เรื่องนี้เคยเขียนเป็นภาษาอังกฤษไว้ก่อนหน้านี้ที่บล๊อคส่วนตัวครับ แต่อยากจะเอามาแชร์ให้กับเพื่อนๆใน ppantip.com ด้วย ก็เลยแปลเป็นไทยอีกรอบ
เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสเดินทางไปดูงาน CES Asia ที่เซี้ยงไฮ้ครับ เป็นการไปที่สั้นมากเพราะแค่คืนเดียว แต่เนื่องจากงานจบเร็ว ผมก็เลยมีเวลาไปเดินเล่นตอนกลางคืนเพื่อจะดูเมืองครับ ก่อนหน้านี้ หากให้นึกถึงเซี้ยงไฮ้ก็จะนึกถึงหน้งจีนเรื่อง เจ้าพ่อเซี้ยงไฮ้ครับ ก่อนไปก็มีหาข้อมูลนิดหน่อยว่า (นอกจากงานที่เราต้องไปดูแล้ว) มีสถานที่อะไรที่น่าสนใจ
และเนื่องจากผมเดินทางคนเดียว ผมก็เลยจองโรงแรมให้ใกล้ๆกับสถานีรถไฟเพื่อความสะดวกในการเดินทางครับ Dorsett Shanghai Hotel เรียกได้ว่าตั้งอยู่บนสถานีเลยก็ว่าได้ครับ นั่ง Maglev จากสนามบินมาลงที่สถานี Longyan Road ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีครับ แล้วก็เปลี่ยนลงรถไฟใต้ดินไปที่สถานี Century Park เดินตามทางออกก็จะเจอโรงแรมเลยครับ ตรงข้ามโรงแรมก็จะเป็นสวนสาธารณะ Century Park ที่กว้างใหญ่พอสมควร
หลังจากที่เดินในงารเสร็จวันแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาบ่ายๆที่ผมจะได้ห้องพักพอดี ก็กลับไปอาบนํ้าให้สดชื่นก่อนครับ เพราะเดินทางมาถึงเซี้ยงไฮ้ก็เช้ามาก ยังไม่ได้เข้าห้องพักเลย เรียบร้อยแล้วก็นั่งรถไฟเข้าเมืองกันเลยครับ
ระหว่างทางมีสิ่งนึงที่ผมเห็นแล้วน่าสนใจมาก ก็คือการติดตั้งจอทีวีในอุโมงค์ใต้ติดระหว่างสถานี เวลาที่รถไฟวิ่งผ่านเราจะเห็นเป็นคลิปโฆษณาสั้นๆไม่เกิน 10 วินาที ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยครับ เสียดายถ่ายคลิปมาให้ดูไม่ทันครับ
ในส่วนของเซี้ยงไฮ้นั้น ประกอบขึ้นด้วยสองฝั่งครับ เซี้ยงไฮ้ที่เราๆรู้จักคือเมืองเก่าที่ซึ่งเริ่มแออัดและไม่สามารถขยายได้ ทางการจึงได้สร้างเมืองฝั่งตรงข้าม The Bund ที่ใหม่กว่าดั่งที่เราเห็นในรูปด้านล่างนี้ครับ เป็นส่วนที่ทันสมัยและเป็นสถานที่รวมความใหม่ของเมืองไว้
ด้วยความที่ตัวเองเป็นแฟนพันธ์แท้ Apple สถานที่แรกที่ผมไปก็คือหนึ่งในร้านที่เป็น landmark ของ Apple มากที่สุดร้านนึงในโลก ซึ่งตั้งอยู่ใจกลาง IFC หรือ International Financial Center ใน Pudong ครับ
ถัดมาขวามือก็จะเป็นตึกไข่มุก อีกหนึ่ง landmark ของเมืองครับ
ออกมาจากตรง IFC ผมก็นั่งรถไฟใต้ดินข้ามแม่นํ้าไปยัง Xin Tian Di ครับ อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไร แถมเดินออกผิดทางอีกต่างหาก ต้องเดินวนคลำหากันซักพักเลยทีเดียว เนื่องจากผมลงที่สถานี Xin Tian Di ผมก็เลยต้องเดินย้อนขึ้นไปอีกหน่อยครับ แต่สถานีที่ใกล้กว่าแต่อาจต้องเปลี่ยนรถเยอะกว่า ขึ้นอยู่กับว่าต้นทางมาจากสถานีอะไรอาจจะมาลงที่สถานี Huangpi South Road แทนครับ
ใน Xin Tian Di เองมีร้านค้าเก๋ๆ ร้านอาหารทั้งจีนและนานาชาติให้เลือกครับ โซนนี้จะเป็นโซนที่ใหม่หน่อย แต่หากเราอยากเห็นความเป็นเซี้ยงไฮ้ร่วมสมัยหน่อยที่ไม่ใหม่จนเกินไป เราจะเห็นได้จากร้านอีกฝั่งถนน ที่ผมว่าน่าสนใจไม่แพ้กันเลยทีเดียวครับ
ก่อนเดินทางไปดูไฟที่ The Bund ผมตัดสินใจทานมื้อเย็นแถว Xin Tian Di เลยครับ และด้วยอากู๋ ผมก็เลยไปลองร้าน Din Tai Fong ที่ได้ยินว่าเป็นอาหารเซี้ยงไฮ้ดู ซึ่งเป็นร้านเดียวกันกับที่มาเปิดในเมืองไทยครับ แต่จริงๆแล้วกำเนิดในไต้หวันนะครับ เอะยังไง!
จาก Xin Tian Di ผมนั่งรถไฟไปลงที่สถานี East Nanjing Road ครับ พอขึ้นมาแล้วอึ้งเลยทีเดียวกับความเป็น shopping street ที่ค่อยข้องเวอร์วัง ดูมีสีสันผิดหูผิดตากับที่ผมเพิ่งจากมา และแน่นอนที่นี่ก็คืออีกหนึ่งที่ตั้งของร้าน Apple ในเซี้ยงไฮ้ครับ
จากตรงนี้เราเดินตามฝูงชนไปอีกไม่เกินห้านาที เราก็จะไปถึง The Bund ครับ
ไฮไลท์ของ The Bund จริงๆอยู่ที่ตึกระฟ้าฝั่ง Pudong ครับ มาตรงนี้นี่จะพบผู้คนมากมาย หลายเชื้อชาติที่ต่างพากันมาดูความงดงามของไฟยามคํ่าคืนของตึกสูงทันสามันตรงหน้า จุดถ่ายภาพมีเหลือเฟือครับ
วันรุ่งขึ้น เนื่องจากผมยังพอมีเวลา ผมตัดสินใจนั่งรถไฟข้ามไปฝั่งเซี้ยงไฮ้อีกครั้ง ด้วยตั้งใจจะไปที่ Shanghai Musuem ครับ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นสถานที่ๆบอกอะไรๆเกี่ยวกับประเทศจีนและเมืองนี้ได้อีกมาก ซึ่งเอาเข้าจริงๆคงต้องใช้เวลานานหากค่อยๆดูครับ แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจกลับเป็นเทคนิคของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ครับ เนื่องจากของที่แสดงเป็นของโบราณ ดังนั้นเรื่องของแสงไฟจะมีผลต่อชิ้นงานต่างๆ และเพื่อการเก็บรักษาให้ดี ดังนั้นตามชิ้นงานที่ไม่มีคนดู จะมีการดับไฟอัตโนมัติเพื่อถนอมงาน และไฟจะติดเมื่อเราเดินไปด้านหน้าของชิ้นงานนั้นๆ Brilliant!
และนี่ก็คือเพียงเสี้ยวหนึ่งของเซี้ยงไฮ้ที่ผมได้ไปเจอและประทับใจครับ เป็นเมืองที่มีทั้งเก่าและใหม่อยู่ร่วมกันอย่างลงตัวครับ หากมีโอกาสจะกลับไปเที่ยว เจาะลึกกว่านี้
[CR] เมื่อใหม่และเก่ามาบรรจบกันที่เซี้ยงไฮ้
เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสเดินทางไปดูงาน CES Asia ที่เซี้ยงไฮ้ครับ เป็นการไปที่สั้นมากเพราะแค่คืนเดียว แต่เนื่องจากงานจบเร็ว ผมก็เลยมีเวลาไปเดินเล่นตอนกลางคืนเพื่อจะดูเมืองครับ ก่อนหน้านี้ หากให้นึกถึงเซี้ยงไฮ้ก็จะนึกถึงหน้งจีนเรื่อง เจ้าพ่อเซี้ยงไฮ้ครับ ก่อนไปก็มีหาข้อมูลนิดหน่อยว่า (นอกจากงานที่เราต้องไปดูแล้ว) มีสถานที่อะไรที่น่าสนใจ
และเนื่องจากผมเดินทางคนเดียว ผมก็เลยจองโรงแรมให้ใกล้ๆกับสถานีรถไฟเพื่อความสะดวกในการเดินทางครับ Dorsett Shanghai Hotel เรียกได้ว่าตั้งอยู่บนสถานีเลยก็ว่าได้ครับ นั่ง Maglev จากสนามบินมาลงที่สถานี Longyan Road ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีครับ แล้วก็เปลี่ยนลงรถไฟใต้ดินไปที่สถานี Century Park เดินตามทางออกก็จะเจอโรงแรมเลยครับ ตรงข้ามโรงแรมก็จะเป็นสวนสาธารณะ Century Park ที่กว้างใหญ่พอสมควร
หลังจากที่เดินในงารเสร็จวันแรก ซึ่งเป็นช่วงเวลาบ่ายๆที่ผมจะได้ห้องพักพอดี ก็กลับไปอาบนํ้าให้สดชื่นก่อนครับ เพราะเดินทางมาถึงเซี้ยงไฮ้ก็เช้ามาก ยังไม่ได้เข้าห้องพักเลย เรียบร้อยแล้วก็นั่งรถไฟเข้าเมืองกันเลยครับ
ระหว่างทางมีสิ่งนึงที่ผมเห็นแล้วน่าสนใจมาก ก็คือการติดตั้งจอทีวีในอุโมงค์ใต้ติดระหว่างสถานี เวลาที่รถไฟวิ่งผ่านเราจะเห็นเป็นคลิปโฆษณาสั้นๆไม่เกิน 10 วินาที ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลยครับ เสียดายถ่ายคลิปมาให้ดูไม่ทันครับ
ในส่วนของเซี้ยงไฮ้นั้น ประกอบขึ้นด้วยสองฝั่งครับ เซี้ยงไฮ้ที่เราๆรู้จักคือเมืองเก่าที่ซึ่งเริ่มแออัดและไม่สามารถขยายได้ ทางการจึงได้สร้างเมืองฝั่งตรงข้าม The Bund ที่ใหม่กว่าดั่งที่เราเห็นในรูปด้านล่างนี้ครับ เป็นส่วนที่ทันสมัยและเป็นสถานที่รวมความใหม่ของเมืองไว้
ด้วยความที่ตัวเองเป็นแฟนพันธ์แท้ Apple สถานที่แรกที่ผมไปก็คือหนึ่งในร้านที่เป็น landmark ของ Apple มากที่สุดร้านนึงในโลก ซึ่งตั้งอยู่ใจกลาง IFC หรือ International Financial Center ใน Pudong ครับ
ถัดมาขวามือก็จะเป็นตึกไข่มุก อีกหนึ่ง landmark ของเมืองครับ
ออกมาจากตรง IFC ผมก็นั่งรถไฟใต้ดินข้ามแม่นํ้าไปยัง Xin Tian Di ครับ อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไร แถมเดินออกผิดทางอีกต่างหาก ต้องเดินวนคลำหากันซักพักเลยทีเดียว เนื่องจากผมลงที่สถานี Xin Tian Di ผมก็เลยต้องเดินย้อนขึ้นไปอีกหน่อยครับ แต่สถานีที่ใกล้กว่าแต่อาจต้องเปลี่ยนรถเยอะกว่า ขึ้นอยู่กับว่าต้นทางมาจากสถานีอะไรอาจจะมาลงที่สถานี Huangpi South Road แทนครับ
ใน Xin Tian Di เองมีร้านค้าเก๋ๆ ร้านอาหารทั้งจีนและนานาชาติให้เลือกครับ โซนนี้จะเป็นโซนที่ใหม่หน่อย แต่หากเราอยากเห็นความเป็นเซี้ยงไฮ้ร่วมสมัยหน่อยที่ไม่ใหม่จนเกินไป เราจะเห็นได้จากร้านอีกฝั่งถนน ที่ผมว่าน่าสนใจไม่แพ้กันเลยทีเดียวครับ
ก่อนเดินทางไปดูไฟที่ The Bund ผมตัดสินใจทานมื้อเย็นแถว Xin Tian Di เลยครับ และด้วยอากู๋ ผมก็เลยไปลองร้าน Din Tai Fong ที่ได้ยินว่าเป็นอาหารเซี้ยงไฮ้ดู ซึ่งเป็นร้านเดียวกันกับที่มาเปิดในเมืองไทยครับ แต่จริงๆแล้วกำเนิดในไต้หวันนะครับ เอะยังไง!
จาก Xin Tian Di ผมนั่งรถไฟไปลงที่สถานี East Nanjing Road ครับ พอขึ้นมาแล้วอึ้งเลยทีเดียวกับความเป็น shopping street ที่ค่อยข้องเวอร์วัง ดูมีสีสันผิดหูผิดตากับที่ผมเพิ่งจากมา และแน่นอนที่นี่ก็คืออีกหนึ่งที่ตั้งของร้าน Apple ในเซี้ยงไฮ้ครับ
จากตรงนี้เราเดินตามฝูงชนไปอีกไม่เกินห้านาที เราก็จะไปถึง The Bund ครับ
ไฮไลท์ของ The Bund จริงๆอยู่ที่ตึกระฟ้าฝั่ง Pudong ครับ มาตรงนี้นี่จะพบผู้คนมากมาย หลายเชื้อชาติที่ต่างพากันมาดูความงดงามของไฟยามคํ่าคืนของตึกสูงทันสามันตรงหน้า จุดถ่ายภาพมีเหลือเฟือครับ
วันรุ่งขึ้น เนื่องจากผมยังพอมีเวลา ผมตัดสินใจนั่งรถไฟข้ามไปฝั่งเซี้ยงไฮ้อีกครั้ง ด้วยตั้งใจจะไปที่ Shanghai Musuem ครับ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นสถานที่ๆบอกอะไรๆเกี่ยวกับประเทศจีนและเมืองนี้ได้อีกมาก ซึ่งเอาเข้าจริงๆคงต้องใช้เวลานานหากค่อยๆดูครับ แต่สิ่งที่ทำให้ผมสนใจกลับเป็นเทคนิคของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ครับ เนื่องจากของที่แสดงเป็นของโบราณ ดังนั้นเรื่องของแสงไฟจะมีผลต่อชิ้นงานต่างๆ และเพื่อการเก็บรักษาให้ดี ดังนั้นตามชิ้นงานที่ไม่มีคนดู จะมีการดับไฟอัตโนมัติเพื่อถนอมงาน และไฟจะติดเมื่อเราเดินไปด้านหน้าของชิ้นงานนั้นๆ Brilliant!
และนี่ก็คือเพียงเสี้ยวหนึ่งของเซี้ยงไฮ้ที่ผมได้ไปเจอและประทับใจครับ เป็นเมืองที่มีทั้งเก่าและใหม่อยู่ร่วมกันอย่างลงตัวครับ หากมีโอกาสจะกลับไปเที่ยว เจาะลึกกว่านี้