในแต่ละช่วงวัย โดยจะแบ่งเด็กออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเด็กเล็ก (3 - 4 ขวบ) กลุ่มเด็กกลาง (4 - 5 ขวบ) และ กลุ่มเด็กโต (5 - 6 ขวบ)
ภายใต้กิจกรรม การเล่น และการประดิษฐ์งานฝีมือนั้น เด็กๆ ก็อยู่ภายใต้ระเบียบและกฎกติการ่วมกัน โดยคุณครูในระดับอนุบาล หรือที่เรียกว่า Erzieherin ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่ต้องจบหลักสูตรทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเกี่ยวกับการดูแลเด็กเล็กร่วมกันคอยดูแล ทั้งนี้ิ ทางภาครัฐยังจัดสรรบุคคลผู้เชี่ยวชาญบางด้านที่สำคัญต่อพัฒนาการเด็กให้แก่โรงเรียนอนุบาลเพื่อช่วยสอนเด็กๆ ในโรงเรียนอีกด้วย อาทิ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและการออกเสียง, ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคม, ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี เป็นต้น นอกจากนี้ ทางโรงเรียนอนุบาลยังร่วมมือกับผู้ปกครองในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนเด็กๆ เช่น การจัดกิจกรรมการกุศลร่วมกัน การอบขนมคุ้กกี้เนื่องในเทศกาลคริสต์มาส การอ่านนิทานภาษาอังกฤษ การวาดรูป เป็นต้น
เด็กๆ ที่นี่จะจ่ายค่าอนุบาลเป็นเดือน โดยอาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเมืองและภูมิภาค สำหรับเมืองที่เราอยู่นี้ ผู้ปกครองจะจ่ายประมาณ 80 กว่ายูโร ต่อเด็กหนึ่งคนต่อหนึ่งเดือน
สิ่งที่น่าประทับใจ จากประสบการณ์ของเรากับลูกๆ จากโรงเรียนอนุบาลในประเทศเยอรมนี คือ
1. ภาครัฐ เข้ามาร่วมมือ ช่วยเหลือ ดูแล และสนับสนุนการเรียนการสอนแก่โรงเรียนอนุบาลอย่างมีนัยยะและให้ความสำคัญ
2. การสร้างสรรค์กิจกรรมที่เข้าใจและเสริมสร้างพัฒนาการแก่เด็กเล็กๆ อันไปสู่การวางรากฐานการเรียนรู้ในด้านวิชาการต่อไป เมื่อพวกเขาไปโรงเรียน
3. คุณครูและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆ ถูกฝึกมาโดยตรงกับสาขาที่เรียน ทำให้พวกเขามีความรู้ความเข้าใจที่สามารถใช้กับเด็กๆ ได้อย่างแท้จริง
4. โรงเรียนของลูกๆ เรานั้น มีเด็กๆ ทั้งหมด 36 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 18 คน ในแต่ละกลุ่มมีครู 3 คน คอยดูแล นี่ยังไม่รวมผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่จะคอยแวะเวียนมาช่วยทำกิจกรรมและดูแลเด็กๆ อย่างเป็นประจำในบางวันของสัปดาห์ นอกจากนี้ โรงเรียนอนุบาลยังเปิดรับเด็กสาวที่เรียนเกี่ยวกับการเป็นคุณครูอนุบาลเข้ามาทำงานร่วมด้วยอีกด้วย เรียกได้ว่า เราเองรู้สึกพอใจกับจำนวนและคุณภาพการดูแลเด็กๆ ของโรงเรียนอนุบาลของที่นี่เป็นอย่างมากทีเดียว คือ เรียกได้ว่า ทั่วถึง
5. แนวคิดของการทำกิจกรรมนั้น จะเน้นที่การร้องเพลง การทำงานฝีมือ การเล่นเป็นกลุ่ม การออกไปเดินป่า และเมื่อเด็กโตเริ่มโตขึ้น จนถึงวัยก่อนเข้าโรงเรียน ประมาณ 5 - 6 ขวบ ทางโรงเรียนอนุบาลก็จะเริ่มเพิ่มกิจกรรมที่เกี่ยวกับวิชาการมากขึ้น
แต่เป็นที่แน่นอนว่า ไม่ใช่แบบมานั่งทำข้อสอบ หรือมีการบ้านอะไรแต่อย่างใด (โรงเรียนอนุบาลที่นี่ไม่มีการบ้าน!) เพราะลักษณะการเรียนรู้ยังคงเป็นแบบการเล่น เช่น อาณาจักรการนับเลข พวกเขาก็จะทำกิจกรรมที่ทำให้เด็กๆ รู้จักตัวเลขแบบสนุกๆ นับเลขแบบสนุกๆ คือ ให้เด็กๆ สนุกและหัวเราะเอาไว้ก่อน
เด็กโตที่ใกล้จะเข้าโรงเรียนแล้วก็จะมีกิจกรรมนอกโรงเรียนนอกขึ้น เช่น การทัศนศึกษาตามสถานที่สำคัญต่างๆ การไปเที่ยวชมประสาท ราชวัง และที่สำคัญ คือ การไปรับการตรวจเช็คความพร้อมทั้งในด้านร่างกายและความรู้ เพื่อเตรัยมความพร้อมก่อนเข้าสู่ระบบโรงเรียนต่อไป ระบบดังกล่าวนี้ เรียกว่า Vorschulung โดยทางรัฐร่วมมือกับโรงเรียนอนุบาลและกระทรวงสาธารณสุขในการจัดการตรวจสุขภาพและความพร้อมของเด็กๆ ก่อนเข้าโรงเรียน ซึ่งเราถือว่าดีมาก เพราะการตรวจในครั้งนี้ โรงเรียนอนุบาลและผู้ปกครองจะได้รับรายงานว่าเด็กๆ แต่ละคนนั้นมีความพร้อมหรือไม่และอย่างไรก่อนเข้าโรงเรียน รวมถึงหากตรวจพบว่า เด็กบางคนมีปัญหา เช่น ด้านการเรียนรู้ ก็จะส่งเด็กเหล่านี้ไปยังโรงเรียนพิเศษที่เหมาะสม หรือ เด็กบางคนอาจมีปัญหาเริ่องภาษา เช่น ออกเสียงไม่ถูกต้อง ชัดเจน พวกเขาจะถูกส่งไปหาแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการฝึกออกเสียง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นของคุณครูอนุบาลที่ดูแลเด็กคนนั้นๆ นั่นมีน้ำหนักที่สุด โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับผลการตรวจของแพทย์ในกระบวนการ Vorschulung
6. เท่าที่สังเกต เด็กๆ ที่นี่จะมีความมั่นใจและกล้าแสดงออกความคิดเห็นกันตั้งแต่เด็กๆ เลย เราคิดว่านั่นเป็นเพราะแนวคิดและวิธีการสอนของคนที่นี่ที่จะไม่บังคับเด็กมาก รวมถึงยอมรับฟังความคิดเห็นของพวกเขาด้วย หากคุณครูอนุบาลหรือโรงเรียนพบว่า เด็กบางคน มีแนวโน้มถูกบังคับจากผู้ปกครองให้ทำบางอย่างที่เด็กๆ ไม่ชอบ และไม่มีความสุข คุณครูโรงเรียนอนุบาลหรือโรงเรียนเหล่านี้จะไม่ยอมรับลักษณะเช่นนี้ และอาจมีการพูดคุยกับผู้ปกครองในกรณีดังกล่าว
สรุปว่า เด็กๆ อนุบาลส่วนใหญ่ของที่นี่ เล่น เล่น และเล่น โดยชีวิตมีเสียงหัวเราะ งานประดิษฐ์ และการเดินป่าค่ะ
--- คนเป็นแม่ก็มีความสุขไปด้วยที่เห็นลูกมีความสุขและเติบโตแบบมีความมั่นใจ
มนุษย์แม่ ดร. ลูกสามอยากเล่า: ระบบการศึกษาในประเทศเยอรมนี (ตอนที่ 2)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ระบบการศึกษาขั้นพื้นฐานในประเทศเยอรมนีประเภทแรก คือ การเรียนในโรงเรียนอนุบาล โดยเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 3 - 6 ขวบ
แนวทางการเรียนการสอนของที่นี่นั้นจะไม่เน้นวิชาการมาก แต่จะเน้นกิจกรรมและการเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กๆ ในแต่ละช่วงวัย โดยจะแบ่งเด็กออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเด็กเล็ก (3 - 4 ขวบ) กลุ่มเด็กกลาง (4 - 5 ขวบ) และ กลุ่มเด็กโต (5 - 6 ขวบ)
ภายใต้กิจกรรม การเล่น และการประดิษฐ์งานฝีมือนั้น เด็กๆ ก็อยู่ภายใต้ระเบียบและกฎกติการ่วมกัน โดยคุณครูในระดับอนุบาล หรือที่เรียกว่า Erzieherin ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่ต้องจบหลักสูตรทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเกี่ยวกับการดูแลเด็กเล็กร่วมกันคอยดูแล ทั้งนี้ิ ทางภาครัฐยังจัดสรรบุคคลผู้เชี่ยวชาญบางด้านที่สำคัญต่อพัฒนาการเด็กให้แก่โรงเรียนอนุบาลเพื่อช่วยสอนเด็กๆ ในโรงเรียนอีกด้วย อาทิ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและการออกเสียง, ผู้เชี่ยวชาญด้านสังคม, ผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี เป็นต้น นอกจากนี้ ทางโรงเรียนอนุบาลยังร่วมมือกับผู้ปกครองในการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อสนับสนุนเด็กๆ เช่น การจัดกิจกรรมการกุศลร่วมกัน การอบขนมคุ้กกี้เนื่องในเทศกาลคริสต์มาส การอ่านนิทานภาษาอังกฤษ การวาดรูป เป็นต้น
เด็กๆ ที่นี่จะจ่ายค่าอนุบาลเป็นเดือน โดยอาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเมืองและภูมิภาค สำหรับเมืองที่เราอยู่นี้ ผู้ปกครองจะจ่ายประมาณ 80 กว่ายูโร ต่อเด็กหนึ่งคนต่อหนึ่งเดือน
สิ่งที่น่าประทับใจ จากประสบการณ์ของเรากับลูกๆ จากโรงเรียนอนุบาลในประเทศเยอรมนี คือ
1. ภาครัฐ เข้ามาร่วมมือ ช่วยเหลือ ดูแล และสนับสนุนการเรียนการสอนแก่โรงเรียนอนุบาลอย่างมีนัยยะและให้ความสำคัญ
2. การสร้างสรรค์กิจกรรมที่เข้าใจและเสริมสร้างพัฒนาการแก่เด็กเล็กๆ อันไปสู่การวางรากฐานการเรียนรู้ในด้านวิชาการต่อไป เมื่อพวกเขาไปโรงเรียน
3. คุณครูและผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆ ถูกฝึกมาโดยตรงกับสาขาที่เรียน ทำให้พวกเขามีความรู้ความเข้าใจที่สามารถใช้กับเด็กๆ ได้อย่างแท้จริง
4. โรงเรียนของลูกๆ เรานั้น มีเด็กๆ ทั้งหมด 36 คน โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 18 คน ในแต่ละกลุ่มมีครู 3 คน คอยดูแล นี่ยังไม่รวมผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่จะคอยแวะเวียนมาช่วยทำกิจกรรมและดูแลเด็กๆ อย่างเป็นประจำในบางวันของสัปดาห์ นอกจากนี้ โรงเรียนอนุบาลยังเปิดรับเด็กสาวที่เรียนเกี่ยวกับการเป็นคุณครูอนุบาลเข้ามาทำงานร่วมด้วยอีกด้วย เรียกได้ว่า เราเองรู้สึกพอใจกับจำนวนและคุณภาพการดูแลเด็กๆ ของโรงเรียนอนุบาลของที่นี่เป็นอย่างมากทีเดียว คือ เรียกได้ว่า ทั่วถึง
5. แนวคิดของการทำกิจกรรมนั้น จะเน้นที่การร้องเพลง การทำงานฝีมือ การเล่นเป็นกลุ่ม การออกไปเดินป่า และเมื่อเด็กโตเริ่มโตขึ้น จนถึงวัยก่อนเข้าโรงเรียน ประมาณ 5 - 6 ขวบ ทางโรงเรียนอนุบาลก็จะเริ่มเพิ่มกิจกรรมที่เกี่ยวกับวิชาการมากขึ้น
แต่เป็นที่แน่นอนว่า ไม่ใช่แบบมานั่งทำข้อสอบ หรือมีการบ้านอะไรแต่อย่างใด (โรงเรียนอนุบาลที่นี่ไม่มีการบ้าน!) เพราะลักษณะการเรียนรู้ยังคงเป็นแบบการเล่น เช่น อาณาจักรการนับเลข พวกเขาก็จะทำกิจกรรมที่ทำให้เด็กๆ รู้จักตัวเลขแบบสนุกๆ นับเลขแบบสนุกๆ คือ ให้เด็กๆ สนุกและหัวเราะเอาไว้ก่อน
เด็กโตที่ใกล้จะเข้าโรงเรียนแล้วก็จะมีกิจกรรมนอกโรงเรียนนอกขึ้น เช่น การทัศนศึกษาตามสถานที่สำคัญต่างๆ การไปเที่ยวชมประสาท ราชวัง และที่สำคัญ คือ การไปรับการตรวจเช็คความพร้อมทั้งในด้านร่างกายและความรู้ เพื่อเตรัยมความพร้อมก่อนเข้าสู่ระบบโรงเรียนต่อไป ระบบดังกล่าวนี้ เรียกว่า Vorschulung โดยทางรัฐร่วมมือกับโรงเรียนอนุบาลและกระทรวงสาธารณสุขในการจัดการตรวจสุขภาพและความพร้อมของเด็กๆ ก่อนเข้าโรงเรียน ซึ่งเราถือว่าดีมาก เพราะการตรวจในครั้งนี้ โรงเรียนอนุบาลและผู้ปกครองจะได้รับรายงานว่าเด็กๆ แต่ละคนนั้นมีความพร้อมหรือไม่และอย่างไรก่อนเข้าโรงเรียน รวมถึงหากตรวจพบว่า เด็กบางคนมีปัญหา เช่น ด้านการเรียนรู้ ก็จะส่งเด็กเหล่านี้ไปยังโรงเรียนพิเศษที่เหมาะสม หรือ เด็กบางคนอาจมีปัญหาเริ่องภาษา เช่น ออกเสียงไม่ถูกต้อง ชัดเจน พวกเขาจะถูกส่งไปหาแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการฝึกออกเสียง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นของคุณครูอนุบาลที่ดูแลเด็กคนนั้นๆ นั่นมีน้ำหนักที่สุด โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามีความคิดเห็นไม่ตรงกันกับผลการตรวจของแพทย์ในกระบวนการ Vorschulung
6. เท่าที่สังเกต เด็กๆ ที่นี่จะมีความมั่นใจและกล้าแสดงออกความคิดเห็นกันตั้งแต่เด็กๆ เลย เราคิดว่านั่นเป็นเพราะแนวคิดและวิธีการสอนของคนที่นี่ที่จะไม่บังคับเด็กมาก รวมถึงยอมรับฟังความคิดเห็นของพวกเขาด้วย หากคุณครูอนุบาลหรือโรงเรียนพบว่า เด็กบางคน มีแนวโน้มถูกบังคับจากผู้ปกครองให้ทำบางอย่างที่เด็กๆ ไม่ชอบ และไม่มีความสุข คุณครูโรงเรียนอนุบาลหรือโรงเรียนเหล่านี้จะไม่ยอมรับลักษณะเช่นนี้ และอาจมีการพูดคุยกับผู้ปกครองในกรณีดังกล่าว
สรุปว่า เด็กๆ อนุบาลส่วนใหญ่ของที่นี่ เล่น เล่น และเล่น โดยชีวิตมีเสียงหัวเราะ งานประดิษฐ์ และการเดินป่าค่ะ
--- คนเป็นแม่ก็มีความสุขไปด้วยที่เห็นลูกมีความสุขและเติบโตแบบมีความมั่นใจ