[หนังโรงเรื่องที่ 168] A Street Cat Named Bob - แมวเหมียวบำบัด ; (Roger Spottiswoode, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+ (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : สร้างมาจากหนังสือขายดีในชื่อเดียวกัน เกี่ยวกับนักดนตรีข้างถนน "เจมส์ โบเว่น" (Luke Treadaway) ผู้อยู่ระหว่างบำบัดยาเสพติดและกำลังเผชิญช่วงที่ยากลำบากที่สุดของชีวิต ได้มาเจอแมวพลัดหลงสีส้มตัวหนึ่งที่ภายหลังเขาเรียกมันว่า "บ็อบ" .. และนี่ก็เป็นเรื่องราวของหนึ่งคนหนึ่งแมว ที่จะช่วยกันประคับประคองซึ่งกันและกันไปจนตลอดรอดฝั่ง
คือหลายคนยังแอบสงสัยอยู่ว่าสรุปหนังมันฟีลกู้ดมั้ย? ก็นั่งยันยืนยันเลยว่ามากกกกก แต่มันเป็นความฟีลกู้ดที่หวานขมโดยเล่าผ่านช่วงชีวิตที่ตกต่ำของพระเอกจนกระทั่งเขาสามารถยืนหยัดขึ้นมาด้วยตัวเองได้ ซึ่งสไตล์เรื่องที่ถ่ายทอดออกมาก็ยอมรับว่าถูกจริตผู้เขียนพอสมควร (ถึงแม้ปกติจะไม่ใช่คอหนังฟีลกู้ดก็ตาม)
หนังเริ่มเล่าเรื่องตอนที่พ่อหนุ่มศิลปินเจมส์พยายามเข้าโปรแกรมเลิกยาเสพติดอีกครั้ง(หลังจากที่ล้มเหลวมาหลายครั้ง) โดยมีความช่วยเหลือโดยเจ้าหน้าที่ที่คอยเอาใจใส่เขาเสมออย่าง "วาล" (Joanne Froggatt) ซึ่งตาเจมส์เนี่ยก็มีอาชีพหลักเป็นศิลปินเปิดหมวกข้างถนนด้วยเพลงแต่งเองที่มีเนื้อร้องเพี้ยนๆนิดหน่อย แต่ก็น่าเสียดายที่โชคไม่เข้าข้างเขาเท่าที่ควร ครั้นเศษเงินที่พอจะหามาได้ก็แทบจะไม่พอยาใส้ตัวเองเสียอีก พ่วงแพคเกจ 'พ่อไม่รัก' เข้าไปอีกนิดด้วยเหตุที่เขาเป็นเหมือนจุดด่างของครอบครัว
แต่ชีวิตย่อมมีโอกาสที่สองเสมอ เมื่อวาลตัดสินให้แฟลทและที่นอนนุ่มๆเป็นที่คุ้มหัวเขาโดยมีข้อแม้ว่างวดนี้ห้ามถอดใจกับการเลิกยาเด็ดขาด ... และในเย็นนั้นเองเขาก็ได้พบเจ้าแมวสีส้มหน้าตาหาเรื่องในครัวเป็นครั้งแรกและเกิดความผูกพันธ์เป็นมิตรภาพที่เหนียวแน่นที่สุดในภายภาคหน้า ซึ่งพอมีแมวแล้วชีวิตทาสเจมส์ก็ดีขึ้นตามลำดับ จากเคยเหงาก็มีเพื่อนค่อยให้กำลังใจ จากการร้องเพลงข้างถนนที่เงียบเหงาก็กลับมาคึกคักขึ้นด้วยตัวตนของ "บ็อบ" ที่คอยเกาะหัวขี้ข้าไปทุกหนทุกแห่ง .. โอเค เล่าแค่นี้แหละ เนื้อเรื่องที่เหลือเก็บไว้อินในโรงเอาเองแล้วกัน
ถ้าให้วิจารณ์ถึงจุดที่ชอบของเรื่องนี้ อันดับแรกก็คือ "แมวบ็อบ" นี่แหละ .. ถามว่ามีเหตุผลอะไร? ไม่มี! ก็มันน่ารักกกกกไง คืออีบ้อบนี่คือต้นตำรับแมวขี้อ้อนของจริงเลย เป็นแมวที่นิสัยโคตรแมว ซึ่งพอมันมาอยู่ในบนแผ่นฟิล์มแล้วมันก็จะเกิดจะริตจะก้านที่น่าหยิกขึ้นมาอีก พูดง่ายๆคือแค่ไปนั่งดูอีแมวบ็อบนี่ก็คือดีต่อใจทาสแมวทั้งหลายแล้ว
กลับมาสไตล์การเล่าเรื่อง ก็ต้องบอกว่าหนังก็มีลีลาอยู่ในระดับที่ 'ไม่ดีไม่แย่' นี่ล่ะ คืออาจเป็นเพราะหนังมันต้องบาลานซ์ความสำคัญระหว่างการสู้ชีวิตของพระเอกกับมิติของแมว(ซึ่งมันพูดไม่ได้)เลยอาจทำให้ตัวรับ-ส่งอารมณ์มันไม่ครบองค์เท่าที่ควร อย่างการใช้แมวบ็อบเข้ามาเป็นองค์ประกอบของหนังนี่ก็จะเป็นในลักษณะ 'ผู้เฝ้ามอง' มากกว่าที่จะมาสร้างอิมแพคแบบช่วยชีวิตพระเอก-ปกป้องอันตรายอะไรแบบนั้น คือแมวก็เป็นแมวนั่นแหละ ผู้เขียนคิดว่าทำถูกแล้วที่ไม่ได้ไปเสกความเมจิคัลให้อีบ็อบมันกลายเป็นทางออกของปัญหาแบบหนังน้ำเน่าๆเรื่องอื่น
ซึ่งนอกจากเราจะได้อิ่มเอมกับความอุ้งอิ้งระหว่างแมวกับคนแล้ว มันก็ยัง aspect ที่เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างคนอื่นๆกับพระเอกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสาวเวแกนข้างห้องอย่าง "เบ็ตตี้" (Ruta Gedmintas) ที่กลายเป็นหนึ่งในคนสำคัญของชีวิตพระเอกผ่านทางแง่มุมของชีวิตและไมตรีจิตที้เธอแบ่งปันให้ รวมไปถึงตัวละครเสริมตัวอื่นๆที่คอยโฉบเข้ามาในชีวิตของตัวเอกอีก ไม่ว่าจะเป็นป้าทาสแมว, เจ๊นิตยสาร หรือกระทั่งคนฟังเพลงขาประจำที่หมั่นแวะมาทักทายทุกวัน เป็นต้น
ซึ่งสอดรับกับในตอนท้ายของเรื่องที่ย้ำเตือนข้อความของตัวเองว่าท้ายที่สุดแล้วคนเราจะ 'ก้าวผ่าน' อุปสรรคและช่วงตกต่ำของชีวิตไปได้นั้น ล้วนก็ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันไม่ว่าทางตรงและทางอ้อม "เจมส์" ในวันนี้ก็คงไม่สามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากหลายๆมือที่หยิบยื่นมา จนกลายเป็นพลังให้เขาสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปได้ และบ็อบก็คือผู้เฝ้าดูที่คอยแอบมองการเติบโตนี้ของเจมส์อยู่ห่างๆ และกลายเป็นเพื่อนคู่คิด-มิตรคู่บ้าน, สิ่งผู้มัดทางจิตวิญญานของเจมส์ในที่สุด
สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างก็คือดนตรีในเรื่อง ที่ล้วนเป็นเพลงที่แต่งขึ้นเองแบบกระท่อนกระแท่นของตัวเอก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกจนสามารถสัมผัสได้ผ่านทางเสียงดนตรี มันจะไม่ใช่ชุดเพลงที่เพอร์เฟ็กต์หรือมีเนื้อร้องที่มากความหมายน่าจดจำอะไรหรอก
.. แต่ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?
ป.ล.รักคอลเลคชั่นผ้าพันคออีบ็อบเหลือเกิน
ป.ล.2 นานๆทีได้ฟังสำเนียงอังกฤษล้วนๆทั้งเรื่องก็เพลินหูดีเหลือเกิน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หากชื่นชอบรีวิวรบกวนช่วยไลค์ช่วยแชร์เพื่อให้กำลังใจหรือติดตามผลงานได้ที่เพจ https://www.facebook.com/expensivemovie/ นะครับ!
[Movie Review] A Street Cat Named Bob - แมวเหมียวบำบัด by ตั๋วหนังมันแพง
[หนังโรงเรื่องที่ 168] A Street Cat Named Bob - แมวเหมียวบำบัด ; (Roger Spottiswoode, 2016)
by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+ (จากสเกล D-A)
**ไม่มีการสปอยล์เนื้อเรื่องสำคัญ
เรื่องย่อ : สร้างมาจากหนังสือขายดีในชื่อเดียวกัน เกี่ยวกับนักดนตรีข้างถนน "เจมส์ โบเว่น" (Luke Treadaway) ผู้อยู่ระหว่างบำบัดยาเสพติดและกำลังเผชิญช่วงที่ยากลำบากที่สุดของชีวิต ได้มาเจอแมวพลัดหลงสีส้มตัวหนึ่งที่ภายหลังเขาเรียกมันว่า "บ็อบ" .. และนี่ก็เป็นเรื่องราวของหนึ่งคนหนึ่งแมว ที่จะช่วยกันประคับประคองซึ่งกันและกันไปจนตลอดรอดฝั่ง
คือหลายคนยังแอบสงสัยอยู่ว่าสรุปหนังมันฟีลกู้ดมั้ย? ก็นั่งยันยืนยันเลยว่ามากกกกก แต่มันเป็นความฟีลกู้ดที่หวานขมโดยเล่าผ่านช่วงชีวิตที่ตกต่ำของพระเอกจนกระทั่งเขาสามารถยืนหยัดขึ้นมาด้วยตัวเองได้ ซึ่งสไตล์เรื่องที่ถ่ายทอดออกมาก็ยอมรับว่าถูกจริตผู้เขียนพอสมควร (ถึงแม้ปกติจะไม่ใช่คอหนังฟีลกู้ดก็ตาม)
หนังเริ่มเล่าเรื่องตอนที่พ่อหนุ่มศิลปินเจมส์พยายามเข้าโปรแกรมเลิกยาเสพติดอีกครั้ง(หลังจากที่ล้มเหลวมาหลายครั้ง) โดยมีความช่วยเหลือโดยเจ้าหน้าที่ที่คอยเอาใจใส่เขาเสมออย่าง "วาล" (Joanne Froggatt) ซึ่งตาเจมส์เนี่ยก็มีอาชีพหลักเป็นศิลปินเปิดหมวกข้างถนนด้วยเพลงแต่งเองที่มีเนื้อร้องเพี้ยนๆนิดหน่อย แต่ก็น่าเสียดายที่โชคไม่เข้าข้างเขาเท่าที่ควร ครั้นเศษเงินที่พอจะหามาได้ก็แทบจะไม่พอยาใส้ตัวเองเสียอีก พ่วงแพคเกจ 'พ่อไม่รัก' เข้าไปอีกนิดด้วยเหตุที่เขาเป็นเหมือนจุดด่างของครอบครัว
แต่ชีวิตย่อมมีโอกาสที่สองเสมอ เมื่อวาลตัดสินให้แฟลทและที่นอนนุ่มๆเป็นที่คุ้มหัวเขาโดยมีข้อแม้ว่างวดนี้ห้ามถอดใจกับการเลิกยาเด็ดขาด ... และในเย็นนั้นเองเขาก็ได้พบเจ้าแมวสีส้มหน้าตาหาเรื่องในครัวเป็นครั้งแรกและเกิดความผูกพันธ์เป็นมิตรภาพที่เหนียวแน่นที่สุดในภายภาคหน้า ซึ่งพอมีแมวแล้วชีวิตทาสเจมส์ก็ดีขึ้นตามลำดับ จากเคยเหงาก็มีเพื่อนค่อยให้กำลังใจ จากการร้องเพลงข้างถนนที่เงียบเหงาก็กลับมาคึกคักขึ้นด้วยตัวตนของ "บ็อบ" ที่คอยเกาะหัวขี้ข้าไปทุกหนทุกแห่ง .. โอเค เล่าแค่นี้แหละ เนื้อเรื่องที่เหลือเก็บไว้อินในโรงเอาเองแล้วกัน
ถ้าให้วิจารณ์ถึงจุดที่ชอบของเรื่องนี้ อันดับแรกก็คือ "แมวบ็อบ" นี่แหละ .. ถามว่ามีเหตุผลอะไร? ไม่มี! ก็มันน่ารักกกกกไง คืออีบ้อบนี่คือต้นตำรับแมวขี้อ้อนของจริงเลย เป็นแมวที่นิสัยโคตรแมว ซึ่งพอมันมาอยู่ในบนแผ่นฟิล์มแล้วมันก็จะเกิดจะริตจะก้านที่น่าหยิกขึ้นมาอีก พูดง่ายๆคือแค่ไปนั่งดูอีแมวบ็อบนี่ก็คือดีต่อใจทาสแมวทั้งหลายแล้ว
กลับมาสไตล์การเล่าเรื่อง ก็ต้องบอกว่าหนังก็มีลีลาอยู่ในระดับที่ 'ไม่ดีไม่แย่' นี่ล่ะ คืออาจเป็นเพราะหนังมันต้องบาลานซ์ความสำคัญระหว่างการสู้ชีวิตของพระเอกกับมิติของแมว(ซึ่งมันพูดไม่ได้)เลยอาจทำให้ตัวรับ-ส่งอารมณ์มันไม่ครบองค์เท่าที่ควร อย่างการใช้แมวบ็อบเข้ามาเป็นองค์ประกอบของหนังนี่ก็จะเป็นในลักษณะ 'ผู้เฝ้ามอง' มากกว่าที่จะมาสร้างอิมแพคแบบช่วยชีวิตพระเอก-ปกป้องอันตรายอะไรแบบนั้น คือแมวก็เป็นแมวนั่นแหละ ผู้เขียนคิดว่าทำถูกแล้วที่ไม่ได้ไปเสกความเมจิคัลให้อีบ็อบมันกลายเป็นทางออกของปัญหาแบบหนังน้ำเน่าๆเรื่องอื่น
ซึ่งนอกจากเราจะได้อิ่มเอมกับความอุ้งอิ้งระหว่างแมวกับคนแล้ว มันก็ยัง aspect ที่เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างคนอื่นๆกับพระเอกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสาวเวแกนข้างห้องอย่าง "เบ็ตตี้" (Ruta Gedmintas) ที่กลายเป็นหนึ่งในคนสำคัญของชีวิตพระเอกผ่านทางแง่มุมของชีวิตและไมตรีจิตที้เธอแบ่งปันให้ รวมไปถึงตัวละครเสริมตัวอื่นๆที่คอยโฉบเข้ามาในชีวิตของตัวเอกอีก ไม่ว่าจะเป็นป้าทาสแมว, เจ๊นิตยสาร หรือกระทั่งคนฟังเพลงขาประจำที่หมั่นแวะมาทักทายทุกวัน เป็นต้น
ซึ่งสอดรับกับในตอนท้ายของเรื่องที่ย้ำเตือนข้อความของตัวเองว่าท้ายที่สุดแล้วคนเราจะ 'ก้าวผ่าน' อุปสรรคและช่วงตกต่ำของชีวิตไปได้นั้น ล้วนก็ต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันไม่ว่าทางตรงและทางอ้อม "เจมส์" ในวันนี้ก็คงไม่สามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้หากไม่ได้ความช่วยเหลือจากหลายๆมือที่หยิบยื่นมา จนกลายเป็นพลังให้เขาสามารถก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองไปได้ และบ็อบก็คือผู้เฝ้าดูที่คอยแอบมองการเติบโตนี้ของเจมส์อยู่ห่างๆ และกลายเป็นเพื่อนคู่คิด-มิตรคู่บ้าน, สิ่งผู้มัดทางจิตวิญญานของเจมส์ในที่สุด
สิ่งที่โดดเด่นอีกอย่างก็คือดนตรีในเรื่อง ที่ล้วนเป็นเพลงที่แต่งขึ้นเองแบบกระท่อนกระแท่นของตัวเอก แต่ก็เปี่ยมไปด้วยอารมณ์และความรู้สึกจนสามารถสัมผัสได้ผ่านทางเสียงดนตรี มันจะไม่ใช่ชุดเพลงที่เพอร์เฟ็กต์หรือมีเนื้อร้องที่มากความหมายน่าจดจำอะไรหรอก
.. แต่ชีวิตคนเราก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่หรือ?
ป.ล.รักคอลเลคชั่นผ้าพันคออีบ็อบเหลือเกิน
ป.ล.2 นานๆทีได้ฟังสำเนียงอังกฤษล้วนๆทั้งเรื่องก็เพลินหูดีเหลือเกิน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้