สวัสดีปีค่ะ เราอยากแชร์ประสปการณ์ที่เราไปโอมานเดือนธันวาที่ผ่านมา ตอนแรกเราก็ไม่เคยคิดจะมาเล่าหรือเขียนในพันทิพแต่เมื่อไม่นานมานี้ได้ดูข่าวว่ามีหญิงไทยที่ไปโอมานแล้วถูกขังเพราะว่ายาที่หญิงคนนี้กินเป็นประจำแล้วเขาเอาไปด้วยนั้นมีส่วนประกอบสารตั้งต้นของยาเสพติด
เรื่องก็มีอยู่ว่าเรากับเพื่อนอีก4คน(เป็นชาวต่างชาติ)เดินทางไปประเทศโอมานวันที่17ธันวาคมโดยสายการบินแอร์เอเชีย เมื่อถึงสนามบินที่มัสกัตเราก็ต้องไปจ่ายค่าวีซ่าเข้าประเทศ ในเวลานั้นคนเยอะมาก เพื่อนเราอีกสี่คนนั้นได้สมัครวีซ่าทางออนไลน์มาแล้วจึงสามารถไปต่อแถวผ่าน ต.ม ได้เลยดังนั้นเราเลยให้เพื่อนผ่าน ต.ม ไปก่อนเพื่อไปรับสัมภาระที่โหลดไว้
ก่อนเราจะแยกกับเพื่อนเราได้เอา walking talkie พร้อมเปิดเครื่องให้เพื่อนเราไปเครื่องหนึ่งเพื่อเราหาเพื่อนไม่เจอเราก็จะได้ติดต่อได้
เราใช้เวลานานเหมือนกันเกือบชั่วโมงกว่าจะผ่าน ตม. เมื่อผ่านออกมาเราก็เจอเพื่อนเรานั่งรออยู่บริเวณที่รับกระเป๋าหลังจากนั้น เราต้องเอากระเป๋าผ่านX-ray ก่อนเพื่อผ่านศุลกากร เมื่อกระเป๋าสะพายเราเข้าเครื่องX-Ray ก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาหาเราแล้วถามว่าเรามีเครื่อง walking talkie ใช่หรือเปล่า เขาให้เราเอาออกมาให้เขาดูและบอกว่าไอ้เครื่องนี้ไม่สามารถเอาเข้าโอมานได้ เราก็พยายามอธิบายให้ฟังว่าเราเดินทางหลายคนเราใช้เพื่อการสื่อสารกับเพื่อนในกลุ่มเท่านั้น ในใจเราตอนนั้นกลัวอย่างเดียวคือกลัวเขาเอาไปแล้วไม่คืน
โชคดีที่เจ้าหน้าที่บอกเราว่าให้ฝากไว้ก่อนแล้วเราสามารถมาเอาได้ในวันเดินทางกลับ หลังจากนั้นเขาก็พาเราไปสถานนีตำรวจที่อยู่ใกล้กับสายพานกระเป๋า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนมาคุยกับเราช่วยทำเรื่องฝาก walkie talkie ไว้ เราสังเกตุได้ว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่โอมานช้ามาก สไตล์ใจเย็นๆ ขนาดเพื่อนเราที่เป็นชาวต่างชาติยังบอกเลยว่าคนที่นี่ยังใจเย็นกว่าคนไทยอีก นายตำรวจที่ทำเรื่องฝากเครื่องให้เรานั้น ร้องเพลงไปด้วยแล้วก็เขียนใบคำร้องไปด้วยใจเย็นจริงๆ แต่ผิดกับเรากับเพื่อนเราที่รีบจะตายอยู่แล้วเพราะผ่านไปเกือบ2ชั่งโมงแล้วซิมโทรศัพท์ยังไม่ได้ซื้อ รถที่เช่าก็ยังไม่ได้ไปเอา5555 ก่อนทำเรื่องเสร็จนายตำรวจคนนั้นบอกเราว่าให้เรามารับเครื่องได้ก่อนเครื่องบินออก 3 ชั่วโมง แล้วเขาก็ให้ใบรับของคืนมาหนึ่งใบ
ตัดมาวันกลับเลยนะ กว่าเราจะได้เครื่องกลับก็มิได้ง่ายอย่างที่ตำรวจคนนั้นว่า เพราะอะไรหรือมาดูกัน
เครื่องบินที่เราจะกลับออกตอนสองทุ่มสี่สิบ เราไปถึงสนามบินตอนห้าโมงครึ่งซึ่งเราก็ไปหาตำรวจเพื่อเอาของคืนก่อนเลย แต่พอไปถึงตำรวจบอกเราว่าให้มาใหม่ตอนหกโมงเย็นเพราะว่าเรามาเช้าไป เราก็เลยไปเช็คอินก่อนและกลับมาอีกรอบตอนหาโมงเย็น
พอหกโมงเย็นเรากลับมาอีกรอบ ตำรวจก็บอกเราว่ายังให้ไม่ได้ให้กลับมาใหม่ตอนหนึ่งทุ่ม เราก็บอกเขาว่าboarding time ของเราคือทุ่มสี่สิบ เรากลัวว่าเราจะไม่ทันเพราะเรายังไม่ผ่าน ตม ของโอมานเลย เขาก็บอกเราว่าพอเราได้เครื่องเสร็จจะมีตำรวจพาเราเข้าไปข้างในถึงหน้าเกตเลยดังนั้นเราโอเค ให้เพื่อนเราเข้าไปรอข้างในก่อนแล้วเรารออยู่ข้างนอกคนเดียวเพื่อรอเวลาทุ่มตรง
พอถึงทุ่มตรงเราก็ตรงไปหาตำรวจเลย เขาพาเราเข้าไปข้างในเป็นที่ที่เรามาส่วเครื่องในตอนแรก แล้วเราก็รอนานเหมือนกันก็จะได้เครื่องคืน ตำรวจทำงานช้ามากเหมือนเรื่อยๆมาเรียงๆไม่ใจร้อนอะไร แต่เรานั้นกลัวจะตกเครื่องจะตายอยู่แล้ว
หลังจากที่เราได้เครื่องคืนแล้วก็มีเจ้าหน้าที่พาเราไปผ่าน ตม. แต่ช้าก่อนเราก็นึกว่าเราจะผ่านช่องทางพิเศษเพื่อให้เราได้เร็วขึ้น ในความจริงแล้วเราก็ต้องต่อแถวเหมือนคนอื่นซึ่งคนเยอะมาก ระหว่างต่อแถวเราก็ชะโงกดูคนที่พาเรามานั้นไปไหนแต่ก็ไม่เห็น พอเราผ่าน ตม มาเจ้าหน้าที่คนนั้นก็มาทักเราทันที แล้วเราก็ต้องผ่านเครื่องX-ray อีกซึ่งก็ผ่านไปด้วยดีแต่ช้าก่อนเจ้าหน้าที่คนนี้ไปถามเจ้าหน้าที่ที่ดูเครื่องX-ray ว่าไม่เห็นเครื่องwalkie talkie หรือ เขาทำท่าทางแปลกใจว่าทำไมไม่เห็น แถมให้เราเอาเครื่องออกมาให้เจ้าหน้าที่คนนั้นดู พอเจ้าหน้าที่คนนั้นคืนเครื่องให้เรา เราก็ถามเลยว่าเราไปได้ยังเพราะกลัวตกเครื่อง เขาก็บอกเราว่าไปได้แล้วแต่ก่อนไปเขากำชับเราเลยว่าห้ามเอาเครื่องwalkie talkie ออกมานะให้เก็บไว้ในกระเป๋า
สรุปเราว่าสาเหตุที่ตำรวจคืนเครื่องเราช้านั้นเพราะเขาจะให้เรารับเสร็จขึ้นเครื่องเลยไม่มีเวลาเดินไปไหนแล้ว
เราไปถึงเกตผู้โดยสารคนอื่นทะยอยขึ้อนเครื่องแล้ว โชคดีทันไม่มีปัญหา
เรื่องนี้ให้ข้อคิดว่า: ใครไปโอมานไม่ต้องเอาwalkie talkie มานะ ไม่อย่างนั้นวุ่นวายมาก
เมื่อฉันต้องฝากของกับตำรวจโอมาน
เรื่องก็มีอยู่ว่าเรากับเพื่อนอีก4คน(เป็นชาวต่างชาติ)เดินทางไปประเทศโอมานวันที่17ธันวาคมโดยสายการบินแอร์เอเชีย เมื่อถึงสนามบินที่มัสกัตเราก็ต้องไปจ่ายค่าวีซ่าเข้าประเทศ ในเวลานั้นคนเยอะมาก เพื่อนเราอีกสี่คนนั้นได้สมัครวีซ่าทางออนไลน์มาแล้วจึงสามารถไปต่อแถวผ่าน ต.ม ได้เลยดังนั้นเราเลยให้เพื่อนผ่าน ต.ม ไปก่อนเพื่อไปรับสัมภาระที่โหลดไว้
ก่อนเราจะแยกกับเพื่อนเราได้เอา walking talkie พร้อมเปิดเครื่องให้เพื่อนเราไปเครื่องหนึ่งเพื่อเราหาเพื่อนไม่เจอเราก็จะได้ติดต่อได้
เราใช้เวลานานเหมือนกันเกือบชั่วโมงกว่าจะผ่าน ตม. เมื่อผ่านออกมาเราก็เจอเพื่อนเรานั่งรออยู่บริเวณที่รับกระเป๋าหลังจากนั้น เราต้องเอากระเป๋าผ่านX-ray ก่อนเพื่อผ่านศุลกากร เมื่อกระเป๋าสะพายเราเข้าเครื่องX-Ray ก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาหาเราแล้วถามว่าเรามีเครื่อง walking talkie ใช่หรือเปล่า เขาให้เราเอาออกมาให้เขาดูและบอกว่าไอ้เครื่องนี้ไม่สามารถเอาเข้าโอมานได้ เราก็พยายามอธิบายให้ฟังว่าเราเดินทางหลายคนเราใช้เพื่อการสื่อสารกับเพื่อนในกลุ่มเท่านั้น ในใจเราตอนนั้นกลัวอย่างเดียวคือกลัวเขาเอาไปแล้วไม่คืน
โชคดีที่เจ้าหน้าที่บอกเราว่าให้ฝากไว้ก่อนแล้วเราสามารถมาเอาได้ในวันเดินทางกลับ หลังจากนั้นเขาก็พาเราไปสถานนีตำรวจที่อยู่ใกล้กับสายพานกระเป๋า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนมาคุยกับเราช่วยทำเรื่องฝาก walkie talkie ไว้ เราสังเกตุได้ว่าการทำงานของเจ้าหน้าที่โอมานช้ามาก สไตล์ใจเย็นๆ ขนาดเพื่อนเราที่เป็นชาวต่างชาติยังบอกเลยว่าคนที่นี่ยังใจเย็นกว่าคนไทยอีก นายตำรวจที่ทำเรื่องฝากเครื่องให้เรานั้น ร้องเพลงไปด้วยแล้วก็เขียนใบคำร้องไปด้วยใจเย็นจริงๆ แต่ผิดกับเรากับเพื่อนเราที่รีบจะตายอยู่แล้วเพราะผ่านไปเกือบ2ชั่งโมงแล้วซิมโทรศัพท์ยังไม่ได้ซื้อ รถที่เช่าก็ยังไม่ได้ไปเอา5555 ก่อนทำเรื่องเสร็จนายตำรวจคนนั้นบอกเราว่าให้เรามารับเครื่องได้ก่อนเครื่องบินออก 3 ชั่วโมง แล้วเขาก็ให้ใบรับของคืนมาหนึ่งใบ
ตัดมาวันกลับเลยนะ กว่าเราจะได้เครื่องกลับก็มิได้ง่ายอย่างที่ตำรวจคนนั้นว่า เพราะอะไรหรือมาดูกัน
เครื่องบินที่เราจะกลับออกตอนสองทุ่มสี่สิบ เราไปถึงสนามบินตอนห้าโมงครึ่งซึ่งเราก็ไปหาตำรวจเพื่อเอาของคืนก่อนเลย แต่พอไปถึงตำรวจบอกเราว่าให้มาใหม่ตอนหกโมงเย็นเพราะว่าเรามาเช้าไป เราก็เลยไปเช็คอินก่อนและกลับมาอีกรอบตอนหาโมงเย็น
พอหกโมงเย็นเรากลับมาอีกรอบ ตำรวจก็บอกเราว่ายังให้ไม่ได้ให้กลับมาใหม่ตอนหนึ่งทุ่ม เราก็บอกเขาว่าboarding time ของเราคือทุ่มสี่สิบ เรากลัวว่าเราจะไม่ทันเพราะเรายังไม่ผ่าน ตม ของโอมานเลย เขาก็บอกเราว่าพอเราได้เครื่องเสร็จจะมีตำรวจพาเราเข้าไปข้างในถึงหน้าเกตเลยดังนั้นเราโอเค ให้เพื่อนเราเข้าไปรอข้างในก่อนแล้วเรารออยู่ข้างนอกคนเดียวเพื่อรอเวลาทุ่มตรง
พอถึงทุ่มตรงเราก็ตรงไปหาตำรวจเลย เขาพาเราเข้าไปข้างในเป็นที่ที่เรามาส่วเครื่องในตอนแรก แล้วเราก็รอนานเหมือนกันก็จะได้เครื่องคืน ตำรวจทำงานช้ามากเหมือนเรื่อยๆมาเรียงๆไม่ใจร้อนอะไร แต่เรานั้นกลัวจะตกเครื่องจะตายอยู่แล้ว
หลังจากที่เราได้เครื่องคืนแล้วก็มีเจ้าหน้าที่พาเราไปผ่าน ตม. แต่ช้าก่อนเราก็นึกว่าเราจะผ่านช่องทางพิเศษเพื่อให้เราได้เร็วขึ้น ในความจริงแล้วเราก็ต้องต่อแถวเหมือนคนอื่นซึ่งคนเยอะมาก ระหว่างต่อแถวเราก็ชะโงกดูคนที่พาเรามานั้นไปไหนแต่ก็ไม่เห็น พอเราผ่าน ตม มาเจ้าหน้าที่คนนั้นก็มาทักเราทันที แล้วเราก็ต้องผ่านเครื่องX-ray อีกซึ่งก็ผ่านไปด้วยดีแต่ช้าก่อนเจ้าหน้าที่คนนี้ไปถามเจ้าหน้าที่ที่ดูเครื่องX-ray ว่าไม่เห็นเครื่องwalkie talkie หรือ เขาทำท่าทางแปลกใจว่าทำไมไม่เห็น แถมให้เราเอาเครื่องออกมาให้เจ้าหน้าที่คนนั้นดู พอเจ้าหน้าที่คนนั้นคืนเครื่องให้เรา เราก็ถามเลยว่าเราไปได้ยังเพราะกลัวตกเครื่อง เขาก็บอกเราว่าไปได้แล้วแต่ก่อนไปเขากำชับเราเลยว่าห้ามเอาเครื่องwalkie talkie ออกมานะให้เก็บไว้ในกระเป๋า
สรุปเราว่าสาเหตุที่ตำรวจคืนเครื่องเราช้านั้นเพราะเขาจะให้เรารับเสร็จขึ้นเครื่องเลยไม่มีเวลาเดินไปไหนแล้ว
เราไปถึงเกตผู้โดยสารคนอื่นทะยอยขึ้อนเครื่องแล้ว โชคดีทันไม่มีปัญหา
เรื่องนี้ให้ข้อคิดว่า: ใครไปโอมานไม่ต้องเอาwalkie talkie มานะ ไม่อย่างนั้นวุ่นวายมาก