[หนังโรงเรื่องที่ 169] La La Land - สองคนบ้าผู้กล้าฝัน ; (Damien Chazelle, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+++++++++++++ (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เรื่องราวเกี่ยวกับสองนักล่าฝันที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงของชีวิต คนแรกคือ "เซบาสเตียน" (Ryan Gosling)นักเปียโนถังแตกผู้หลงไหลในความเป็นแจ๊ส ไม่มีเงิน ไม่มีงาน มีแต่แพสชั่นล้วนๆ และสาวเจ้าผู้วาดหวังจะเป็นนักแสดง "มีอา" (Emma Stone)ที่สะดุดกับการออดิชั่นมานับครั้งไม่ถ้วน ... ทั้งสองคนต่างก็ต้องดิ้นรนในเมืองมายาแห่งลอส แองเจลิสเพื่อที่คว้าเป้าหมายของตัวเองมาไว้ในมือให้ได้
สารภาพเลยว่าเป็นหนึ่งในรีวิวที่เขียนยากมาก (ยิ่งหนังดีเท่าไหร่ยิ่งเขียนยาก) ด้วยความที่มันไม่ได้มีพล็อตที่ซับซ้อนอะไรมากมาย แต่หนักไปทางการถ่ายทอดความรู้สึกที่มันเป็นนามธรรมเสียมากกว่าเลยยากที่จะสื่อออกมาได้ ถ้ารีวิวนี้เขียนออกมาแบบกระท่อนกระแท่นนิดนึงก็ต้องขออภัยไว้ก่อนนะฮะ
สิ่งที่ชอบก็คือ 'สไตล์' ของหนังที่ออกแบบมาได้แบบ 'classy' ในโทนยุค 80' มากๆ ทั้งการแต่งตัวแบบวินเทจ, สีภาพที่สดแสบ และแนวดนตรีแจ๊สแดนซ์อันเป็นเอกลักษณ์ (เชื่อว่าสาวๆเห็นชุดเอ็มม่าสโตนแล้วก็คงอยากจะหามาใส่บ้าง) โดยที่ setting จริงๆของตัวหนังก็ยังอยู่ในยุคปัจจุบันนี่ล่ะ ซึ่งการคุมโทนที่เจ๋งแบบนี้ก็ช่วยให้อารมณ์ของคนดูอย่างเราไปในทิศทางเดียวกันได้ดีตลอดสองชั่วโมงหนัง
สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดก็คือพลังของเอ็มม่า สโตนที่สามารถแบกหนังไว้ได้ทั้งเรื่องประดุจกรรมกรโด้ปกระทิงแดงผสมกาแฟเซเว่น ทั้งแอคติ้งและสีหน้าที่ครบองค์ไม่ว่าจะเล่นใหญ่-เล่นเล็ก นางกวาดเรียบ! แถมยังพ่วงเสียงร้องหวานๆมาเป็นโบนัสให้แฟนๆอีก ... ความแกร่งของเธอมันล้นพ้นจนเรารู้สึกว่า ณ จุดนี้จะเอาใครมาเป็นพระเอกก็ได้จริงๆนะ ขอแค่มีเอ็มม่าก็พอ
แต่ก็ใช่ว่าพ่อไรอัน กอสลิ่งของเราจะเล่นไม่ดีนะ แต่ด้วยความที่บทมันส่งให้พระเอกของเราเป็นตัวซัพพอร์ทความสำคัญของนางเอกอีกทีนางก็เลยเกิดได้ไม่เต็มที่ แต่โดยส่วนตัวคิดว่ามาดของกอสลิ่งก็เหมาะกับเป็นผู้ชายอาภัพๆแบบนี้แหละ เวิร์กแล้ว ... คนอะไร๊แค่สงสายตาก็ดูน่าสงสารได้ขนาดนั้น น่าเอ็นดูเหลือเกินพ่อคุณ
มาพูดทางด้านดนตรี-เพลงของเรื่อง ที่ถ้าไม่พูดถึงธีมเพลงหลักของเรื่องอย่าง "City of Stars" แล้วก็คงรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนแล้วก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ 'เพราะใช้ได้' น่ะแหละ แต่ถามว่าติดหูมั้ย? ก็ต้องบอกว่ามาก ก็แอบเห็นด้วยกับความเห็นของนักวิจารณ์ท่านนึงที่ว่าด้วยความที่หนังมันอัดเข้ามารัวๆตลอดสองชั่วโมงในหลากหลายเวอร์ชั่นก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอาการ earworm อยู่แล้ว (หัวเราะ) ถ้าพูดถึงเพลงที่น่าจดจำจริงๆก็คงเป็นเพลง "The Fools Who Dream" ที่นางเอกใช้ในฉากออดิชั่นสุดท้ายมากกว่า
จังหวะของความเป็นมิวสิคัลในเรื่องยังไม่ใช่จุดที่ทำให้เรา 'ว้าว' ได้ทุกฉากเท่าไหร่ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของเรื่องที่เรายังรู้สึกว่าอะไรๆหลายอย่างยังไม่เข้าร่องเข้ารอยเท่าไหร่ (อาจจะมีความรู้สึกผาดโผนเท่ดี แต่ก็แค่นั้น) ถ้าถามว่าเริ่มตกหลุมรักหนังตอนไหน ก็คงเป็นฉากพ่อแง่แม่ งอนของพระเอก-นางเอกเริ่มจีบกันที่จุดชมวิวกับเพลง "A Lovely Night" เนี่ยเป็น Tap Dance ที่น่ารักน่าชังเสียจริง
บางคนอาจสงสัย ติเยอะจังฟะ? แล้วให้คะแนนมาทำไมตั้งเยอะแยะ? ... ก็ต้องบอกว่าในความด้อยทั้งหลายแหล่ที่ผ่านมาของหนังเนี่ย ถือว่าโมฆะให้หมดใน "ฉากชุดใหญ่ฉากสุดท้าย" ที่ทรงพลังมากๆจนน่าขนลุก และกินใจจนน้ำตาคลอ โดยใช้เวอร์ชั่นโซโล่เปียโนของ City of Stars มาเป็นแบ็กกราวให้กับมอนเทจที่กลับมาตอกย้ำข้อความของตัวละครที่เคยคุยกันไว้ที่ว่า "What if" หรือ "ถ้าเธอได้บทนั้น ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป" ซึ่งหนังก็เติมเต็มช่องเวลาที่หายไปได้อย่างร้ายกาจ ... แต่เอาจริงๆแล้วตัวผู้เขียนมาตายตรงฉากที่พระเอกพยักหน้าเบาๆให้นางเอกนี่ล่ะ คือถ้าขยี้นานกว่านี้โฮแตกแน่นอน
... สรุปแล้ว La La Land ก็ยังเป็นหนังที่สมเป็นซิกเนเจอร์ของผู้กำกับ ในการชี้เน้นไปที่ "ความรู้สึกของ ณ นาทีนั้น" มากกว่าผลของการกระทำหรือสิ่งที่จะเป็นไปในอนาคต แต่ในหลายๆฉากก็ยังมีความซึ้งกินใจที่สามารถจับต้องได้ มันเป็นความรู้สึกที่ 'สมจริง' จนเรารู้สึกราวกับมันเกิดขึ้นกับตัวเอง และด้วยสไตล์หนังที่โดดเด่นแบบนี้ก็เชื่อว่าจะถูกยกขึ้นหิ้งคลาสสิคไปอีกนานโขเลยทีเดียว
พูดได้ว่าอาจเป็นหนังที่ดีที่สุดเรื่องนึงของปีนี้ก็เป็นได้ .. ซื้อตั๋วก็รีบหน่อยนะฮะ โรงเต็ม!
ป.ล.เอ็มม่านี่จะขาวไปไหน ขาวจนบังกระเบื้อง ให้ตายสิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ!
[Movie Review] La La Land - สองคนบ้าผู้กล้าฝัน by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 169] La La Land - สองคนบ้าผู้กล้าฝัน ; (Damien Chazelle, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+++++++++++++ (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : เรื่องราวเกี่ยวกับสองนักล่าฝันที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงของชีวิต คนแรกคือ "เซบาสเตียน" (Ryan Gosling)นักเปียโนถังแตกผู้หลงไหลในความเป็นแจ๊ส ไม่มีเงิน ไม่มีงาน มีแต่แพสชั่นล้วนๆ และสาวเจ้าผู้วาดหวังจะเป็นนักแสดง "มีอา" (Emma Stone)ที่สะดุดกับการออดิชั่นมานับครั้งไม่ถ้วน ... ทั้งสองคนต่างก็ต้องดิ้นรนในเมืองมายาแห่งลอส แองเจลิสเพื่อที่คว้าเป้าหมายของตัวเองมาไว้ในมือให้ได้
สารภาพเลยว่าเป็นหนึ่งในรีวิวที่เขียนยากมาก (ยิ่งหนังดีเท่าไหร่ยิ่งเขียนยาก) ด้วยความที่มันไม่ได้มีพล็อตที่ซับซ้อนอะไรมากมาย แต่หนักไปทางการถ่ายทอดความรู้สึกที่มันเป็นนามธรรมเสียมากกว่าเลยยากที่จะสื่อออกมาได้ ถ้ารีวิวนี้เขียนออกมาแบบกระท่อนกระแท่นนิดนึงก็ต้องขออภัยไว้ก่อนนะฮะ
สิ่งที่ชอบก็คือ 'สไตล์' ของหนังที่ออกแบบมาได้แบบ 'classy' ในโทนยุค 80' มากๆ ทั้งการแต่งตัวแบบวินเทจ, สีภาพที่สดแสบ และแนวดนตรีแจ๊สแดนซ์อันเป็นเอกลักษณ์ (เชื่อว่าสาวๆเห็นชุดเอ็มม่าสโตนแล้วก็คงอยากจะหามาใส่บ้าง) โดยที่ setting จริงๆของตัวหนังก็ยังอยู่ในยุคปัจจุบันนี่ล่ะ ซึ่งการคุมโทนที่เจ๋งแบบนี้ก็ช่วยให้อารมณ์ของคนดูอย่างเราไปในทิศทางเดียวกันได้ดีตลอดสองชั่วโมงหนัง
สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดก็คือพลังของเอ็มม่า สโตนที่สามารถแบกหนังไว้ได้ทั้งเรื่องประดุจกรรมกรโด้ปกระทิงแดงผสมกาแฟเซเว่น ทั้งแอคติ้งและสีหน้าที่ครบองค์ไม่ว่าจะเล่นใหญ่-เล่นเล็ก นางกวาดเรียบ! แถมยังพ่วงเสียงร้องหวานๆมาเป็นโบนัสให้แฟนๆอีก ... ความแกร่งของเธอมันล้นพ้นจนเรารู้สึกว่า ณ จุดนี้จะเอาใครมาเป็นพระเอกก็ได้จริงๆนะ ขอแค่มีเอ็มม่าก็พอ
แต่ก็ใช่ว่าพ่อไรอัน กอสลิ่งของเราจะเล่นไม่ดีนะ แต่ด้วยความที่บทมันส่งให้พระเอกของเราเป็นตัวซัพพอร์ทความสำคัญของนางเอกอีกทีนางก็เลยเกิดได้ไม่เต็มที่ แต่โดยส่วนตัวคิดว่ามาดของกอสลิ่งก็เหมาะกับเป็นผู้ชายอาภัพๆแบบนี้แหละ เวิร์กแล้ว ... คนอะไร๊แค่สงสายตาก็ดูน่าสงสารได้ขนาดนั้น น่าเอ็นดูเหลือเกินพ่อคุณ
มาพูดทางด้านดนตรี-เพลงของเรื่อง ที่ถ้าไม่พูดถึงธีมเพลงหลักของเรื่องอย่าง "City of Stars" แล้วก็คงรู้สึกเหมือนขาดอะไรไป ซึ่งในความเห็นของผู้เขียนแล้วก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ 'เพราะใช้ได้' น่ะแหละ แต่ถามว่าติดหูมั้ย? ก็ต้องบอกว่ามาก ก็แอบเห็นด้วยกับความเห็นของนักวิจารณ์ท่านนึงที่ว่าด้วยความที่หนังมันอัดเข้ามารัวๆตลอดสองชั่วโมงในหลากหลายเวอร์ชั่นก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดอาการ earworm อยู่แล้ว (หัวเราะ) ถ้าพูดถึงเพลงที่น่าจดจำจริงๆก็คงเป็นเพลง "The Fools Who Dream" ที่นางเอกใช้ในฉากออดิชั่นสุดท้ายมากกว่า
จังหวะของความเป็นมิวสิคัลในเรื่องยังไม่ใช่จุดที่ทำให้เรา 'ว้าว' ได้ทุกฉากเท่าไหร่ โดยเฉพาะในช่วงครึ่งแรกของเรื่องที่เรายังรู้สึกว่าอะไรๆหลายอย่างยังไม่เข้าร่องเข้ารอยเท่าไหร่ (อาจจะมีความรู้สึกผาดโผนเท่ดี แต่ก็แค่นั้น) ถ้าถามว่าเริ่มตกหลุมรักหนังตอนไหน ก็คงเป็นฉากพ่อแง่แม่ งอนของพระเอก-นางเอกเริ่มจีบกันที่จุดชมวิวกับเพลง "A Lovely Night" เนี่ยเป็น Tap Dance ที่น่ารักน่าชังเสียจริง
บางคนอาจสงสัย ติเยอะจังฟะ? แล้วให้คะแนนมาทำไมตั้งเยอะแยะ? ... ก็ต้องบอกว่าในความด้อยทั้งหลายแหล่ที่ผ่านมาของหนังเนี่ย ถือว่าโมฆะให้หมดใน "ฉากชุดใหญ่ฉากสุดท้าย" ที่ทรงพลังมากๆจนน่าขนลุก และกินใจจนน้ำตาคลอ โดยใช้เวอร์ชั่นโซโล่เปียโนของ City of Stars มาเป็นแบ็กกราวให้กับมอนเทจที่กลับมาตอกย้ำข้อความของตัวละครที่เคยคุยกันไว้ที่ว่า "What if" หรือ "ถ้าเธอได้บทนั้น ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป" ซึ่งหนังก็เติมเต็มช่องเวลาที่หายไปได้อย่างร้ายกาจ ... แต่เอาจริงๆแล้วตัวผู้เขียนมาตายตรงฉากที่พระเอกพยักหน้าเบาๆให้นางเอกนี่ล่ะ คือถ้าขยี้นานกว่านี้โฮแตกแน่นอน
... สรุปแล้ว La La Land ก็ยังเป็นหนังที่สมเป็นซิกเนเจอร์ของผู้กำกับ ในการชี้เน้นไปที่ "ความรู้สึกของ ณ นาทีนั้น" มากกว่าผลของการกระทำหรือสิ่งที่จะเป็นไปในอนาคต แต่ในหลายๆฉากก็ยังมีความซึ้งกินใจที่สามารถจับต้องได้ มันเป็นความรู้สึกที่ 'สมจริง' จนเรารู้สึกราวกับมันเกิดขึ้นกับตัวเอง และด้วยสไตล์หนังที่โดดเด่นแบบนี้ก็เชื่อว่าจะถูกยกขึ้นหิ้งคลาสสิคไปอีกนานโขเลยทีเดียว
พูดได้ว่าอาจเป็นหนังที่ดีที่สุดเรื่องนึงของปีนี้ก็เป็นได้ .. ซื้อตั๋วก็รีบหน่อยนะฮะ โรงเต็ม!
ป.ล.เอ็มม่านี่จะขาวไปไหน ขาวจนบังกระเบื้อง ให้ตายสิ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้