We married as a Job ละครญี่ปุ่นน่ารักๆ แต่มีชั้นเชิง พร้อมอุทาหรณ์สอน Nice Guy

ช่วงท้ายปี 2016 ที่ผ่านมา ในขณะที่ทั่วโลกกำลังฮิตกับกระแสเพลง PPAP อยู่นั้น
ที่ญี่ปุ่นก็มีกระแส Koi Dance ที่ก้าวขึ้นมาเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน ด้วยท่าเต้นที่น่ารัก ทำนองเพลงที่ฟังแล้ว Feel goodเหล่าแฟนๆได้ทำคลิป Dance Cover เพลงนี้กันมาอย่างมากมาย ชวนให้นึกถึงกระแส Koisuru Fortune Cookie ที่ดังกระฉ่อนในญี่ปุ่นเมื่อสามสี่ปีที่แล้ว ไม่เพียงแค่นั้น เหล่าคนดังอย่างตัว Mascot ของ Sanrio ไปจนกระทั่ง เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำโตเกียวก็ยังออกมาเต้นเพลงนี้เช่นกัน

กระแส Koi Dance นี้นี่เองทำให้ผมได้รู้จักกับละครเรื่อง We married as Job ครับ

มองโดยเผินๆ We married as Job มีพล็อตที่ไม่ได้พิสดารอะไร
เพราะพล็อตที่ว่าฝ่ายชายที่รวยกว่ามาแต่งงานกับฝ่ายหญิงแบบหลอกๆ ด้วยเหตุผลบางอย่างนั้น สามารถเจอได้บ่อยมากในละครไทย แต่พอดูเข้าจริงๆแล้วกลับทำให้ผมติดงอมแงม และประทับใจในการนำเสนอของผู้กำกับครับ  สิ่งที่ชอบเกี่ยวกับละครเรื่องนี้ (นอกจากการแสดงของคู่พระนาง และเพลงซึ่งดีมากๆอยู่แล้ว)ก็มีอยู่หลายอย่างเลยครับ

1.  ละครนี้ทำออกมาได้ละมุนละไม น่ารัก ตามปกติละครแนวแต่งงานหลอกๆแบบไทย เราจะได้เห็นนางเอกฉะกับพระเอก เจอครอบครัวพระเอกถากถาง
ปะทะกับนางอิจฉาที่มาชอบพระเอก แต่ในเรื่องนี้ ทุกๆคนดูรักใคร่กลมเกลียว ช่วยเหลือกันมากกว่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

นอกจากนี้ ตัวละครแต่ละตัวมีมุมน่ารักของตัวเองให้เห็น แม้จะเป็นในระดับตัวละครเล็กๆก็ตาม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

2. ในขณะที่เป็นละครรักสไตล์เบาสมอง แต่ในเนื้อเรื่องเองก็หยิบยกประเด็นปัญหาสังคมต่างๆมาสะท้อนให้เห็นได้ในแต่ละตอน โดยที่ไม่ทำให้รู้สึกยัดเยียด แต่สามารถโดนใจคนดู และทำให้เกิดอารมณ์ร่วม ไม่ได้เอาเรื่องเสื่อมๆแรงๆมาอัดๆแล้วอ้างว่าสะท้อนสังคม
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

3. ยูริจัง เป็นคุณป้าหน้าสวยที่น่ารักทั้งในด้านการทำงาน (ทำงานเก่ง ลูกน้องรัก) และชีวิตส่วนบุคคล
ถ้าผมเองยังคงโสดไปเรื่อยๆจนถึงวัยเฉียดเลขห้าแล้วได้คนแบบยูริจังมาเป็นแฟนก็ยังถือว่าคุ้มค่าการรอคอย

4. ฉากสวีทพระนาง น้อยแต่มากตามแบบฉบับละครญี่ปุ่น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ข้อคิดอย่างหนึ่งที่ผมพบจากการดูละครเรื่องนี้ ก็คือคำอธิบายส่วนหนึ่งของปัญหาโลกแตกที่ว่า "ทำไม Nice Guy ถึงอดตลอดศก หรือไม่ก็ได้ลงเอยแต่กับผู้หญิงที่ชอบข่ม เอาแต่ใจ ส่วน Bad boy นี่กลับได้สาวที่ตัวเองชอบมาเป็นแฟนได้สำเร็จเสมอๆ"  ครับ โดยสามารถสะท้อนให้เห็นการกระทำของพระเอก และตาหนวด  (แต่จะว่าไปอย่างตาหนวดถือเป็น Bad Boy ที่มีจิตใจดีครับ) ตลอดทั้งเรื่อง

1. Nice Guy จะพยายามหา"ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการ" บางอย่างมาเป็นฐานในการเริ่มความสัมพันธ์กับคนที่ตัวเองสนใจ  
Bad boy สร้างจังหวะให้ตัวเองลุยเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

2. Nice Guy อาจทำให้ฝ่ายหญิงสับสนได้ว่า "เขาดีกับเราเพราะว่าเขาเป็นคนใจดี หรือว่าชอบเรากันแน่"  ส่วน Bad boy จะบอกตรงๆว่าชอบเลย
ได้เป็นได้ อดเป็นอด และสามารถแสดงให้ฝ่ายหญิงเห็นได้ว่าตัวเองดีด้วยในระดับสูงกว่าคนปกติ
3. Nice Guy จะใช้หลักการมากล่าวสนับสนุนสิ่งที่ตัวเองคิด แต่บางทีหลักการก็กลับมาทำร้ายตัวเองได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
4. Nice Guy เคารพในการตัดสินใจของอีกฝ่ายมากเกินไป พออีกตีห่าง ก็จะปล่อยไป จะตื๊อก็กลัวว่าไม่เหมาะ  ส่วน Bad Boy จะพยายามลุยต่อจนกว่าจะแพ้ แม้จะมีความเสี่ยงที่การตื๊อจะทำให้สถานการณ์แย่ลงก็ตาม แต่การลงทุนย่อมมีความเสี่ยงอยู่แล้ว
5. Nice Guy พยายามหลีกเลี่ยงการถึงเนื้อถึงตัวฝ่ายหญิง เพราะมองว่าไม่เหมาะสม
ทำให้บางทีผู้หญิงรู้สึกว่าห่างเหิน ส่วน Bad Boy จะพยายามสร้าง Skinship เมื่อมีโอกาสมาถึง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จะว่าไปแล้ว พระเอกถือว่าโชคดีที่ได้ปัจจัยดีๆมาเกื้อหนุน กล่าวคือ นางเอกมีความรู้สึกดีๆด้วยมาตั้งแต่ต้นแล้ว และเป็นผู้หญิงที่ฉลาดพอตัว อีกทั้งยังมีสถานการณ์ที่ทำให้ต้องได้เจอกันทุกวันเสียอีก แต่ถ้าไม่มีปัจจัยเหล่านี้ตอนต้นเรื่องแล้ว การจะได้ลงเอยกับนางเอกนี่ยากมากครับ แต่ก็ดีที่ในระหว่างเรื่อง พระเอกก็เริ่มมากล้าลุย กล้าแสดงความรู้สึก กล้าไล่ตาม  เลยทำให้ความสัมพันธ์ของคู่พระนางลงเอยด้วยดี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่