สวัสดีชาวพันทิปทุกคนค่า
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อฝึกการเขียนของตัวเอง รวมถึงฝึกทักษะการพูดยังไงให้คนอื่นเข้าใจ (เป็นคนพูดช้า เวลารนจะติดอ่างค่ะ 5555) มีใครเป็นแบบเราบ้างคะ ใจร้อน ไม่ชอบอยู่นิ่ง แต่พูดช้า? แก้ยังไงดีคะ ตอนนี้เราฝึกพูดกับตัวเองแล้วก็ตอบตัวเอง เพราะอยู่คนเดียวค่ะ ไม่ค่อยมีใครพูดด้วยเลย มีแต่พูดเรื่องงาน เย็นกลับจากงานมาก็นอนแล้ว
เราเป็นคนต่างจังหวัดค่ะย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัยหนึ่งในประเทศไทย 555 ระหว่างเรียนก็หางานพิเศษทำ หารายได้เสริม เป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารบ้าง ขายของสารพัด เพราะคิดว่าไม่อยากเป็นภาระใคร ไม่ค่อยอยากขอพ่อแม่เพิ่ม ไม่คิดอยากยืมเพื่อนฝูงให้เป็นที่ขุ่นเคือง กินแหนงแคลงใจกันค่ะ ดังนั้นเราเลยคิดว่าตัวเองต้องไม่อยู่เฉยๆ ต้องไม่หยุดนิ่ง ไปไหนมาไหน ก็คิดตลอดว่าขายนั่นดีมั้ย ขายอันนี้ก็น่าจะดี คิดอย่างนี้อยู่ตลอดค่ะ พอจบมาก็อยากหางานให้ได้เร็วๆ ก็เลยหาที่สมัครที่แรกคือ ใน job-thai.com นี่ล่ะ
วันแรกที่เลือกสมัครงานเราจะเลือกงานที่ได้เงินเดือนสูงๆ สบายๆ โบนัสดี มีโอที หยุดเสาร์-อาทิตย์ โรงงานมีมาตรฐาน ISO โอ้แม่เจ้า! วาดฝันไว้ดิบดีค่ะ เราก็เลือกไปประมาณ 5 ที่ ที่คิดว่าเราเข้าไปก็ทำงานสบาย โรงงานเป็นระบบไรงี้ (หึหึ) ปรากฏว่า 1 อาทิตย์ผ่านไป ....... กดสมัครที่เดิมอีกรอบ (เผื่อเขาจะเห็นใจ).........................1 เดือนผ่านไป................ 1 เดือนครึ่งผ่านไป...................คร่อกฟี้
จากนั้นก็เลยเห็นสมควรแล้วว่า "ตูไม่มีประสบการณ์ดูแค่แว๊บเดียวเค้าก็ไม่เรียกแบ๊วๆๆ" เลยปรับ Profile ใน jobthai ใหม่เป็นภาษาอังกฤษ Up percent frofile resume เพิ่มขึ้น จากนั้นก็กดสมัครใหม่ คือช่วงนั้นตังเก็บก็ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ อยากได้งานเร็วๆ เราเลยกดสมัครไปเลย 30 ที่ (เราไม่ได้กดมั่วนะ เราเลือกโรงงานเกี่ยวกับสาขาวิชาที่เราจบ) วันต่อมาเขาก็โทรมาเรียกไปสัมภาษณ์ประมาณ 5-6 ที่ค่ะ เราก็ปรึกษาแม่ เพราะมีที่ทำงานที่อยู่ภาคใต้ ซึ่งเราอยู่ภาคเหนือ ใจจริงเราไปได้ทุกที่อยู่แล้ว แต่แม่เป็นห่วงเลยเอาที่แม่สบายใจคือแถวกรุงเทพ สระบุรี อยุธยา ระยอง หรือชลบุรีค่ะ
ที่แรกที่ไปสัมภาษณ์ ตำแหน่ง Researcher ในบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แถวเซนทรัลลาดพร้าว ไปสัมภาษณ์โดยเตรียมอ่านเกี่ยวกับวิชาที่เรียนมา ความรู้อัดแน่นอยู่ในหัวเลยจ้า พ่อเพ่อเตรียมรถไปรับไปส่ง เอกสารสำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน ผลสอบโทอิค พร้อม! พอได้เข้าไปเท่านั้นแหละ ทดสอบการพิมพ์ภาษาไทย - อังกฤษ Microsoft word โอเค, Microsoft Excel ทำได้แต่ไม่ทัน เหลือใส่คำอธิบายกราฟ 555 (อันนี้ยอมรับว่าไม่ค่อยถนัด เลยต้องใช้เวลานาน เลยอยากจะบอกว่าอยากให้น้องๆ ตั้งใจฝึกทำ Privot Table ใน Excel ตั้งแต่ยังเรียนอยู่เลยค่ะจำเป็นมาก จะได้คล่องเวลาทำงาน)
พอถึงเวลาสัมภาษณ์ คนสัมภาษณ์ถามว่ามาสมัครที่นี่เพราะอะไร ตำแหน่งที่มาสมัครทำเกี่ยวกับอะไร เราเคยทำวิจัยเกี่ยวกับอะไร เราตอบได้หมดยกเว้น "รู้ไหมคะบริษัทเราทำเกี่ยวกับอะไร?" เราตอบอย่างมั่นใจ แต่......มันเผียดอย่างแรง! เอาแล้วๆๆ ตอนนั้นหน้าชา อึ้งด้วย ร้อนรนมาก แต่เก็บอาการอยู่ อ่างไม่มา 5555 หลังจากนั้นก็เลยแบกหน้าตาอันสวยสดกลับบ้านด้วยความมั่นใจ ( มั่นใจได้เลยว่าตูไม่ได้แน่นวล!) ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเก็บไว้เป็นบทเรียน ครั้งหน้าเอาใหม่ สู้ สู้ เฮ่
ที่ที่สองเป็นที่ทำอยู่ปัจจุบันค่ะ พอถึงวันสัมภาษณ์เราก็ไปแต่เช้าเลย 6 โมง เผื่อเวลาทำข้อสอบ (พอไปถึงหน้าโรงงานเงียบกริบ รปภ. ไม่ให้เข้าค่ะ รอไปสิ รอไปสิ ) ระหว่างยืนรอเวลานั้นเราก็หาข้อมูลที่เราได้เรียนมา ท่องมาเต็มที่ และไม่ลืมบทเรียนครั้งนั้น คือต้องหาข้อมูลบริษัทมาให้แน่นเปรี๊ยะ จากนั้นก็ถึงเวลาสอบความสามารถด้านการพิมพ์ Microsoft word, Excel คำนวณรายได้ทั่วไป, ข้อสอบทัศนคติ, ข้อสอบภาษาอังกฤษ, AUTOCAD, เขียนบรรยายเกี่ยวกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ เราทำได้หมดเลย พอสัมภาษณ์ด่านแรกจะสัมภาษณ์กับฝ่าย HR เขาก็จะเริ่มทักและสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ เราก็บรรยายตามที่เราร่ำเรียนมา (แรงบันดาลใจจากครูสอนภาษาอังกฤษที่หล่อจนต้องตั้งใจเรียน เลยจำศัพท์ได้ เท่ จากนั้นก็สัมภาษณ์กับหัวหน้าแผนกที่เราสมัคร เขาก็จะถามว่าเราเลือกที่นี่เพราะอะไร ในฐานะที่เราจบใหม่เรามีดีอะไรที่จะเทียบกับคนมีประสบการณ์ ข้อดีข้อเสียของเราคืออะไร เวลาเราเครียดเราจัดการกับความเครียดอย่างไร ทั้งนี้เราเตรียมไว้แล้ว เพราะเราเคยอ่านในลิงค์
http://www.rakjung.com/government-no32.html ตอบประมาณนี้เลย
หลังจากนั้น 1 อาทิตย์เราก็ได้งาน เราดีใจมาก แต่พอได้เข้าไปทำงานจริงๆ รู้สึกว่ากดดันกว่าที่คิดไว้มากเลย คนในโรงงานไม่ให้ความร่วมมือ การดุด่าที่ไม่มีเหตุผล เราต้องเก็บอารมณ์ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราทนได้สบายมาก เราเก็บอารมณ์ได้ดี เราใช้การหัวเราะ ใจเย็น เข้าช่วย ถ้าเขาด่าก็รอให้เขาสงบลงก่อนค่อยเข้าไป แต่บางครั้งก็คิดว่าตัวเองเป็นกระโถนที่คอยรองรับอารมณ์คนอื่น เป็นแบบนี้มาเกือบปีละ ไม่ค่อยเป็นระบบ เราพยายามอดทนนะ เราเสียใจแบบน้ำตาไม่ไหลอ่ะ จะร้องไห้น้ำตาก็ไม่ไหลอ่ะ มันเจ็บจนจุก กลับห้องก็ดึกมาก เราโทรศัพท์บ่นให่พ่อแม่ฟัง บ่นไปบ่นมาเขาก็เป็นห่วง บ่นให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็เป็นไม่ต่างจากเรา ยิ่งคุยกับเพื่อนที่เจอมาเหมือนกันก็ไม่รู้จะปลอบใจกันยังไงเพราะต่างคนต่างท้อ แฟนเฟินไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มี
ดังนั้นเลยคิดสมัครงานใหม่ ก็สมัครรอใน jobthai นี่ล่ะ แต่เรายังไม่ลาออกนะ ถ้าลาออกไม่มีตังกินข้าวแน่
ที่ที่สามอยู่แถวชลบุรี เราก็ใช้วันลาชดเชยไปสมัครงานที่ใหม่ โรงงานนี้เป็นเกี่ยวกับสายงานที่เราเรียนมาเหมือนกัน แต่จะใหญ่กว่า แลดูเป็นระบบกว่าเพราะมีฝ่าย support โอเคเลย แต่เขาจะเลือกคนที่มีประสบการณ์ ซึ่งจริงๆ แล้วเรายอมรับว่าเรารู้แค่ผิวเผินไม่ได้รู้ลึกเกี่ยวกับเอกสารต่างๆ ในการเตรียมผลิตชิ้นงาน ดังนั้นที่นี้เลยพลาดไป แต่เป็นบทเรียนที่ดีว่าเราควรทำอะไรต่อไป ศึกษาเรื่องไหน ซึ่งเราคิดว่าตำแหน่งที่เราสมัครจะเกี่ยวกับการจัดการอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก ซึ่งจะต้องหาความรู้เพิ่มในเรื่องของ New Model, ISO 16949 ที่ประกอบด้วย APQP, PPAP, DFMEA, PFMEA,MSA ความหมายของ Gauge R&R ,สัญลักษณ์ต่างๆ ใน control plan, drawing .....มีอะไรอีกบ้างอาจจะมาแชร์กันได้นะคะ.....
ตอนนี้คิดว่าทำบริษัทเดิมไปก่อน สิ่งไหนไม่ดีก็ไม่ต้องเก็บมาคิด สิ่งไหนที่ควรปรับปรุงก็ต้องปรับปรุงตนเอง คนเราสามารถพัฒนาไปได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องเก่งแต่ขอให้เข้าใจในระบบการทำงาน เข้าใจเพื่อนร่วมงาน ฟังหูไว้หู ไม่เชื่อคนง่าย ทำอะไรต้องมีหลักฐานแสดงชัดเจน วันนี้พอแค่นี้ก่อน วันหน้าถ้าไปสมัครที่ไหนอีกเราจะมาแชร์กันนะคะ
ถ้าพิมพ์อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องก็ขออภัยนะคะ น้องใหม่หัดเขียนและก็หัดพูดกับตัวเองอยู่ค่ะ
ประสบการณ์สัมภาษณ์งานของแต่ละคนเป็นอย่างไรบ้างคะ
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่าที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาเพื่อฝึกการเขียนของตัวเอง รวมถึงฝึกทักษะการพูดยังไงให้คนอื่นเข้าใจ (เป็นคนพูดช้า เวลารนจะติดอ่างค่ะ 5555) มีใครเป็นแบบเราบ้างคะ ใจร้อน ไม่ชอบอยู่นิ่ง แต่พูดช้า? แก้ยังไงดีคะ ตอนนี้เราฝึกพูดกับตัวเองแล้วก็ตอบตัวเอง เพราะอยู่คนเดียวค่ะ ไม่ค่อยมีใครพูดด้วยเลย มีแต่พูดเรื่องงาน เย็นกลับจากงานมาก็นอนแล้ว
เราเป็นคนต่างจังหวัดค่ะย้ายมาเรียนมหาวิทยาลัยหนึ่งในประเทศไทย 555 ระหว่างเรียนก็หางานพิเศษทำ หารายได้เสริม เป็นเด็กเสิร์ฟร้านอาหารบ้าง ขายของสารพัด เพราะคิดว่าไม่อยากเป็นภาระใคร ไม่ค่อยอยากขอพ่อแม่เพิ่ม ไม่คิดอยากยืมเพื่อนฝูงให้เป็นที่ขุ่นเคือง กินแหนงแคลงใจกันค่ะ ดังนั้นเราเลยคิดว่าตัวเองต้องไม่อยู่เฉยๆ ต้องไม่หยุดนิ่ง ไปไหนมาไหน ก็คิดตลอดว่าขายนั่นดีมั้ย ขายอันนี้ก็น่าจะดี คิดอย่างนี้อยู่ตลอดค่ะ พอจบมาก็อยากหางานให้ได้เร็วๆ ก็เลยหาที่สมัครที่แรกคือ ใน job-thai.com นี่ล่ะ
วันแรกที่เลือกสมัครงานเราจะเลือกงานที่ได้เงินเดือนสูงๆ สบายๆ โบนัสดี มีโอที หยุดเสาร์-อาทิตย์ โรงงานมีมาตรฐาน ISO โอ้แม่เจ้า! วาดฝันไว้ดิบดีค่ะ เราก็เลือกไปประมาณ 5 ที่ ที่คิดว่าเราเข้าไปก็ทำงานสบาย โรงงานเป็นระบบไรงี้ (หึหึ) ปรากฏว่า 1 อาทิตย์ผ่านไป ....... กดสมัครที่เดิมอีกรอบ (เผื่อเขาจะเห็นใจ).........................1 เดือนผ่านไป................ 1 เดือนครึ่งผ่านไป...................คร่อกฟี้
จากนั้นก็เลยเห็นสมควรแล้วว่า "ตูไม่มีประสบการณ์ดูแค่แว๊บเดียวเค้าก็ไม่เรียกแบ๊วๆๆ" เลยปรับ Profile ใน jobthai ใหม่เป็นภาษาอังกฤษ Up percent frofile resume เพิ่มขึ้น จากนั้นก็กดสมัครใหม่ คือช่วงนั้นตังเก็บก็ร่อยหรอลงไปเรื่อยๆ อยากได้งานเร็วๆ เราเลยกดสมัครไปเลย 30 ที่ (เราไม่ได้กดมั่วนะ เราเลือกโรงงานเกี่ยวกับสาขาวิชาที่เราจบ) วันต่อมาเขาก็โทรมาเรียกไปสัมภาษณ์ประมาณ 5-6 ที่ค่ะ เราก็ปรึกษาแม่ เพราะมีที่ทำงานที่อยู่ภาคใต้ ซึ่งเราอยู่ภาคเหนือ ใจจริงเราไปได้ทุกที่อยู่แล้ว แต่แม่เป็นห่วงเลยเอาที่แม่สบายใจคือแถวกรุงเทพ สระบุรี อยุธยา ระยอง หรือชลบุรีค่ะ
ที่แรกที่ไปสัมภาษณ์ ตำแหน่ง Researcher ในบริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แถวเซนทรัลลาดพร้าว ไปสัมภาษณ์โดยเตรียมอ่านเกี่ยวกับวิชาที่เรียนมา ความรู้อัดแน่นอยู่ในหัวเลยจ้า พ่อเพ่อเตรียมรถไปรับไปส่ง เอกสารสำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน ผลสอบโทอิค พร้อม! พอได้เข้าไปเท่านั้นแหละ ทดสอบการพิมพ์ภาษาไทย - อังกฤษ Microsoft word โอเค, Microsoft Excel ทำได้แต่ไม่ทัน เหลือใส่คำอธิบายกราฟ 555 (อันนี้ยอมรับว่าไม่ค่อยถนัด เลยต้องใช้เวลานาน เลยอยากจะบอกว่าอยากให้น้องๆ ตั้งใจฝึกทำ Privot Table ใน Excel ตั้งแต่ยังเรียนอยู่เลยค่ะจำเป็นมาก จะได้คล่องเวลาทำงาน)
พอถึงเวลาสัมภาษณ์ คนสัมภาษณ์ถามว่ามาสมัครที่นี่เพราะอะไร ตำแหน่งที่มาสมัครทำเกี่ยวกับอะไร เราเคยทำวิจัยเกี่ยวกับอะไร เราตอบได้หมดยกเว้น "รู้ไหมคะบริษัทเราทำเกี่ยวกับอะไร?" เราตอบอย่างมั่นใจ แต่......มันเผียดอย่างแรง! เอาแล้วๆๆ ตอนนั้นหน้าชา อึ้งด้วย ร้อนรนมาก แต่เก็บอาการอยู่ อ่างไม่มา 5555 หลังจากนั้นก็เลยแบกหน้าตาอันสวยสดกลับบ้านด้วยความมั่นใจ ( มั่นใจได้เลยว่าตูไม่ได้แน่นวล!) ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเก็บไว้เป็นบทเรียน ครั้งหน้าเอาใหม่ สู้ สู้ เฮ่
ที่ที่สองเป็นที่ทำอยู่ปัจจุบันค่ะ พอถึงวันสัมภาษณ์เราก็ไปแต่เช้าเลย 6 โมง เผื่อเวลาทำข้อสอบ (พอไปถึงหน้าโรงงานเงียบกริบ รปภ. ไม่ให้เข้าค่ะ รอไปสิ รอไปสิ ) ระหว่างยืนรอเวลานั้นเราก็หาข้อมูลที่เราได้เรียนมา ท่องมาเต็มที่ และไม่ลืมบทเรียนครั้งนั้น คือต้องหาข้อมูลบริษัทมาให้แน่นเปรี๊ยะ จากนั้นก็ถึงเวลาสอบความสามารถด้านการพิมพ์ Microsoft word, Excel คำนวณรายได้ทั่วไป, ข้อสอบทัศนคติ, ข้อสอบภาษาอังกฤษ, AUTOCAD, เขียนบรรยายเกี่ยวกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษ เราทำได้หมดเลย พอสัมภาษณ์ด่านแรกจะสัมภาษณ์กับฝ่าย HR เขาก็จะเริ่มทักและสนทนาเป็นภาษาอังกฤษ เราก็บรรยายตามที่เราร่ำเรียนมา (แรงบันดาลใจจากครูสอนภาษาอังกฤษที่หล่อจนต้องตั้งใจเรียน เลยจำศัพท์ได้ เท่ จากนั้นก็สัมภาษณ์กับหัวหน้าแผนกที่เราสมัคร เขาก็จะถามว่าเราเลือกที่นี่เพราะอะไร ในฐานะที่เราจบใหม่เรามีดีอะไรที่จะเทียบกับคนมีประสบการณ์ ข้อดีข้อเสียของเราคืออะไร เวลาเราเครียดเราจัดการกับความเครียดอย่างไร ทั้งนี้เราเตรียมไว้แล้ว เพราะเราเคยอ่านในลิงค์ http://www.rakjung.com/government-no32.html ตอบประมาณนี้เลย
หลังจากนั้น 1 อาทิตย์เราก็ได้งาน เราดีใจมาก แต่พอได้เข้าไปทำงานจริงๆ รู้สึกว่ากดดันกว่าที่คิดไว้มากเลย คนในโรงงานไม่ให้ความร่วมมือ การดุด่าที่ไม่มีเหตุผล เราต้องเก็บอารมณ์ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราทนได้สบายมาก เราเก็บอารมณ์ได้ดี เราใช้การหัวเราะ ใจเย็น เข้าช่วย ถ้าเขาด่าก็รอให้เขาสงบลงก่อนค่อยเข้าไป แต่บางครั้งก็คิดว่าตัวเองเป็นกระโถนที่คอยรองรับอารมณ์คนอื่น เป็นแบบนี้มาเกือบปีละ ไม่ค่อยเป็นระบบ เราพยายามอดทนนะ เราเสียใจแบบน้ำตาไม่ไหลอ่ะ จะร้องไห้น้ำตาก็ไม่ไหลอ่ะ มันเจ็บจนจุก กลับห้องก็ดึกมาก เราโทรศัพท์บ่นให่พ่อแม่ฟัง บ่นไปบ่นมาเขาก็เป็นห่วง บ่นให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็เป็นไม่ต่างจากเรา ยิ่งคุยกับเพื่อนที่เจอมาเหมือนกันก็ไม่รู้จะปลอบใจกันยังไงเพราะต่างคนต่างท้อ แฟนเฟินไม่ต้องพูดถึง เพราะไม่มี
ดังนั้นเลยคิดสมัครงานใหม่ ก็สมัครรอใน jobthai นี่ล่ะ แต่เรายังไม่ลาออกนะ ถ้าลาออกไม่มีตังกินข้าวแน่
ที่ที่สามอยู่แถวชลบุรี เราก็ใช้วันลาชดเชยไปสมัครงานที่ใหม่ โรงงานนี้เป็นเกี่ยวกับสายงานที่เราเรียนมาเหมือนกัน แต่จะใหญ่กว่า แลดูเป็นระบบกว่าเพราะมีฝ่าย support โอเคเลย แต่เขาจะเลือกคนที่มีประสบการณ์ ซึ่งจริงๆ แล้วเรายอมรับว่าเรารู้แค่ผิวเผินไม่ได้รู้ลึกเกี่ยวกับเอกสารต่างๆ ในการเตรียมผลิตชิ้นงาน ดังนั้นที่นี้เลยพลาดไป แต่เป็นบทเรียนที่ดีว่าเราควรทำอะไรต่อไป ศึกษาเรื่องไหน ซึ่งเราคิดว่าตำแหน่งที่เราสมัครจะเกี่ยวกับการจัดการอุตสาหกรรมเป็นอย่างมาก ซึ่งจะต้องหาความรู้เพิ่มในเรื่องของ New Model, ISO 16949 ที่ประกอบด้วย APQP, PPAP, DFMEA, PFMEA,MSA ความหมายของ Gauge R&R ,สัญลักษณ์ต่างๆ ใน control plan, drawing .....มีอะไรอีกบ้างอาจจะมาแชร์กันได้นะคะ.....
ตอนนี้คิดว่าทำบริษัทเดิมไปก่อน สิ่งไหนไม่ดีก็ไม่ต้องเก็บมาคิด สิ่งไหนที่ควรปรับปรุงก็ต้องปรับปรุงตนเอง คนเราสามารถพัฒนาไปได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องเก่งแต่ขอให้เข้าใจในระบบการทำงาน เข้าใจเพื่อนร่วมงาน ฟังหูไว้หู ไม่เชื่อคนง่าย ทำอะไรต้องมีหลักฐานแสดงชัดเจน วันนี้พอแค่นี้ก่อน วันหน้าถ้าไปสมัครที่ไหนอีกเราจะมาแชร์กันนะคะ
ถ้าพิมพ์อ่านไม่ค่อยรู้เรื่องก็ขออภัยนะคะ น้องใหม่หัดเขียนและก็หัดพูดกับตัวเองอยู่ค่ะ