การลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานผสานเทคนิคนั้นทำให้เรามองเห็นถึงเหรียญสองด้านในการลงทุนค่ะ
จังหวะเข้าซื้อ
ตามทฤษฎีปัจจัยพื้นฐาน : หากเรามีความสามารถในการประเมินมูลค่าพื้นฐานอย่างแม่นยำแล้ว จังหวะที่เราเข้าซื้อหุ้นเราจะได้หุ้นในราคาที่ดีเหมาะสมกับมูลค่าของกิจการ หรือบางจังหวะที่ตลาดมีความผันผวนราคาที่เราเข้าซื้อหุ้นอาจจะเป็นราคาที่ถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานหรือที่เรียกกันว่ามี Margin of safety
ในทางปฏิบัติ : การซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสมกับมูลค่าพื้นฐานนั้นเป็นสิ่งที่ยาก ไม่ใช่เรื่องที่นักลงทุนมือใหม่จะสามารถทำได้ง่ายค่ะ ต้องอาศัยความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่ยาวนานพอสมควรค่ะ กว่าจะสามารถประเมินมูลค่าที่เหมาะสมได้ และเมื่อเข้าซื้อแล้วอาจต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าราคาหุ้นจะขยับขึ้นไปตามพื้นฐานของกิจการ ช่วงเวลาที่เรา "รอ" ตรงนี้อาจกินเวลานานหลายเดือนหรือยาวนานเป็นปีค่ะ
ตรงนี้เรามองว่าเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนบางท่านไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนค่ะ เพราะเมื่อระยะเวลาที่รอให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปกินเวลายาวนาน หาก "จิตใจ" ของเราไม่มั่นคงแล้ว เราอาจหวั่นไหวไปตามภาวะของตลาดซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆวันตามปัจจัยที่เข้ามากระทบ รวมถึงตัวหุ้นที่เราถือก็อาจมีข่าวสารมากระทบทั้งปัจจัยบวก และปัจจัยลบค่ะ
เพื่อให้เห็นภาพเรามาลองดูกราฟนี้กันค่ะ
จากกราฟ เราจะเห็นว่าหุ้นมีการเคลื่อนตัวอยู่ในแนว sideway ในช่วงเวลาหนึ่ง สมมติว่าเรามาพบหุ้นที่คาดว่าจะเป็นหุ้นที่เติบโตในอนาคตช่วงเดือน พฤษภาคม (May) หากเราเป็นนักลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน เมื่อเราพบหุ้นที่คาดว่าจะเติบโตสูงขึ้นในอนาคตเราก็ทำการเข้าซื้อทันที เพราะเชื่อว่าถึงแม้ว่าจะพบกับความผันผวนของราคาหุ้น แต่วันหนึ่งราคาหุ้นก็จะขยับสูงขึ้นไปตามพื้นฐานกิจการที่มีการเติบโต
หากเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ด้านปัจจัยพื้นฐาน + มีความรู้ด้านจิตวิทยาการลงทุน เราเชื่อว่านักลงทุนจะประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่างแน่นอนค่ะ แต่เหตุใดจึงมีนักลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จเกิดขึ้น ก็เพราะว่านักลงทุนบางท่าน ไม่สามารถอดทนต่อความผันผวนของราคาหุ้นได้ค่ะ
จากภาพจะเห็นว่าช่วงเวลาที่หุ้นเคลื่อนตัวในกรอบ sideway กินเวลายาวนานตั้งแต่ พฤษภาคม(May) - พฤศจิกายน (Nov) รวมระยะเวลายาวนานถึง 7 เดือน เวลาเจ็ดเดือนเป็นเวลาที่มากเพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนเกิดความ"หวาดหวั่น" ขึ้นในใจ และเป็นที่มาของความ "สงสัย" ในตัวหุ้นค่ะ
หลายคนคงพบเห็นการตั้งกระทู้ถามรายวันว่าคิดเห็นว่าหุ้นตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ทำไมหุ้น XXX พื้นฐานดีแต่ราคาลงมากจัง คัทดีมั้ย?
มีข่าวอะไรเหรอคะ หุ้นXXX ถึงได้โดนทุบขนาดนี้
และอื่นๆอีกมากมาย
หากเราใช้เครื่องมือด้านกราฟเทคนิคเข้าประกอบการลงทุนจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองมาดูกันค่ะ
จากภาพจะเห็นว่า หุ้นเคลื่อนตัวในกรอบ sideway ช่วงเดือนพฤษภาคม ราคาหุ้นในกรอบด้านล่างอยู่ที่ 1.80 บาท และขึ้นไปสูงประมาณ 2.20 บาท (ในวงกลมสีเขียว) มีส่วนต่างราคามากถึง 18% นั่นแปลว่าหากเราซื้อที่ราคา 1.80 บาทจะมีกำไร +18%
แล้วช่วงเวลาถัดมา กำไร 18% ของเราก็หายวับไปกับตา เพราะราคาหุ้นกลับร่วงจาก 2.20 ลงมาที่ 1.80 อีกครั้ง (วงกลมสีเหลือง)
เหตุการณ์แบบนี้เป็นที่มาของ "ความกลัว" ที่จะส่งผลให้เราไม่ประสบความสำเร็จค่ะ ตรงนี้เป็นจุดที่นักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนน้อยจะเริ่มหวั่นไหวไปกับความผันผวนของราคาค่ะ เมื่อหุ้นเคลื่อนตัวขึ้นอีกครั้งจาก ราคา 1.80 ไปที่ 2.20 นักลงทุนที่หวั่นไหวก็จะเริ่มขายเพราะความหวาดกลัวว่าราคาจะตกลงไปที่ 1.80 อีกครั้ง ซึ่งเป็นที่มาของการขายหมูตัวเบ้อเริ่มเลยค่ะ
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราคิดว่าการศึกษาทางด้านพื้นฐานเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอค่ะ เรื่องจิตวิทยาการลงทุนก็สำคัญไม่แพ้กัน และหากเราศึกษาทางด้านกราฟเทคนิคเพิ่มด้วย เราจะสามารถทนต่อภาวะความผันผวนของราคาหุ้นได้ดีขึ้นเพราะเราทราบถึงกรอบการเคลื่อนไหวแบบ sideway ของราคาหุ้นค่ะ
ตรงจุดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ประสบการณ์ การลงทุนของเราทำให้เราตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นในจังหวะที่ราคาหุ้นเคลื่อนออกนอกกรอบ sideway แล้ว เพราะเราไม่ต้องทรมานใจกับความผันผวนของราคาหุ้นค่ะ หัวใจเราไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะคะ หุ้นวิ่งขึ้นวิ่งลงก็หวั่นไหวค่ะ 555 ในอดีตเราก็เคยขายหมูตัวเบ้อเริ่มมาก่อนค่ะ หลังจากขายไป 3 วัน ขึ้นเสยหน้าเลยค่ะ เรื่องมันเศร้าขอเหล้าเข้มๆค่ะ 555 เล่าตอนนี้มันก็ขำดีนะคะ แต่ช่วงนั้นก็ซึมไปหลายวันค่ะ เพราะเราเลือกหุ้นจากปัจจัยพื้นฐานทำการบ้านก่อนซื้อค่อนข้างมากค่ะ เสียใจแต่ชีวิตต้องไปต่อค่ะ ถึงไม่ได้กำไรแต่ได้ประสบการณ์ค่ะ
เราจึงขอใช้ทางสายกลางด้วยการลงทุนแบบปัจจัยพื้นฐานผสานเทคนิคค่ะ เราเลือกความสุขใจเป็นที่ตั้งค่ะ รอให้ราคาเคลื่อนออกจากกรอบการ sideway แล้วจึงค่อยเข้าซื้อ แม้ว่าเราจะเสียโอกาสการทำกำไรไปถึง 18% แต่ หากหุ้นที่เราเลือกมาอย่างดีเป็นหุ้นที่มีการเติบโตจริงๆแล้วโอกาสข้างหน้าที่รอเราอยู่ จากราคา 2.40 จนกระทั่งปัจจุบันประมาณ 3.60 คือกำไรถึง +50% ซึ่งมากกว่าที่เราคาดหวังไว้เยอะเลยค่ะ
ประสบการณ์การลงทุน ทำให้เรามองเห็นภาพของเหรียญทั้งสองด้านของการใช้ความรู้ในแต่ละแบบมาประกอบการลงทุน ทำให้เราชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นนักลงทุนมากๆค่ะ เราเชื่อว่าแต่ละคนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือโชคช่วยค่ะ แต่เป็นการประสบความสำเร็จจากการศึกษาหาความรู้และการสั่งสมประสบการณ์การลงทุนค่ะ ตัวเราเองก็จะขอฝึกฝนเพิ่มเติมและศึกษาหาความรู้ให้มากยิ่งขึ้นไปเช่นกันค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวกับนักลงทุนทุกท่านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
มากกว่าหุ้นคือการลงทุนในความรู้
บันทึกการลงทุน
แชร์ประสบการณ์การลงทุนแบบพื้นฐานผสานเทคนิคค่ะ :
https://ppantip.com/topic/35987674/comment31
เหรียญสองด้าน กับ จังหวะเข้าซื้อหุ้น
การลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานผสานเทคนิคนั้นทำให้เรามองเห็นถึงเหรียญสองด้านในการลงทุนค่ะ
จังหวะเข้าซื้อ
ตามทฤษฎีปัจจัยพื้นฐาน : หากเรามีความสามารถในการประเมินมูลค่าพื้นฐานอย่างแม่นยำแล้ว จังหวะที่เราเข้าซื้อหุ้นเราจะได้หุ้นในราคาที่ดีเหมาะสมกับมูลค่าของกิจการ หรือบางจังหวะที่ตลาดมีความผันผวนราคาที่เราเข้าซื้อหุ้นอาจจะเป็นราคาที่ถูกกว่ามูลค่าพื้นฐานหรือที่เรียกกันว่ามี Margin of safety
ในทางปฏิบัติ : การซื้อหุ้นในราคาที่เหมาะสมกับมูลค่าพื้นฐานนั้นเป็นสิ่งที่ยาก ไม่ใช่เรื่องที่นักลงทุนมือใหม่จะสามารถทำได้ง่ายค่ะ ต้องอาศัยความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ที่ยาวนานพอสมควรค่ะ กว่าจะสามารถประเมินมูลค่าที่เหมาะสมได้ และเมื่อเข้าซื้อแล้วอาจต้องใช้เวลานานพอสมควรกว่าราคาหุ้นจะขยับขึ้นไปตามพื้นฐานของกิจการ ช่วงเวลาที่เรา "รอ" ตรงนี้อาจกินเวลานานหลายเดือนหรือยาวนานเป็นปีค่ะ
ตรงนี้เรามองว่าเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนบางท่านไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุนค่ะ เพราะเมื่อระยะเวลาที่รอให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปกินเวลายาวนาน หาก "จิตใจ" ของเราไม่มั่นคงแล้ว เราอาจหวั่นไหวไปตามภาวะของตลาดซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในทุกๆวันตามปัจจัยที่เข้ามากระทบ รวมถึงตัวหุ้นที่เราถือก็อาจมีข่าวสารมากระทบทั้งปัจจัยบวก และปัจจัยลบค่ะ
เพื่อให้เห็นภาพเรามาลองดูกราฟนี้กันค่ะ
จากกราฟ เราจะเห็นว่าหุ้นมีการเคลื่อนตัวอยู่ในแนว sideway ในช่วงเวลาหนึ่ง สมมติว่าเรามาพบหุ้นที่คาดว่าจะเป็นหุ้นที่เติบโตในอนาคตช่วงเดือน พฤษภาคม (May) หากเราเป็นนักลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน เมื่อเราพบหุ้นที่คาดว่าจะเติบโตสูงขึ้นในอนาคตเราก็ทำการเข้าซื้อทันที เพราะเชื่อว่าถึงแม้ว่าจะพบกับความผันผวนของราคาหุ้น แต่วันหนึ่งราคาหุ้นก็จะขยับสูงขึ้นไปตามพื้นฐานกิจการที่มีการเติบโต
หากเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ด้านปัจจัยพื้นฐาน + มีความรู้ด้านจิตวิทยาการลงทุน เราเชื่อว่านักลงทุนจะประสบความสำเร็จในการลงทุนอย่างแน่นอนค่ะ แต่เหตุใดจึงมีนักลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จเกิดขึ้น ก็เพราะว่านักลงทุนบางท่าน ไม่สามารถอดทนต่อความผันผวนของราคาหุ้นได้ค่ะ
จากภาพจะเห็นว่าช่วงเวลาที่หุ้นเคลื่อนตัวในกรอบ sideway กินเวลายาวนานตั้งแต่ พฤษภาคม(May) - พฤศจิกายน (Nov) รวมระยะเวลายาวนานถึง 7 เดือน เวลาเจ็ดเดือนเป็นเวลาที่มากเพียงพอที่จะทำให้นักลงทุนเกิดความ"หวาดหวั่น" ขึ้นในใจ และเป็นที่มาของความ "สงสัย" ในตัวหุ้นค่ะ
หลายคนคงพบเห็นการตั้งกระทู้ถามรายวันว่าคิดเห็นว่าหุ้นตัวนี้เป็นอย่างไรบ้าง?
ทำไมหุ้น XXX พื้นฐานดีแต่ราคาลงมากจัง คัทดีมั้ย?
มีข่าวอะไรเหรอคะ หุ้นXXX ถึงได้โดนทุบขนาดนี้
และอื่นๆอีกมากมาย
หากเราใช้เครื่องมือด้านกราฟเทคนิคเข้าประกอบการลงทุนจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ลองมาดูกันค่ะ
จากภาพจะเห็นว่า หุ้นเคลื่อนตัวในกรอบ sideway ช่วงเดือนพฤษภาคม ราคาหุ้นในกรอบด้านล่างอยู่ที่ 1.80 บาท และขึ้นไปสูงประมาณ 2.20 บาท (ในวงกลมสีเขียว) มีส่วนต่างราคามากถึง 18% นั่นแปลว่าหากเราซื้อที่ราคา 1.80 บาทจะมีกำไร +18%
แล้วช่วงเวลาถัดมา กำไร 18% ของเราก็หายวับไปกับตา เพราะราคาหุ้นกลับร่วงจาก 2.20 ลงมาที่ 1.80 อีกครั้ง (วงกลมสีเหลือง)
เหตุการณ์แบบนี้เป็นที่มาของ "ความกลัว" ที่จะส่งผลให้เราไม่ประสบความสำเร็จค่ะ ตรงนี้เป็นจุดที่นักลงทุนที่มีประสบการณ์การลงทุนน้อยจะเริ่มหวั่นไหวไปกับความผันผวนของราคาค่ะ เมื่อหุ้นเคลื่อนตัวขึ้นอีกครั้งจาก ราคา 1.80 ไปที่ 2.20 นักลงทุนที่หวั่นไหวก็จะเริ่มขายเพราะความหวาดกลัวว่าราคาจะตกลงไปที่ 1.80 อีกครั้ง ซึ่งเป็นที่มาของการขายหมูตัวเบ้อเริ่มเลยค่ะ
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เราคิดว่าการศึกษาทางด้านพื้นฐานเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอค่ะ เรื่องจิตวิทยาการลงทุนก็สำคัญไม่แพ้กัน และหากเราศึกษาทางด้านกราฟเทคนิคเพิ่มด้วย เราจะสามารถทนต่อภาวะความผันผวนของราคาหุ้นได้ดีขึ้นเพราะเราทราบถึงกรอบการเคลื่อนไหวแบบ sideway ของราคาหุ้นค่ะ
ตรงจุดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ประสบการณ์ การลงทุนของเราทำให้เราตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นในจังหวะที่ราคาหุ้นเคลื่อนออกนอกกรอบ sideway แล้ว เพราะเราไม่ต้องทรมานใจกับความผันผวนของราคาหุ้นค่ะ หัวใจเราไม่ใช่พระอิฐพระปูนนะคะ หุ้นวิ่งขึ้นวิ่งลงก็หวั่นไหวค่ะ 555 ในอดีตเราก็เคยขายหมูตัวเบ้อเริ่มมาก่อนค่ะ หลังจากขายไป 3 วัน ขึ้นเสยหน้าเลยค่ะ เรื่องมันเศร้าขอเหล้าเข้มๆค่ะ 555 เล่าตอนนี้มันก็ขำดีนะคะ แต่ช่วงนั้นก็ซึมไปหลายวันค่ะ เพราะเราเลือกหุ้นจากปัจจัยพื้นฐานทำการบ้านก่อนซื้อค่อนข้างมากค่ะ เสียใจแต่ชีวิตต้องไปต่อค่ะ ถึงไม่ได้กำไรแต่ได้ประสบการณ์ค่ะ
เราจึงขอใช้ทางสายกลางด้วยการลงทุนแบบปัจจัยพื้นฐานผสานเทคนิคค่ะ เราเลือกความสุขใจเป็นที่ตั้งค่ะ รอให้ราคาเคลื่อนออกจากกรอบการ sideway แล้วจึงค่อยเข้าซื้อ แม้ว่าเราจะเสียโอกาสการทำกำไรไปถึง 18% แต่ หากหุ้นที่เราเลือกมาอย่างดีเป็นหุ้นที่มีการเติบโตจริงๆแล้วโอกาสข้างหน้าที่รอเราอยู่ จากราคา 2.40 จนกระทั่งปัจจุบันประมาณ 3.60 คือกำไรถึง +50% ซึ่งมากกว่าที่เราคาดหวังไว้เยอะเลยค่ะ
ประสบการณ์การลงทุน ทำให้เรามองเห็นภาพของเหรียญทั้งสองด้านของการใช้ความรู้ในแต่ละแบบมาประกอบการลงทุน ทำให้เราชื่นชมคนที่ประสบความสำเร็จจากการเป็นนักลงทุนมากๆค่ะ เราเชื่อว่าแต่ละคนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือโชคช่วยค่ะ แต่เป็นการประสบความสำเร็จจากการศึกษาหาความรู้และการสั่งสมประสบการณ์การลงทุนค่ะ ตัวเราเองก็จะขอฝึกฝนเพิ่มเติมและศึกษาหาความรู้ให้มากยิ่งขึ้นไปเช่นกันค่ะ ขอฝากเนื้อฝากตัวกับนักลงทุนทุกท่านด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
www.facebook.com/MorethanStock
บันทึกการลงทุน
แชร์ประสบการณ์การลงทุนแบบพื้นฐานผสานเทคนิคค่ะ : https://ppantip.com/topic/35987674/comment31