เมื่อมีเวลาว่างในทุกๆ ครั้งเพื่อนในห้องส่วนใหญ่จะจับกลุ่มกันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคุยเรื่องการ นำเสนองานได้รับมอบหมาย อ่านหนังสือเตรียมสอบ ติวหนังสือเพื่อเป็นใบเบิกทางในการมีอนาคตที่ดีในรั่วมหาวิทยาลัยในคณะที่ใฝ่ฝัน และทำการบ้านเป็นส่วนใหญ่เพื่อจะได้มีเวลาทำอย่างอื่น ข้าพระเจ้าก็เช่นกัน เมื่อมีเวลาว่างข้าพระเจ้าจะไม่อยู่เฉยเพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น ถ้ามัวนั่งเล่นโทรศัพท์หรือนั่งหยอกล้อกันนั่นหมายความว่าได้ทิ้งเวลาอันมีค่าไปอย่างเปล่าประโยชน์ เมื่อมีรุ่นน้องที่กำลังจะเตรียมขึ้น ม.ปลาย ผ่านมาเห็นก็จะจับจ้องและสังเกตด้วยสีหน้าแปลกๆ เสมือนว่ามีคำถามในใจมากมาย และมีรุ่นน้องบางคนเห็นว่าในบางครั้งทำไมพวกพี่ ถือกระเป๋ามาโรงเรียนที่หนัก บางครั้งก็ไม่ได้นอน หรือกิจวัตร ประจำวัน ที่พวกพี่ไม่ได้พัก ตื่นขึ้นมาเรียน ก่อนเข้าแถวก็ทำงานหรืออ่านหนังสือ พักเที่ยงกินข้าวต้องทำงานหรืออ่าหนังสือไปด้วย กลับถึงบ้านต้องทำการบ้านและอ่านหนังสือเพิ่มอีก แม้กระทั่งจะสอบ ท้ายบท หรือ กลางภาคและปลายภาค ต้องอ่านหนังสือหลายรอบ
ในการเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายนั้น จะมีสายวิชาให้เลือกเรียนหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ-สังคม วิทยาศาสตร์-วิศวะ ภาษาอังกฤษ-ภาษาจีน และอื่น ๆ อีกมากมายตามที่โรงเรียนนั้น ๆ เปิดสอน แต่โรงเรียนของข้าพระเจ้าคือจะเปิดสายให้เรียนคือ วิทยาศาสตร์- คณิตศาสตร์ และ ภาษาอังกฤษ-สังคม โดยค่านิยมส่วนใหญ่ของนักเรียนในประเทศไทยคือ สายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ หรือเรียกกันติดปากว่า “สายวิทย์-คณิต” ข้าพระเจ้าเองก็เป็นหนึ่งคนที่เลือกเรียนสายนี้ด้วยเหตุผลเพียงน้อยนิดคือ ไม่เก่งภาษอังกฤษ เรียนหรือสอบวิชาคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ได้ คะแนนค่อนข้างสูงหรือเต็ม โดยที่ไม่ได้อ่านหนังสือเลยในบางครั้ง ซึ่งต่างจากเหตุผลคนอื่นมากคือ เรียนเพื่อว่าจะเลือกเรียนต่อได้หลากหลายกว่าสายอื่น เรียนตามเพื่อน หรือแม้กระทั่งเรียนสายนี้มีหน้าตาทาง สังคมของตนเองและผู้ปกครอง โดยคนเหล่ารวมกับข้าพระเจ้าในครั้งที่เลือกสายเรียน ไม่รู้เลยว่าต้องเจออะไรมากมายที่คาดคิดว่า จะเกิดขึ้นได้ในชีวิต ข้าพระเจ้าจะขอเล่าเป็นวิชา ๆ ที่หลัก ๆได้เรียนอย่าง หนัก ๆ ตอนที่เริ่มเรียนตอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่๔ แต่เมื่อย้อนกลับไปดูจะพบว่าไม่หนักเลยแค่ต้องการ การปรับตัวเข้ากับอะไรหลายๆ อย่างเท่านั้นเอง เริ่มที่วิชาแรกคือ วิชาคณิตศาสตร์ แบ่ง ออกได้อีกเป็นวิชาคณิตศาสตร์ พื้นฐานและวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม ในรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานนั้นจะมีหน่วยกิตในการเรียนคือ ๑ หน่วยกิต หรือ ๒ คาบต่อสัปดาห์ วิชานี้เป็นวิชาที่ค่อนข้างง่ายเพราะมีเนื้อหาคล้ายๆกับวิชาคณิตศาสตร์ของชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีการบ้านน้อย และแอบมีแบ่งคาบเรียนให้รายวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติมบ้างในบางครั้ง ส่วนรายวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติมนั้นมีหน่วยกิตในการเรียนคือ ๒ หน่วยกิต หรือ ๔ คาบต่อสัปดาห์ ในรายวิชานี้เป็นวิชาที่ค่อนข้างยากถ้านักเรียนไม่มีพื้นฐานคณิตศาสตร์ที่ดีมาในตอนเด็ก เพราะใน แต่ละบทหรือแม้กระทั่งในแต่ละหัวข้อ จะมีวิธีการทำโจทย์ที่หลายวิธีซึ่งแต่ละวิธีมีวิธการที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนแตกต่างกันออกไป และในบางครั้งจะไม่มีตัวเลขเลยจะให้แสดงวิธีการ พิสูจน์สูตร(ตรีโกณมิติ) แต่ไม่มีปัญหากับข้าพระเจ้ามากนัก และถ้ารวมวิชาคณิตสตร์เลยจะเรียน ๖ คาบต่อสัปดาห์หรือ ๓ หน่วยกิต (สามารถดึงเกรดให้ลงต่ำได้ถ้าทำได้น้อย) ต่อมาคือวิชาวิทยาศาสตร์ จะแบ่งออกได้อีก ๓ รายวิชาโดยแต่ละวิชาจะเรียน ๑.๕ หรือ ๒ หน่วยกิตและเรียน ๓ หรือ ๔ คาบต่อสัปดาห์ วิชาแรกคือ วิชาฟิสิกส์ เป็นวิชาที่คล้ายคลึงกันวิชาคณิตศาสตร์ แต่ วิชาฟิสิกส์จะศึกษาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเฉพาะกายภาพหรือเรียกง่ายๆว่าศึกษาสิ่งที่อยู่รอบตัวที่สามารถหาค่าได้โดยจะใช้ตัวแปรมากมาย แทนในสูตรก่อนค่อยเปลี่ยนตัวแปรเป็น ตัวเลข เพื่อหาคำตอบ เช่น ศึกษาเรื่องคลื่น แสง เสียง ไฟฟ้า แม่เหล็ก การเคลื่อนที่ มวล แรง พลังงาน โมเมนตัม เป็นต้น วิชาที่สองคือ วิชาเคมี เป็นวิชาที่คำนวณน้อยกว่าวิชาฟิสิกส์ วิชาเคมีจะศึกษาเกี่ยวกับสารต่างๆที่องค์ประกอบของสาร คือธาตุหมู่ต่างๆและอะตอมมากมายเป็นส่วนประกอบ เป็นวิชาที่ยากในระดับหนึ่งแต่ไม่ยากมากเพราะต้องใช้ความจำในการจำเนื้อหา และต้องใช้สูตรบางครั้งในการคำนวณ วิชานี้เป็นวิชาที่นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ชอบ เนื่องจาก เนื้อหาที่เรียนปรากฏน้อยในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในบางโรงเรียน และตอนเริ่มเรียนใหม่ๆ เป็นวิชาที่ต้องสอบท่องตารางธาตุ เรียนแบบจำลองอะตอมของนักวิทยาศาสตร์หลายๆคน จึงจัด ได้ว่า วิชาเคมีเป็นวิชาที่ดึงเกรดหากแท้จริง หากไม่ตั่งใจเรียน ทบทวน อ่านหนังสือ และขยันทำแบบทดสอบ เพราะเนื้อหาค่อนข้างจะกว้าง ข้อสอบก็จะกว้างและยากเช่นกัน จนทำให้บางครั้ง วิชานี้ของข้าพระเจ้าต้องอ่านหนังสืออย่างหนักหน่วง จนเกรดวิชาเคมีตอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕เทอม ๑ (กรด-เบส) ของข้าพระเจ้าขยับมาเป็น ๓.๕ คนเดียวในห้อง ต่อไปคือวิชาที่ ๓ และเป็น วิชาสุดท้ายที่ข้าพระเจ้าจะเล่า วิชานี้ทั้งเนื้อหาการเรียนและครูผู้สอนมีความหมายกับข้าพระเจ้ามาก เพราะทำให้ข้าพระเจ้าทำงาน(แลป) ในวิชานี้ข้ามคืนเหลือเวลานอนน้อยมาก วิชานี้คือ วิชาชีววิทยา เป็นวิชาที่ใช้หลักความจำและหลักความเข้าใจอย่างหนัก เพราะจะเจอคำศัพท์ที่มากมายมหาศาลแล้วและต้องเชื่อมต่อดูกลไกลการทำงานได้ ข้อสอบที่ออกก็ยากมากในบางเรื่องถ้าไม่ตั่งใจเรียนหรือไม่เข้าใจเนื้อหาในการเรียน ในเรื่องของจะเนื้อหาจะเรียนเรื่อง สิ่งมีชีวิตต่างๆ กลไกการหรือระบบทำงานของสิ่งมีชีวิต ระบบต่างๆในร่างกายซึ่งต้องนำอวัยวะของสัตว์บางชนิดมาผ่าเพื่อศึกษาเช่น ปอด หัวใจ ตับ ไตและกล้ามเนื้อ เป็นต้น รวมทั้งเรื่องพืชด้วยที่ค่อนข้างจะเจาะลึกเนื้อหาเข้มข้น ซึ่งในการทำแลปหรือการผ่าศึกษาต้องผ่านการทำความเข้าใจให้ดีก่อนจึงจะทำได้ สำหรับแลปที่ประทับใจ(ตราตรึงใจเท่าทุกวันนี้)ของข้าพระเจ้าคือ แลปการแลกเปลี่ยนแก๊สของกบ(การหายใจ) ตอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ เนื่องจากต้องผ่ากบที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งในการผ่าเลือดของกบ(เหมือนกับเลือดคนมาก) ไหลออกมาเยอะมาก ทำให้ในวันต่อมาหลังจากที่ผ่าเสร็จนั้นต้องไปวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กบในฐานะที่เป็นอาจารย์อีกท่านที่สละร่างายให้ศึกษา(ที่เต็มใจหรือไม่ก็ไม่มีใครทราบ) ในด้านครูสอนที่ได้กล่าวข้างต้นว่า เป็นคนที่มีความหมายแก่ข้าพระเจ้ามาก ถือเป็นบุคคลสำคัญอีกคนในชีวิตของข้าพระเจ้า เพราะท่านทั้งเป็นครูผู้สอนและครูที่ปรึกษาตอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ซึ่งปกติข้าพระเจ้าและเพื่อนจะเรียกท่านติดปากว่า “ พ่อ หรือ พ่อครู ” เนื่องจากข้าพระเจ้ารักและเคารพเหมือนพ่อคนที่สอง ท่านเป็นคนสอนเก่งมาก พาทำอะไรที่ไม่เคยทำมากมาย ที่สำคัญท่านเป็นจุดประกายความฝันของข้าพระเจ้าให้เกิดขึ้น เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ท่านป่วยฉับพลันมาก ท่านเป็นเส้นเลือดในสมองแตกทำให้ไม่ได้มาสอน เพราะปกติท่านไม่เคยขาดสอนเลย หรือมีกิจกรรมทำให้กระทบเวลาเรียนท่านก็จะนัดมาเรียนวันหยุด
การเรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ต้องอาศัยการปรับตัวต่าง ๆ มากมายและเนื้อหาค่อนข้างที่จะใหม่ที่สำคัญที่สุด ต้องรู้ว่าจะเรียนเพื่ออะไร เรียนแล้วได้สิ่งที่ต้องการหรือไม่ เพราะนี่คือเส้นทางชีวิตที่สำคัญอีกก้าวก่อนที่จะไปเรียนต่อในอาชีพต่างๆที่ใฝ่ฝัน เส้นทางอาจจะไม่ราบรื้นหรือลำบากก็ต่องอดทนฟันผ่าอุปสรรคมากมายที่มีความยากและความง่ายแตกต่างกัน ขอแค่อดทนบากบั่นก็จะผ่านอุปสรรคไปได้
น้องๆคนไหนอยากเลือกเรียน ม.ปลาย สายวิทย์-คณิต ต้องอ่าน จากประสบการณ์ตรง By ข้าพระเจ้าP
ในการเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายนั้น จะมีสายวิชาให้เลือกเรียนหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ-สังคม วิทยาศาสตร์-วิศวะ ภาษาอังกฤษ-ภาษาจีน และอื่น ๆ อีกมากมายตามที่โรงเรียนนั้น ๆ เปิดสอน แต่โรงเรียนของข้าพระเจ้าคือจะเปิดสายให้เรียนคือ วิทยาศาสตร์- คณิตศาสตร์ และ ภาษาอังกฤษ-สังคม โดยค่านิยมส่วนใหญ่ของนักเรียนในประเทศไทยคือ สายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ หรือเรียกกันติดปากว่า “สายวิทย์-คณิต” ข้าพระเจ้าเองก็เป็นหนึ่งคนที่เลือกเรียนสายนี้ด้วยเหตุผลเพียงน้อยนิดคือ ไม่เก่งภาษอังกฤษ เรียนหรือสอบวิชาคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ได้ คะแนนค่อนข้างสูงหรือเต็ม โดยที่ไม่ได้อ่านหนังสือเลยในบางครั้ง ซึ่งต่างจากเหตุผลคนอื่นมากคือ เรียนเพื่อว่าจะเลือกเรียนต่อได้หลากหลายกว่าสายอื่น เรียนตามเพื่อน หรือแม้กระทั่งเรียนสายนี้มีหน้าตาทาง สังคมของตนเองและผู้ปกครอง โดยคนเหล่ารวมกับข้าพระเจ้าในครั้งที่เลือกสายเรียน ไม่รู้เลยว่าต้องเจออะไรมากมายที่คาดคิดว่า จะเกิดขึ้นได้ในชีวิต ข้าพระเจ้าจะขอเล่าเป็นวิชา ๆ ที่หลัก ๆได้เรียนอย่าง หนัก ๆ ตอนที่เริ่มเรียนตอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่๔ แต่เมื่อย้อนกลับไปดูจะพบว่าไม่หนักเลยแค่ต้องการ การปรับตัวเข้ากับอะไรหลายๆ อย่างเท่านั้นเอง เริ่มที่วิชาแรกคือ วิชาคณิตศาสตร์ แบ่ง ออกได้อีกเป็นวิชาคณิตศาสตร์ พื้นฐานและวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม ในรายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานนั้นจะมีหน่วยกิตในการเรียนคือ ๑ หน่วยกิต หรือ ๒ คาบต่อสัปดาห์ วิชานี้เป็นวิชาที่ค่อนข้างง่ายเพราะมีเนื้อหาคล้ายๆกับวิชาคณิตศาสตร์ของชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น มีการบ้านน้อย และแอบมีแบ่งคาบเรียนให้รายวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติมบ้างในบางครั้ง ส่วนรายวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติมนั้นมีหน่วยกิตในการเรียนคือ ๒ หน่วยกิต หรือ ๔ คาบต่อสัปดาห์ ในรายวิชานี้เป็นวิชาที่ค่อนข้างยากถ้านักเรียนไม่มีพื้นฐานคณิตศาสตร์ที่ดีมาในตอนเด็ก เพราะใน แต่ละบทหรือแม้กระทั่งในแต่ละหัวข้อ จะมีวิธีการทำโจทย์ที่หลายวิธีซึ่งแต่ละวิธีมีวิธการที่ซับซ้อนหลายขั้นตอนแตกต่างกันออกไป และในบางครั้งจะไม่มีตัวเลขเลยจะให้แสดงวิธีการ พิสูจน์สูตร(ตรีโกณมิติ) แต่ไม่มีปัญหากับข้าพระเจ้ามากนัก และถ้ารวมวิชาคณิตสตร์เลยจะเรียน ๖ คาบต่อสัปดาห์หรือ ๓ หน่วยกิต (สามารถดึงเกรดให้ลงต่ำได้ถ้าทำได้น้อย) ต่อมาคือวิชาวิทยาศาสตร์ จะแบ่งออกได้อีก ๓ รายวิชาโดยแต่ละวิชาจะเรียน ๑.๕ หรือ ๒ หน่วยกิตและเรียน ๓ หรือ ๔ คาบต่อสัปดาห์ วิชาแรกคือ วิชาฟิสิกส์ เป็นวิชาที่คล้ายคลึงกันวิชาคณิตศาสตร์ แต่ วิชาฟิสิกส์จะศึกษาเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของธรรมชาติเฉพาะกายภาพหรือเรียกง่ายๆว่าศึกษาสิ่งที่อยู่รอบตัวที่สามารถหาค่าได้โดยจะใช้ตัวแปรมากมาย แทนในสูตรก่อนค่อยเปลี่ยนตัวแปรเป็น ตัวเลข เพื่อหาคำตอบ เช่น ศึกษาเรื่องคลื่น แสง เสียง ไฟฟ้า แม่เหล็ก การเคลื่อนที่ มวล แรง พลังงาน โมเมนตัม เป็นต้น วิชาที่สองคือ วิชาเคมี เป็นวิชาที่คำนวณน้อยกว่าวิชาฟิสิกส์ วิชาเคมีจะศึกษาเกี่ยวกับสารต่างๆที่องค์ประกอบของสาร คือธาตุหมู่ต่างๆและอะตอมมากมายเป็นส่วนประกอบ เป็นวิชาที่ยากในระดับหนึ่งแต่ไม่ยากมากเพราะต้องใช้ความจำในการจำเนื้อหา และต้องใช้สูตรบางครั้งในการคำนวณ วิชานี้เป็นวิชาที่นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ชอบ เนื่องจาก เนื้อหาที่เรียนปรากฏน้อยในชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในบางโรงเรียน และตอนเริ่มเรียนใหม่ๆ เป็นวิชาที่ต้องสอบท่องตารางธาตุ เรียนแบบจำลองอะตอมของนักวิทยาศาสตร์หลายๆคน จึงจัด ได้ว่า วิชาเคมีเป็นวิชาที่ดึงเกรดหากแท้จริง หากไม่ตั่งใจเรียน ทบทวน อ่านหนังสือ และขยันทำแบบทดสอบ เพราะเนื้อหาค่อนข้างจะกว้าง ข้อสอบก็จะกว้างและยากเช่นกัน จนทำให้บางครั้ง วิชานี้ของข้าพระเจ้าต้องอ่านหนังสืออย่างหนักหน่วง จนเกรดวิชาเคมีตอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕เทอม ๑ (กรด-เบส) ของข้าพระเจ้าขยับมาเป็น ๓.๕ คนเดียวในห้อง ต่อไปคือวิชาที่ ๓ และเป็น วิชาสุดท้ายที่ข้าพระเจ้าจะเล่า วิชานี้ทั้งเนื้อหาการเรียนและครูผู้สอนมีความหมายกับข้าพระเจ้ามาก เพราะทำให้ข้าพระเจ้าทำงาน(แลป) ในวิชานี้ข้ามคืนเหลือเวลานอนน้อยมาก วิชานี้คือ วิชาชีววิทยา เป็นวิชาที่ใช้หลักความจำและหลักความเข้าใจอย่างหนัก เพราะจะเจอคำศัพท์ที่มากมายมหาศาลแล้วและต้องเชื่อมต่อดูกลไกลการทำงานได้ ข้อสอบที่ออกก็ยากมากในบางเรื่องถ้าไม่ตั่งใจเรียนหรือไม่เข้าใจเนื้อหาในการเรียน ในเรื่องของจะเนื้อหาจะเรียนเรื่อง สิ่งมีชีวิตต่างๆ กลไกการหรือระบบทำงานของสิ่งมีชีวิต ระบบต่างๆในร่างกายซึ่งต้องนำอวัยวะของสัตว์บางชนิดมาผ่าเพื่อศึกษาเช่น ปอด หัวใจ ตับ ไตและกล้ามเนื้อ เป็นต้น รวมทั้งเรื่องพืชด้วยที่ค่อนข้างจะเจาะลึกเนื้อหาเข้มข้น ซึ่งในการทำแลปหรือการผ่าศึกษาต้องผ่านการทำความเข้าใจให้ดีก่อนจึงจะทำได้ สำหรับแลปที่ประทับใจ(ตราตรึงใจเท่าทุกวันนี้)ของข้าพระเจ้าคือ แลปการแลกเปลี่ยนแก๊สของกบ(การหายใจ) ตอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ เนื่องจากต้องผ่ากบที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งในการผ่าเลือดของกบ(เหมือนกับเลือดคนมาก) ไหลออกมาเยอะมาก ทำให้ในวันต่อมาหลังจากที่ผ่าเสร็จนั้นต้องไปวัดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กบในฐานะที่เป็นอาจารย์อีกท่านที่สละร่างายให้ศึกษา(ที่เต็มใจหรือไม่ก็ไม่มีใครทราบ) ในด้านครูสอนที่ได้กล่าวข้างต้นว่า เป็นคนที่มีความหมายแก่ข้าพระเจ้ามาก ถือเป็นบุคคลสำคัญอีกคนในชีวิตของข้าพระเจ้า เพราะท่านทั้งเป็นครูผู้สอนและครูที่ปรึกษาตอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ ซึ่งปกติข้าพระเจ้าและเพื่อนจะเรียกท่านติดปากว่า “ พ่อ หรือ พ่อครู ” เนื่องจากข้าพระเจ้ารักและเคารพเหมือนพ่อคนที่สอง ท่านเป็นคนสอนเก่งมาก พาทำอะไรที่ไม่เคยทำมากมาย ที่สำคัญท่านเป็นจุดประกายความฝันของข้าพระเจ้าให้เกิดขึ้น เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ท่านป่วยฉับพลันมาก ท่านเป็นเส้นเลือดในสมองแตกทำให้ไม่ได้มาสอน เพราะปกติท่านไม่เคยขาดสอนเลย หรือมีกิจกรรมทำให้กระทบเวลาเรียนท่านก็จะนัดมาเรียนวันหยุด
การเรียนสายวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ต้องอาศัยการปรับตัวต่าง ๆ มากมายและเนื้อหาค่อนข้างที่จะใหม่ที่สำคัญที่สุด ต้องรู้ว่าจะเรียนเพื่ออะไร เรียนแล้วได้สิ่งที่ต้องการหรือไม่ เพราะนี่คือเส้นทางชีวิตที่สำคัญอีกก้าวก่อนที่จะไปเรียนต่อในอาชีพต่างๆที่ใฝ่ฝัน เส้นทางอาจจะไม่ราบรื้นหรือลำบากก็ต่องอดทนฟันผ่าอุปสรรคมากมายที่มีความยากและความง่ายแตกต่างกัน ขอแค่อดทนบากบั่นก็จะผ่านอุปสรรคไปได้