ก่อนอื่น ก็ต้องขอแสดงความเสียใจ กับการจากไปก่อนวัยอันควรของน้องอาสาสมัคร ศิษย์วัดเดียวกัน คือ วัดพระธรรมกาย ที่เป็นข่าวไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาด้วยนะครับ การจากไปของน้องเขา ก็เป็นอุทาหรณ์ให้เราๆ ท่านๆ ทั้งหลายที่ยังอยู่ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท หมั่นละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย กันนะครับ
วันนี้ ก็เลยถือโอกาสนำ ของดีจากตำรา เกี่ยวกับเรื่องราวของการปรารภเหตุ สั่งสมบุญ ทำบุญอุทิศให้กับตุ๊กตาแป้งของหลานสาวที่ล่วงลับ โดยท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกันนะครับ ซึ่งธรรมะบทนี้ หลวงพ่อธัมมชโย ท่านก็เคยนำมาเล่าสู่กันฟังใน DMC เมื่อหลายปีที่ผ่านมาด้วยล่ะครับ
เรื่องราวก็มีอยู่ว่า บ้านของท่านเศรษฐี มีหลานสาววัยเด็กอยู่คนหนึ่ง พี่เลี้ยงได้ปั้นตุ๊กตาแป้ง (ในภาพประกอบเป็นแค่ตัวอย่างตุ๊กตานะครับ) มาให้เล่น
โดยพี่เลี้ยงบอกแกว่า นี่คือ ลูกสาวของเธอนะ เธอจงอุ้มไปเล่นเถิด ดูแลให้ดีล่ะ หลานสาวของเศรษฐีเล่นตุ๊กตาเพลิดเพลินไปมา ไม่ทันระวัง ทำตุ๊กตาแป้งตกแตก ซึ่งสำหรับผู้ใหญ่ การที่ตุ๊กตาแป้งตกแตก เป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะสามารถปั้นขึ้นมาใหม่กี่ตัวก็ได้
แต่สำหรับเด็กเล็กๆ เช่น หลานสาวของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เธอรู้สึกเหมือนลูกสาวของเธอล่วงลับลาโลกไปจริงๆ เธอจึงร้องไห้จ้าไม่หยุด พรางบอกว่า ลูกสาวของเธอ ตายเสียแล้ว แม้บรรดาพี่เลี้ยงทั้งหลาย จะช่วยกันปลอบโยน ก็ไม่ประสบผลด้วยกันทั้งสิ้น
เสียงของเธอได้ยินไปถึงท่านอนาถบิณฑกเศรษฐี ซึ่งกำลังนั่งฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ พอท่านเศรษฐีทราบเรื่อง แทนที่ท่านจะปลอบโยนหลานสาวท่าน เหมือนที่พวกพี่เลี้ยงทั้งหลายกระทำกันว่า "โอ๋ นิ่งเสียนะ หลานนะ นี่แค่ตุ๊กตาเอง เดี๋ยวตาให้พี่เลี้ยงหาให้ใหม่นะ" เปล่า ท่านเศรษฐีมิได้กระทำเช่นนั้น
แต่ท่านเศรษฐีกลับลงมือกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม อย่างเป็นจริงเป็นจัง ด้วยการบอกว่า "ไม่เป็นไรนะ ตาจะทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้กับตุ๊กตาแป้งลูกสาวของหนูเอง ว่าแล้วจึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะให้ทานอุทิศแก่ตุ๊กตาแป้ง ซึ่งเป็นลูกสาวของหลานของข้าพระองค์ ขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป โปรดมารับทานนั้นของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด" ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงรับโดยแสดงอาการนิ่ง
น่าสังเกตว่า แทนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสบอกกับท่านเศรษฐีว่า "นี่ท่านเศรษฐี ท่านเล่นอะไรอยู่ ตุ๊กตาแป้งน่ะไม่มีชีวิต จะไปรับบุญได้ที่ไหนกัน" เปล่า พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงตรัสเช่นนี้ออกมา แต่ทรงรับนิมนต์โดยดุษฏี (โดยอาการนิ่ง)
ครั้นพอวันรุ่งขึ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยเหล่าพระภิกษุสงฆ์ก็เสด็จมารับภัตตาหารที่บ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หลังจากพระพุทธองค์ และคณะสงฆ์ ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ก็ทรงกล่าวอนุโมทนาในทานที่ถวายไว้ดีแล้วนี้ว่า
บุคคลผู้ไม่ตระหนี่ ควรทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง
คือ ปรารภถึงบุรพเปตชน เทวดาผู้สิงอยู่ในเรือน หรือท้าวมหาราชทั้ง ๔ ผู้รักษาโลก ผู้มียศ คือท้าวธตรฐ ๑ (ปกครองคนธรรพ์) วิรุฬหก ๑ (ปกครองครุฑ) วิรูปักษ์ ๑ (ปกครองนาค) และท้าวกุเวร ๑ (ปกครองยักษ์) ให้เป็นอารมณ์
แล้วพึงให้ทาน ท่านเหล่านั้นเป็นผู้อันบุคคลบูชาแล้ว ทั้งทายกก็ไม่ไร้ผล ความร้องไห้ ความเศร้าโศกหรือ ความร่ำไห้อย่างอื่นไม่ควรทำเลย เพราะความร้องไห้ เป็นต้นนั้น ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
ญาติทั้งหลายคงตั้งอยู่ตามธรรมดาของตนๆ อันทักษิณาทานนี้ ที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์ให้แล้ว ย่อมสำเร็จประโยชน์โดยฉับพลัน แก่บุรพเปตชนนั้น สิ้นกาลนาน.
ครั้นพอวันรุ่งขึ้น ภรรยาท่านเศรษฐี และญาติคนอื่นๆ ก็เลยกระทำตามอย่างท่านเศรษฐีบ้าง คือ นิมนต์พระศาสดาพร้อมหมู่สงฆ์มาถวายทาน แล้วอุทิศบุญให้กับหมู่ญาติผู้ล่วงลับ สิ้นเวลาไปถึง 3 เดือน เรื่องราวก็เลยรู้ไปถึง พระราชาและชาวเมือง ก็เลยขอกระทำตามอย่างท่านเศรษฐีบ้าง ความเป็นผู้ให้แล้วเผื่อแผ่บุญไปยังญาติมิตร ผู้ล่วงลับ ก็แผ่ขยายไปด้วยประการละฉะนี้
ข้อคิดจากตำรา
1. การที่ท่านเศรษฐี นิมนต์พระมารับภัตตาหารที่เรือน แล้วถวายมหาทาน อุทิศให้กับตุ๊กตาแป้ง มิได้หมายความว่า ท่านเศรษฐีไม่รู้ว่า ตุ๊กตาแป้งไร้ชีวิต รับบุญไม่ได้ ท่านย่อมรู้ดี เพราะท่านเป็นพระโสดาบัน แต่การที่ท่านกระทำเช่นนั้น เพราะเป็นการปรารภเหตุ สร้างบุญนั่นเอง นี่จึงเป็นข้อคิดสำคัญ
เพราะปัจจุบัน คนเราทุกวันนี้ จะมีการปรารภเหตุสามแบบ คือ หนึ่ง ปรารภเหตุสร้างบาป เช่น พบเห็นคนประสบเหตุทุกข์ร้อนด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็นึกสมน้ำหน้าในใจ จะด้วยความไม่ชอบหน้าคนผู้นั้น หรือเพราะเหตุใดก็ตามที่ การปรารภเหตุสร้างบาปเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นบาปตามติดไปในภพเบื้องหน้านั่นเอง
สอง ปรารภเหตุไม่สร้างบาป แต่ก็ไม่สร้างบุญ เช่น ตัวผมเอง ในอดีตเคยได้ข่าว สึนามิครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ตัวผมในตอนนั้น แม้จะเห็นใจ ผู้ประสบเหตุเคราะห์ภัยจากสึนามิ แต่ก็เห็นใจเพียงเล็กน้อย และกลับรู้สึกลำพองประมาทในบุญตัวเองว่า เราเกิดอยู่ในเมืองไทย ค่อนมาทางเหนือ ย่อมจะไม่เจอเหตุเภทภัยพวกนี้หรอก ซึ่งทำให้ผมไม่ได้ใช้เหตุนี้ ในการละบาป สร้างบุญให้ยิ่งๆขึ้นไป
แต่แล้วต่อมาไม่นาน เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่เมืองไทย ท่วมบ้านผมหน้าบ้านหน้าถึงหน้าอก โรงงานผมน้ำท่วม 3 เมตร ต้องไปอาศัยวัดพระธรรมกาย กลายเป็นหนึ่งในผู้อพยพลี้ภัยน้ำท่วม ตอนนั้น เลยหวนนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เคยลำพองใจว่า สึนามิ ไม่เกิดที่บ้านและโรงงานผมหรอก แล้วมันก็เกิดขึ้นเจอได้ ตั้งแต่นั้น เลยทำใจให้ไม่ประมาทในบุญ พบเห็นผู้ประสบเหตุเภทภัย ก็นึกแสดงความเสียใจ และนำเรื่องของเขามาเป็นอุทาหรณ์ว่า อย่าประมาทในชีวิต และอย่าพึ่งคิดว่า มันจะไม่เกิดขึ้นกับเรา เป็นต้น
สาม ปรารภเหตุสร้างบุญ ดังเช่น ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้กระทำ ไม่ว่าเรื่องราวใดๆ จะเกิดขึ้น เรื่องราวนั้นๆ ขอให้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจ ให้เราไม่ประมาทในชีวิต หมั่นสั่งสมบุญยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะชีวิตเป็นของน้อย ถูกชรา และมรณะ เข้าครอบงำทุกอนุวินาที นั่นเอง
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=89
ปรารภเหตุ สั่งสมบุญ ทำบุญอุทิศให้ตุ๊กตาแป้งที่ล่วงลับ
วันนี้ ก็เลยถือโอกาสนำ ของดีจากตำรา เกี่ยวกับเรื่องราวของการปรารภเหตุ สั่งสมบุญ ทำบุญอุทิศให้กับตุ๊กตาแป้งของหลานสาวที่ล่วงลับ โดยท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีกันนะครับ ซึ่งธรรมะบทนี้ หลวงพ่อธัมมชโย ท่านก็เคยนำมาเล่าสู่กันฟังใน DMC เมื่อหลายปีที่ผ่านมาด้วยล่ะครับ
เรื่องราวก็มีอยู่ว่า บ้านของท่านเศรษฐี มีหลานสาววัยเด็กอยู่คนหนึ่ง พี่เลี้ยงได้ปั้นตุ๊กตาแป้ง (ในภาพประกอบเป็นแค่ตัวอย่างตุ๊กตานะครับ) มาให้เล่น
โดยพี่เลี้ยงบอกแกว่า นี่คือ ลูกสาวของเธอนะ เธอจงอุ้มไปเล่นเถิด ดูแลให้ดีล่ะ หลานสาวของเศรษฐีเล่นตุ๊กตาเพลิดเพลินไปมา ไม่ทันระวัง ทำตุ๊กตาแป้งตกแตก ซึ่งสำหรับผู้ใหญ่ การที่ตุ๊กตาแป้งตกแตก เป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะสามารถปั้นขึ้นมาใหม่กี่ตัวก็ได้
แต่สำหรับเด็กเล็กๆ เช่น หลานสาวของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เธอรู้สึกเหมือนลูกสาวของเธอล่วงลับลาโลกไปจริงๆ เธอจึงร้องไห้จ้าไม่หยุด พรางบอกว่า ลูกสาวของเธอ ตายเสียแล้ว แม้บรรดาพี่เลี้ยงทั้งหลาย จะช่วยกันปลอบโยน ก็ไม่ประสบผลด้วยกันทั้งสิ้น
เสียงของเธอได้ยินไปถึงท่านอนาถบิณฑกเศรษฐี ซึ่งกำลังนั่งฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ พอท่านเศรษฐีทราบเรื่อง แทนที่ท่านจะปลอบโยนหลานสาวท่าน เหมือนที่พวกพี่เลี้ยงทั้งหลายกระทำกันว่า "โอ๋ นิ่งเสียนะ หลานนะ นี่แค่ตุ๊กตาเอง เดี๋ยวตาให้พี่เลี้ยงหาให้ใหม่นะ" เปล่า ท่านเศรษฐีมิได้กระทำเช่นนั้น
แต่ท่านเศรษฐีกลับลงมือกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม อย่างเป็นจริงเป็นจัง ด้วยการบอกว่า "ไม่เป็นไรนะ ตาจะทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้กับตุ๊กตาแป้งลูกสาวของหนูเอง ว่าแล้วจึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะให้ทานอุทิศแก่ตุ๊กตาแป้ง ซึ่งเป็นลูกสาวของหลานของข้าพระองค์ ขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป โปรดมารับทานนั้นของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด" ซึ่งพระพุทธองค์ก็ทรงรับโดยแสดงอาการนิ่ง
น่าสังเกตว่า แทนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสบอกกับท่านเศรษฐีว่า "นี่ท่านเศรษฐี ท่านเล่นอะไรอยู่ ตุ๊กตาแป้งน่ะไม่มีชีวิต จะไปรับบุญได้ที่ไหนกัน" เปล่า พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงตรัสเช่นนี้ออกมา แต่ทรงรับนิมนต์โดยดุษฏี (โดยอาการนิ่ง)
ครั้นพอวันรุ่งขึ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยเหล่าพระภิกษุสงฆ์ก็เสด็จมารับภัตตาหารที่บ้านของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี หลังจากพระพุทธองค์ และคณะสงฆ์ ฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ก็ทรงกล่าวอนุโมทนาในทานที่ถวายไว้ดีแล้วนี้ว่า
บุคคลผู้ไม่ตระหนี่ ควรทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง
คือ ปรารภถึงบุรพเปตชน เทวดาผู้สิงอยู่ในเรือน หรือท้าวมหาราชทั้ง ๔ ผู้รักษาโลก ผู้มียศ คือท้าวธตรฐ ๑ (ปกครองคนธรรพ์) วิรุฬหก ๑ (ปกครองครุฑ) วิรูปักษ์ ๑ (ปกครองนาค) และท้าวกุเวร ๑ (ปกครองยักษ์) ให้เป็นอารมณ์
แล้วพึงให้ทาน ท่านเหล่านั้นเป็นผู้อันบุคคลบูชาแล้ว ทั้งทายกก็ไม่ไร้ผล ความร้องไห้ ความเศร้าโศกหรือ ความร่ำไห้อย่างอื่นไม่ควรทำเลย เพราะความร้องไห้ เป็นต้นนั้น ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว
ญาติทั้งหลายคงตั้งอยู่ตามธรรมดาของตนๆ อันทักษิณาทานนี้ ที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์ให้แล้ว ย่อมสำเร็จประโยชน์โดยฉับพลัน แก่บุรพเปตชนนั้น สิ้นกาลนาน.
ครั้นพอวันรุ่งขึ้น ภรรยาท่านเศรษฐี และญาติคนอื่นๆ ก็เลยกระทำตามอย่างท่านเศรษฐีบ้าง คือ นิมนต์พระศาสดาพร้อมหมู่สงฆ์มาถวายทาน แล้วอุทิศบุญให้กับหมู่ญาติผู้ล่วงลับ สิ้นเวลาไปถึง 3 เดือน เรื่องราวก็เลยรู้ไปถึง พระราชาและชาวเมือง ก็เลยขอกระทำตามอย่างท่านเศรษฐีบ้าง ความเป็นผู้ให้แล้วเผื่อแผ่บุญไปยังญาติมิตร ผู้ล่วงลับ ก็แผ่ขยายไปด้วยประการละฉะนี้
ข้อคิดจากตำรา
1. การที่ท่านเศรษฐี นิมนต์พระมารับภัตตาหารที่เรือน แล้วถวายมหาทาน อุทิศให้กับตุ๊กตาแป้ง มิได้หมายความว่า ท่านเศรษฐีไม่รู้ว่า ตุ๊กตาแป้งไร้ชีวิต รับบุญไม่ได้ ท่านย่อมรู้ดี เพราะท่านเป็นพระโสดาบัน แต่การที่ท่านกระทำเช่นนั้น เพราะเป็นการปรารภเหตุ สร้างบุญนั่นเอง นี่จึงเป็นข้อคิดสำคัญ
เพราะปัจจุบัน คนเราทุกวันนี้ จะมีการปรารภเหตุสามแบบ คือ หนึ่ง ปรารภเหตุสร้างบาป เช่น พบเห็นคนประสบเหตุทุกข์ร้อนด้วยเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็นึกสมน้ำหน้าในใจ จะด้วยความไม่ชอบหน้าคนผู้นั้น หรือเพราะเหตุใดก็ตามที่ การปรารภเหตุสร้างบาปเช่นนี้ ก็ย่อมเป็นบาปตามติดไปในภพเบื้องหน้านั่นเอง
สอง ปรารภเหตุไม่สร้างบาป แต่ก็ไม่สร้างบุญ เช่น ตัวผมเอง ในอดีตเคยได้ข่าว สึนามิครั้งใหญ่เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ตัวผมในตอนนั้น แม้จะเห็นใจ ผู้ประสบเหตุเคราะห์ภัยจากสึนามิ แต่ก็เห็นใจเพียงเล็กน้อย และกลับรู้สึกลำพองประมาทในบุญตัวเองว่า เราเกิดอยู่ในเมืองไทย ค่อนมาทางเหนือ ย่อมจะไม่เจอเหตุเภทภัยพวกนี้หรอก ซึ่งทำให้ผมไม่ได้ใช้เหตุนี้ ในการละบาป สร้างบุญให้ยิ่งๆขึ้นไป
แต่แล้วต่อมาไม่นาน เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่เมืองไทย ท่วมบ้านผมหน้าบ้านหน้าถึงหน้าอก โรงงานผมน้ำท่วม 3 เมตร ต้องไปอาศัยวัดพระธรรมกาย กลายเป็นหนึ่งในผู้อพยพลี้ภัยน้ำท่วม ตอนนั้น เลยหวนนึกย้อนถึงเหตุการณ์ที่เคยลำพองใจว่า สึนามิ ไม่เกิดที่บ้านและโรงงานผมหรอก แล้วมันก็เกิดขึ้นเจอได้ ตั้งแต่นั้น เลยทำใจให้ไม่ประมาทในบุญ พบเห็นผู้ประสบเหตุเภทภัย ก็นึกแสดงความเสียใจ และนำเรื่องของเขามาเป็นอุทาหรณ์ว่า อย่าประมาทในชีวิต และอย่าพึ่งคิดว่า มันจะไม่เกิดขึ้นกับเรา เป็นต้น
สาม ปรารภเหตุสร้างบุญ ดังเช่น ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้กระทำ ไม่ว่าเรื่องราวใดๆ จะเกิดขึ้น เรื่องราวนั้นๆ ขอให้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจ ให้เราไม่ประมาทในชีวิต หมั่นสั่งสมบุญยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะชีวิตเป็นของน้อย ถูกชรา และมรณะ เข้าครอบงำทุกอนุวินาที นั่นเอง
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=89