[Review] - Assassin's Creed
.
"เทมพลาร์จงพินาศ นักฆ่าจงเจริญ!"
.
จากวีดีโอเกมชื่อดังจากค่าย Ubisoft มาสู่ภาพยนตร์คนแสดงในชื่อเดียวกัน Assassin's Creed กับเรื่องราวการนำเสนอเรื่องราวจากเกมผสมผสานกับเรื่องราวที่เขียนขึ้นใหม่ได้ดีพลอตเรื่องประเด็นที่ต้องการนำเสนอมันเจ๋งมากแต่ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่นะ
.
Assassin's Creed จะเล่าเรื่องราวของ คัลลั่ม ลินช์ อาชญากรต้องโทษประหารที่ถูกจับตัวไปทดลองโดยกลุ่มเทมพลาร์เพื่อค้นหาอดีตชาติต้นตอบรรพบุรุษของเขาที่นำ "ของบางอย่าง" ซ่อนไว้ซึ่งของสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการของพวกเทมพลาร์กับความเชื่อที่ว่ากันว่าใครครอบครองมันจะสามารถควบคุมมนุษย์ให้เกิดความสงบเป็นหนึ่งเดียวกันได้และชะตากรรมของ ลินช์ จะเป็นอย่างไรก็ต้องมาติดตามรับชมกัน
.
ตัวหนังมีพล็อตเรื่องหรือวัตถุดิบที่จะนำเสนอที่ดีถึงดีมากทีเดียวไม่ว่าจะเป็น "ของบางอย่าง" ที่กลุ่มนักฆ่ากับเทมพลาร์ต้องแย่งชิงกัน , การย้อนเวลาหาอดีตด้วยเครื่องแอนิมัส , ประวัติความเป็นมาของกลุ่มสัตยาบันนักฆ่าและพวกอัศวินเทมพลาร์แต่สิ่งเหล่านี้ดันถูกถ่ายทอดออกมาได้เอื่อยเฉื่อยจนหาวหวอด ๆ 2-3 รอบเหมือนกับว่าผู้กำกับเล่าเรื่องไม่เก่งโดยเฉพาะพาร์ทที่เดินเรื่องในยุคปัจจุบันที่ควรจะทำให้น่าติดตามแต่กลับว่ามันดูจืด ๆ ไร้พลัง
.
อีกทั้งบางฉากที่ควรจะส่งผลกระทบต่อตัว ลินช์ มาก ๆ ก็ทำได้เฉย ๆ หรือการย้อนอดีตได้พบกับบรรพบุรุษที่น่าจะมีอะไรให้เล่นให้เล่ามากกว่านี้แต่ก็ไม่ทำ
.
ตัวละครของเรื่องก็จะมีเด่น ๆ ไม่กี่ตัวอันดับแรกที่เด่นมากและแบกหนังทั้งเรื่องคือ คัลลั่ม ลินช์ นี่แหละที่ได้ ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์มารับบทก็ทำได้ดีมากการสื่ออารมณ์แสดงออกท่าทางมันทำให้อินไปกับฉากนั้น ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาปัจจุบันหรือช่วงเวลาในอดีตพี่แกเล่นได้สมจริงแถมยังดูเท่+เถื่อนในเวลาเดียวกัน ส่วนทางด้านตัวละครอีกตัวอย่างเจ๊ มาริยง โกติยาร์ด ก็เดินทำหน้าสวย ๆ ก็พอ
.
มาดูในส่วนที่ดีงามกันบ้างขณะที่การเล่าเรื่องในยุคปัจจุบันทำได้เอื่อย ๆ กลับกันพอเราเข้าสู่ช่วงย้อนอดีตไปยังศตวรรษที่ 15 ที่สเปนกลับทำได้ตื่นเต้นเร้าใจไปกับฉากแอ็คชั่นที่ถาโถมเข้ามา แอคชั่นที่ผสมศิลปะปืนป่ายปากัวร์ทำได้ลื่นไหลพริ้วมาก ๆ ซึ่งหาได้ยากแล้วกับหนังแอ็คชั่นที่พริ้วไหวไม่มีสะดุดแบบนี้หรือท่วงท่าแบบในเกมก็มีให้เห็นพอหอมปากหอมคอกับการใช้ใบมีดที่ติดข้อมือยังดู Badass สุด ๆ
.
การคุมโทนเรื่องในช่วงอดีตก็น่าสนใจกับโทนภาพสีน้ำตาล ๆ ฝุ่น ๆ ให้ความจริงจังหม่น ๆ เหมือนนั่งดูสารคดีประวัติศาสตร์ต่างประเทศที่มีนักฆ่าเป็นผู้ดำเนินรายการ ดนตรีประกอบก็ด้วยเข้ากับช่วงเวลาบรรยากาศยิ่งขับเน้นความสมจริงมากขึ้นไปอีก
.
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ชอบในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของการต่อสู้ข้ามศตวรรษที่มีอุดมการณ์ท้งสองฝ่ายแม้ว่าทั้งคู่จะมีเป้าประสงค์เดียวกันคือความสงบสุขแต่มันเป็นการตีความคนละแบบซึ่งกลุ่มอัศวินเทมพลาร์ต้องการความสงบสุขด้วยการปกครองภายใต้กฏเพียงหนึ่งเดียวทุกคนต้องยอมศิโรราบให้แต่ขณะที่กลุ่มสัตยาบันนักฆ่าคิดว่าความสงบสุขที่แท้นั้นผู้คนต้องมีอิสระ มีเสรีภาพทางความคิด ไม่ตกเป็นทาสใคร
.
โดยประเด็นข้างต้นนี้ก็น่าสนใจมาก ๆ เพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวในยุคปัจจุบันที่เราจะเห็นว่าบางประเทศยังต่อสู้ด้วยอุดมการณ์พวกนี้อยู่ ดังนั้นเรื่องราวในหนังเรื่องนี้จึงค่อนข้างจริงจังไม่มีมุกขำออกมาเลย
.
ยังไม่หมดแค่นั้นกลุ่มสัตยาบันนักฆ่าก็เป็นอะไรที่เท่มาก เท่
ๆ รู้สึกได้เลยว่าเจตนารมย์ของพวกเขาแรงกล้ามากจนถึงขั้นยอมพลีชีพเพื่อมันได้ ในเรื่องเราก็จะได้เห็นความเป็นมาของพวกเขาการให้คำสัตย์ปฏิญาณตนหรือความร่วมมือร่วมใจของกลุ่มนักฆ่าที่ราวกับเหมือนได้เล่นเกมร่วมกันกับเพื่อนแบบ Co-op
.
แม้หลาย ๆ สำนีกรีวิวจะยกนิ้วโป้ง (คว่ำ) ให้กับเรื่องนี้แต่คงไม่ใช่กับรีวิวนี้ที่ต้องขอยกนิ้วโป้งกด Like ให้เลยรู้สึกชอบนิด ๆ แม้ในพาร์ทเดินเรื่องยุคปัจจุบันที่เนือย ๆ เปื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ก็ตามและมีจุดช่องโหว่ของเรื่องเยอะแต่ก็ทดแทนด้วยพาร์ทในอดีตที่นำเสนอมันจริงจังเข้ากับสถานการณ์โลกยุคปัจจุบัน บวกกับการแสดงของ ฟาสเบนเดอร์ที่สุดยอดหรือการนำเสนอเหล่าสัตยาบันนักฆ่าก็เท่เกินห้ามใจจนอยากใส่ฮูดแล้วกระโดดข้ามตึกแบบฟรีรันนิ่งและความมุ่งมั่นตั้งใจที่มีต่ออุดมการณ์ของพวกเขาก็ทำให้รู้สึกว่านี่แหละ นักฆ่าแห่งความมืด ผู้รับใช้แสงสว่างที่แท้จริง!
.
"เราทำงานในความมืด เพื่อรับใช้แสงสว่าง"
.
"ความรักทำให้คนเราอ่อนแอ"
.
"A-" Rank
.
ที่มา -
https://www.facebook.com/myinnermovie/
[Review] - Assassin's Creed อัสแซสซินส์ ครีด
.
"เทมพลาร์จงพินาศ นักฆ่าจงเจริญ!"
.
จากวีดีโอเกมชื่อดังจากค่าย Ubisoft มาสู่ภาพยนตร์คนแสดงในชื่อเดียวกัน Assassin's Creed กับเรื่องราวการนำเสนอเรื่องราวจากเกมผสมผสานกับเรื่องราวที่เขียนขึ้นใหม่ได้ดีพลอตเรื่องประเด็นที่ต้องการนำเสนอมันเจ๋งมากแต่ทว่าสิ่งเหล่านั้นกลับถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่นะ
.
Assassin's Creed จะเล่าเรื่องราวของ คัลลั่ม ลินช์ อาชญากรต้องโทษประหารที่ถูกจับตัวไปทดลองโดยกลุ่มเทมพลาร์เพื่อค้นหาอดีตชาติต้นตอบรรพบุรุษของเขาที่นำ "ของบางอย่าง" ซ่อนไว้ซึ่งของสิ่งนั้นเป็นที่ต้องการของพวกเทมพลาร์กับความเชื่อที่ว่ากันว่าใครครอบครองมันจะสามารถควบคุมมนุษย์ให้เกิดความสงบเป็นหนึ่งเดียวกันได้และชะตากรรมของ ลินช์ จะเป็นอย่างไรก็ต้องมาติดตามรับชมกัน
.
ตัวหนังมีพล็อตเรื่องหรือวัตถุดิบที่จะนำเสนอที่ดีถึงดีมากทีเดียวไม่ว่าจะเป็น "ของบางอย่าง" ที่กลุ่มนักฆ่ากับเทมพลาร์ต้องแย่งชิงกัน , การย้อนเวลาหาอดีตด้วยเครื่องแอนิมัส , ประวัติความเป็นมาของกลุ่มสัตยาบันนักฆ่าและพวกอัศวินเทมพลาร์แต่สิ่งเหล่านี้ดันถูกถ่ายทอดออกมาได้เอื่อยเฉื่อยจนหาวหวอด ๆ 2-3 รอบเหมือนกับว่าผู้กำกับเล่าเรื่องไม่เก่งโดยเฉพาะพาร์ทที่เดินเรื่องในยุคปัจจุบันที่ควรจะทำให้น่าติดตามแต่กลับว่ามันดูจืด ๆ ไร้พลัง
.
อีกทั้งบางฉากที่ควรจะส่งผลกระทบต่อตัว ลินช์ มาก ๆ ก็ทำได้เฉย ๆ หรือการย้อนอดีตได้พบกับบรรพบุรุษที่น่าจะมีอะไรให้เล่นให้เล่ามากกว่านี้แต่ก็ไม่ทำ
.
ตัวละครของเรื่องก็จะมีเด่น ๆ ไม่กี่ตัวอันดับแรกที่เด่นมากและแบกหนังทั้งเรื่องคือ คัลลั่ม ลินช์ นี่แหละที่ได้ ไมเคิล ฟาสเบนเดอร์มารับบทก็ทำได้ดีมากการสื่ออารมณ์แสดงออกท่าทางมันทำให้อินไปกับฉากนั้น ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาปัจจุบันหรือช่วงเวลาในอดีตพี่แกเล่นได้สมจริงแถมยังดูเท่+เถื่อนในเวลาเดียวกัน ส่วนทางด้านตัวละครอีกตัวอย่างเจ๊ มาริยง โกติยาร์ด ก็เดินทำหน้าสวย ๆ ก็พอ
.
มาดูในส่วนที่ดีงามกันบ้างขณะที่การเล่าเรื่องในยุคปัจจุบันทำได้เอื่อย ๆ กลับกันพอเราเข้าสู่ช่วงย้อนอดีตไปยังศตวรรษที่ 15 ที่สเปนกลับทำได้ตื่นเต้นเร้าใจไปกับฉากแอ็คชั่นที่ถาโถมเข้ามา แอคชั่นที่ผสมศิลปะปืนป่ายปากัวร์ทำได้ลื่นไหลพริ้วมาก ๆ ซึ่งหาได้ยากแล้วกับหนังแอ็คชั่นที่พริ้วไหวไม่มีสะดุดแบบนี้หรือท่วงท่าแบบในเกมก็มีให้เห็นพอหอมปากหอมคอกับการใช้ใบมีดที่ติดข้อมือยังดู Badass สุด ๆ
.
การคุมโทนเรื่องในช่วงอดีตก็น่าสนใจกับโทนภาพสีน้ำตาล ๆ ฝุ่น ๆ ให้ความจริงจังหม่น ๆ เหมือนนั่งดูสารคดีประวัติศาสตร์ต่างประเทศที่มีนักฆ่าเป็นผู้ดำเนินรายการ ดนตรีประกอบก็ด้วยเข้ากับช่วงเวลาบรรยากาศยิ่งขับเน้นความสมจริงมากขึ้นไปอีก
.
ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ชอบในเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของการต่อสู้ข้ามศตวรรษที่มีอุดมการณ์ท้งสองฝ่ายแม้ว่าทั้งคู่จะมีเป้าประสงค์เดียวกันคือความสงบสุขแต่มันเป็นการตีความคนละแบบซึ่งกลุ่มอัศวินเทมพลาร์ต้องการความสงบสุขด้วยการปกครองภายใต้กฏเพียงหนึ่งเดียวทุกคนต้องยอมศิโรราบให้แต่ขณะที่กลุ่มสัตยาบันนักฆ่าคิดว่าความสงบสุขที่แท้นั้นผู้คนต้องมีอิสระ มีเสรีภาพทางความคิด ไม่ตกเป็นทาสใคร
.
โดยประเด็นข้างต้นนี้ก็น่าสนใจมาก ๆ เพราะมันเป็นเรื่องใกล้ตัวในยุคปัจจุบันที่เราจะเห็นว่าบางประเทศยังต่อสู้ด้วยอุดมการณ์พวกนี้อยู่ ดังนั้นเรื่องราวในหนังเรื่องนี้จึงค่อนข้างจริงจังไม่มีมุกขำออกมาเลย
.
ยังไม่หมดแค่นั้นกลุ่มสัตยาบันนักฆ่าก็เป็นอะไรที่เท่มาก เท่ ๆ รู้สึกได้เลยว่าเจตนารมย์ของพวกเขาแรงกล้ามากจนถึงขั้นยอมพลีชีพเพื่อมันได้ ในเรื่องเราก็จะได้เห็นความเป็นมาของพวกเขาการให้คำสัตย์ปฏิญาณตนหรือความร่วมมือร่วมใจของกลุ่มนักฆ่าที่ราวกับเหมือนได้เล่นเกมร่วมกันกับเพื่อนแบบ Co-op
.
แม้หลาย ๆ สำนีกรีวิวจะยกนิ้วโป้ง (คว่ำ) ให้กับเรื่องนี้แต่คงไม่ใช่กับรีวิวนี้ที่ต้องขอยกนิ้วโป้งกด Like ให้เลยรู้สึกชอบนิด ๆ แม้ในพาร์ทเดินเรื่องยุคปัจจุบันที่เนือย ๆ เปื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ก็ตามและมีจุดช่องโหว่ของเรื่องเยอะแต่ก็ทดแทนด้วยพาร์ทในอดีตที่นำเสนอมันจริงจังเข้ากับสถานการณ์โลกยุคปัจจุบัน บวกกับการแสดงของ ฟาสเบนเดอร์ที่สุดยอดหรือการนำเสนอเหล่าสัตยาบันนักฆ่าก็เท่เกินห้ามใจจนอยากใส่ฮูดแล้วกระโดดข้ามตึกแบบฟรีรันนิ่งและความมุ่งมั่นตั้งใจที่มีต่ออุดมการณ์ของพวกเขาก็ทำให้รู้สึกว่านี่แหละ นักฆ่าแห่งความมืด ผู้รับใช้แสงสว่างที่แท้จริง!
.
"เราทำงานในความมืด เพื่อรับใช้แสงสว่าง"
.
"ความรักทำให้คนเราอ่อนแอ"
.
"A-" Rank
.
ที่มา - https://www.facebook.com/myinnermovie/