สวัสดีชาวพันทิปจ้า
ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะมีวันหยุดยาว 3 วัน ช่วงวันพ่อ แถมอากาศก็เริ่มเย็นๆ จึงแพลนกันว่าลาเพิ่มล่วงหน้าก่อนอีกสัก 2 วันน่าจะดี แล้วไปเที่ยวรับลมหนาวกัน
จุดมุ่งหมายแรกของเราคือเชียงดาว เพราะถือเป็นดรีมเดสสิเนชั่นเลย จึงไล่โทรเช็คที่พักต่างๆ ว่ายังมีว่างบ้างไหม โชคดี๊ดีมีโฮมสเตย์ว่างอยู่ที่หนึ่งในวันที่ 1 ธันวา ก็เลยรีบจองแบบไม่รอช้า
พอได้ที่พักเชียงดาวเรียบร้อย จึงแพลนกันต่อว่าจะไปไหนบ้างในเวลา 5 วัน แล้วก็สรุปออกมาเป็นรูทตามนี้
เชียงดาว - อ่างขาง - แม่กำปอง – แจ้ซ้อน
วันที่ 1
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯตั้งแต่ตี 3 มาถึงเชียงดาวราวๆ 4 โมงเย็น (ขับแบบแวะพักไปเรื่อยๆ) โดยเราแวะเที่ยวถ้ำเชียงดาวกันก่อนจะขึ้นไปยังโฮมสเตย์
บรรยากาศหน้าทางขึ้นถ้ำเชียงดาว
ถ้ำเชียงดาว แบ่งเป็นถ้ำสว่าง (ติดไฟให้ตามทาง) กับถ้ำมืด เสียค่าเข้า 20 บาท เป็นค่าบำรุงไฟฟ้า แต่หากอยากเข้าไปเที่ยวชมถ้ำมืดด้วยก็ต้องใช้บริการตะเกียงเจ้าพายุกับไกด์ท้องถิ่นที่จะนำทางเข้าไป ค่าตะเกียงเจ้าพายุ 100 บาท ส่วนค่าไกด์นั้นแล้วแต่เราจะให้เป็นน้ำใจ
เดินเที่ยวชมถ้ำเชียงดาวอยู่ราวๆ ชั่วโมงหนึ่ง จากนั้นเราก็ขับรถขึ้นไปยังโฮมสเตย์กัน
แสงไฟหลากสีสันบริเวณถ้ำสว่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ตามไปเที่ยวถ้ำเชียงดาวแบบเต็มๆ ได้ที่นี่จ้า https://www.youtube.com/watch?v=fOVefSbAwQg
เราพักกันที่ “บ้านลีซูโฮมสเตย์” เป็นที่พักชิลๆ ที่มีวิวเบื้องหน้าเป็นดอยหลวงเชียงดาว โดยตอนแรกเราจองได้ที่พักแบบบ้าน แต่เกิดเหตุรื้อถอนเสียก่อน เราเลยได้เต็นท์แทน แต่ก็ถือว่าโอเคมากๆ
ค่าที่พักคิดเป็นหัว หัวละ 500 บาท พร้อมอาหาร 2 มื้อ เย็นกับเช้า
บรรยากาศดีเวอร์วังแค่ไหน ดูภาพเอาแล้วกันจ้า
ระเบียงส่วนตัว จะนั่งเล่น นอนดูดาว หรือกินข้าวก็ว่ากันไป
ขึ้นมาถึงก็ได้เวลามื้อเย็นพอดี ข้าวโถใหญ่ + กับข้าว 4 อย่าง กินกัน 2 คน ไม่หมด
เต็นท์ของเรา มีห้องน้ำส่วนตัวอยู่ข้างๆ
ดาวเต็มฟ้าเลย
ลองดาวหมุนบ้าง สวยไปอีกแบบ
วันที่ 2
Time Lapse ถ่ายด้วย iPhone 6
ยามเช้า พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากดอยหลวงเชียงดาว หมอกก็เริ่มมา
ตื่นมาก็เจอวิวแบบนี้เลย
ทางโฮมสเตย์เอากาแฟ โอวัลติน และน้ำร้อนมาวางไว้ให้ตั้งแต่เช้ามืดเลย
ระเบียงกางเต็นท์ของบ้านลีซูโฮมสเตย์ ตรงนี้ก็วิวดี๊ดี
หมา หมอก และดอยหลวงเชียงดาว
ที่พักบ้านใกล้เรือนเคียง แวะไปชมวิวหรือถ่ายรูปได้
เอ้า! ชนแก้วกันหน่อย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ชมบรรยากาศโฮมสเตย์ต่างๆ ที่ดอยหลวงเชียงดาวได้ที่นี่จ้า https://youtu.be/nJHrdQbL7Ws
หลังจากตื่นมาดูหมอกสวยๆ กับวิวดอยหลวงเชียงดาว พร้อมกินอาหารเช้าที่ทางโฮมสเตย์เตรียมไว้ให้ เราก็เก็บข้าวของแล้วออกเดินทางไปยังดอยอ่างขางกัน
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงยังลานกางเต็นท์ม่อนสน ซึ่งจะเป็นที่พักแรมของเราในคืนนี้ สาเหตุที่เรามุ่งหน้ามาที่นี่กันก่อนเลย ก็เพื่อรีบมาจับจองพื้นที่กางเต็นท์ เพราะที่นี่ไม่รับจองล่วงหน้า ถ้ามาช้าอาจเต็มได้ โดยค่าพื้นที่กางเต็นท์สำหรับคนที่เอาเต็นท์มาเองคือคนละ 70 บาท
พอกางเต็นท์เสร็จเรียบร้อยก็ออกตระเวนเที่ยวกัน โดยเย็นวันนั้นเราไปเที่ยวกันที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ค่าเข้าสำหรับคน 2 คน และรถ 1 คัน คือ 150 บาท
แปลงผักก็มี
ดอกไม้สวยๆ ก็มา
ตลาดเล็กๆ ที่ชาวเขาชาวดอยเอาของมาขายกัน
ใต้ต้นบ๊วย
พระอาทิตย์ตกไปแล้วก็ยังสวย
แลนด์มาร์กของเราที่ลานกางเต็นท์ม่อนสน
วันที่ 3
เช้านี้เราตื่นมารับอากาศดีๆ ชมวิวสวยๆ บริเวณจุดชมวิวม่อนสน แล้วตระเวนเที่ยวดอยอ่างขางกันต่อ
ฐานปฏิบัติการบ้านนอแล ชายแดนไทย-พม่า หนาวและหมอกหนามาก
กราฟิตี้ที่บ้านนอแล ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่นี่ก็รักในหลวงมากเช่นกัน
เด็กๆ ที่นี่ให้ถ่ายรูปได้ฟรี
ไร่สตอเบอร์รี่ขั้นบันไดบ้านนอแล
ยังไม่แดง แต่หวานกรอบเชียวล่ะ
ไร่ชา 2000
เที่ยวเสร็จก็กลับมาเก็บเต็นท์และสัมภาระแล้วออกเดินทางเข้าตัวเมืองเชียงใหม่กัน
คืนนี้เราแพลนกันว่าจะนอนในตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อแวะพักอาบน้ำอุ่นสบายๆ หลังจากหนาวเหน็บกันมา 2 วันแล้ว โดยเน้นเป็นโรงแรมราคาประหยัดแต่ดี เราจอง B2 สันติธรรม (วัดเจ็ดยอด) ผ่านเว็บไซต์ B2 ได้ในราคา 629 บาท
เราไม่ได้เที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่เลย เพราะมาเที่ยวกันค่อนข้างบ่อยแล้ว แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่จะเอาแพลนของเราไปปรับใช้ ก็ลองเผื่อเวลาให้ดีแล้วตระเวนเที่ยวใกล้ๆ ตัวเมืองเชียงใหม่อย่างดอยสุเทพหรือม่อนแจ่มกันก็ได้นะคะ
วันที่ 4
จากตัวเมืองเชียงใหม่เรามุ่งหน้าสู่แม่กำปอง หมู่บ้านสุดชิกคูลที่กำลังฮอตฮิต แล้วก็ฮอตฮิตตามคาดจริงๆ เพราะคนเยอะ รถเยอะ คงเพราะวันนี้เป็นวันหยุดด้วย
น้ำพุร้อนดอยสะเก็ด ระหว่างทางไปแม่กำปอง
โครงการหลวงตีนตก ระหว่างทางไปแม่กำปองเช่นกัน
ตอนแรกเราตั้งใจจะจองโฮมสเตย์แล้วพักที่แม่กำปองในคืนนี้ รู้สึกดีที่เปลี่ยนใจ เพราะคนเยอะ ไม่เงียบสงบอย่างที่คิด แต่ต้องยอมรับว่าที่นี่บรรยากาศดีจริงๆ เหมือนอยู่ในหุบเขา ต้นไม้เขียวครึ้มเต็มไปหมด มีลำธารไหลขนาบหมู่บ้าน ได้ยินเสียงน้ำไหลตลอด บ้านเรือนก็ดูคลาสสิก
ปัญหาหลักๆ ของการมาเที่ยวแม่กำปองในวันหยุดคือรถเยอะ ไม่มีที่จอด (มีบริการที่จอดรถแต่ไม่เพียงพอ) เราโชคดีที่หาที่จอดจนได้ ก็เลยได้แวะเดินเที่ยว กินข้าว ชมบรรยากาศ
จากแม่กำปองเราก็มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ลำปาง หนทางคดเคี้ยวใช้ได้เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
จุดชมวิวกิ่วฝิ่น ระหว่างทางไปแจ้ซ้อน สวยแต่คุ่นเยอะ ระวังกันด้วยนะคะ
มาถึงแจ้ซ้อนก็เย็นย่ำแล้ว เรารีบจัดแจงกางเต็นท์กัน โดยค่าพื้นที่กางเต็นท์สำหรับคนที่เอาเต็นท์มาเองคือคนละ 30 บาท
วันที่ 5
เช้าวันสุดท้ายกับบรรยากาศชิลๆ ที่แจ้ซ้อน
ตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นเหนือบ่อน้ำพุร้อน
ต้มไข่ออนเซ็นกินเป็นมื้อเช้า
แช่น้ำร้อนยามเช้า โดยมีให้เลือกแช่หลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบ่อธรรมชาติ บ่อรวมแยกชายหญิง หรือบ่อส่วนตัว แต่ถ้ามาเช้าๆ แบบนี้ บ่อรวมก็กลายเป็นบ่อส่วนตัวไปโดยปริยาย ค่าบริการแค่คนละ 20 บาทเอง
อาบน้ำและกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้วก็เก็บข้าวของเดินทางกลับบ้านกันยาวๆ ค่ะ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่หนักที่สุดของทริปนี้คือค่าน้ำมัน เราใช้จ่ายไปทั้งหมด 4,200 บาท (แพงเพราะเราใช้รถกระบะ เนื่องจากสัมภาระค่อนข้างเยอะ)
จบทริปแบบแฮปปี้ ขอบคุณที่อ่านกันจนจบจ้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ติดตามการเดินทางของเราและเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวได้ที่ เที่ยวดิวะ https://www.facebook.com/travel.diwa/
[CR] Road Trip เส้นทางสุดฟิน เชียงดาว – อ่างขาง – แม่กำปอง - แจ้ซ้อน 5 วัน 4 คืน 1-5 ธันวาคม 2559
ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะมีวันหยุดยาว 3 วัน ช่วงวันพ่อ แถมอากาศก็เริ่มเย็นๆ จึงแพลนกันว่าลาเพิ่มล่วงหน้าก่อนอีกสัก 2 วันน่าจะดี แล้วไปเที่ยวรับลมหนาวกัน
จุดมุ่งหมายแรกของเราคือเชียงดาว เพราะถือเป็นดรีมเดสสิเนชั่นเลย จึงไล่โทรเช็คที่พักต่างๆ ว่ายังมีว่างบ้างไหม โชคดี๊ดีมีโฮมสเตย์ว่างอยู่ที่หนึ่งในวันที่ 1 ธันวา ก็เลยรีบจองแบบไม่รอช้า
พอได้ที่พักเชียงดาวเรียบร้อย จึงแพลนกันต่อว่าจะไปไหนบ้างในเวลา 5 วัน แล้วก็สรุปออกมาเป็นรูทตามนี้
เชียงดาว - อ่างขาง - แม่กำปอง – แจ้ซ้อน
วันที่ 1
เราออกเดินทางจากกรุงเทพฯตั้งแต่ตี 3 มาถึงเชียงดาวราวๆ 4 โมงเย็น (ขับแบบแวะพักไปเรื่อยๆ) โดยเราแวะเที่ยวถ้ำเชียงดาวกันก่อนจะขึ้นไปยังโฮมสเตย์
บรรยากาศหน้าทางขึ้นถ้ำเชียงดาว
ถ้ำเชียงดาว แบ่งเป็นถ้ำสว่าง (ติดไฟให้ตามทาง) กับถ้ำมืด เสียค่าเข้า 20 บาท เป็นค่าบำรุงไฟฟ้า แต่หากอยากเข้าไปเที่ยวชมถ้ำมืดด้วยก็ต้องใช้บริการตะเกียงเจ้าพายุกับไกด์ท้องถิ่นที่จะนำทางเข้าไป ค่าตะเกียงเจ้าพายุ 100 บาท ส่วนค่าไกด์นั้นแล้วแต่เราจะให้เป็นน้ำใจ
เดินเที่ยวชมถ้ำเชียงดาวอยู่ราวๆ ชั่วโมงหนึ่ง จากนั้นเราก็ขับรถขึ้นไปยังโฮมสเตย์กัน
แสงไฟหลากสีสันบริเวณถ้ำสว่าง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เราพักกันที่ “บ้านลีซูโฮมสเตย์” เป็นที่พักชิลๆ ที่มีวิวเบื้องหน้าเป็นดอยหลวงเชียงดาว โดยตอนแรกเราจองได้ที่พักแบบบ้าน แต่เกิดเหตุรื้อถอนเสียก่อน เราเลยได้เต็นท์แทน แต่ก็ถือว่าโอเคมากๆ
ค่าที่พักคิดเป็นหัว หัวละ 500 บาท พร้อมอาหาร 2 มื้อ เย็นกับเช้า
บรรยากาศดีเวอร์วังแค่ไหน ดูภาพเอาแล้วกันจ้า
ระเบียงส่วนตัว จะนั่งเล่น นอนดูดาว หรือกินข้าวก็ว่ากันไป
ขึ้นมาถึงก็ได้เวลามื้อเย็นพอดี ข้าวโถใหญ่ + กับข้าว 4 อย่าง กินกัน 2 คน ไม่หมด
เต็นท์ของเรา มีห้องน้ำส่วนตัวอยู่ข้างๆ
ดาวเต็มฟ้าเลย
ลองดาวหมุนบ้าง สวยไปอีกแบบ
วันที่ 2
Time Lapse ถ่ายด้วย iPhone 6
ยามเช้า พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาจากดอยหลวงเชียงดาว หมอกก็เริ่มมา
ตื่นมาก็เจอวิวแบบนี้เลย
ทางโฮมสเตย์เอากาแฟ โอวัลติน และน้ำร้อนมาวางไว้ให้ตั้งแต่เช้ามืดเลย
ระเบียงกางเต็นท์ของบ้านลีซูโฮมสเตย์ ตรงนี้ก็วิวดี๊ดี
หมา หมอก และดอยหลวงเชียงดาว
ที่พักบ้านใกล้เรือนเคียง แวะไปชมวิวหรือถ่ายรูปได้
เอ้า! ชนแก้วกันหน่อย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากตื่นมาดูหมอกสวยๆ กับวิวดอยหลวงเชียงดาว พร้อมกินอาหารเช้าที่ทางโฮมสเตย์เตรียมไว้ให้ เราก็เก็บข้าวของแล้วออกเดินทางไปยังดอยอ่างขางกัน
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง เราก็มาถึงยังลานกางเต็นท์ม่อนสน ซึ่งจะเป็นที่พักแรมของเราในคืนนี้ สาเหตุที่เรามุ่งหน้ามาที่นี่กันก่อนเลย ก็เพื่อรีบมาจับจองพื้นที่กางเต็นท์ เพราะที่นี่ไม่รับจองล่วงหน้า ถ้ามาช้าอาจเต็มได้ โดยค่าพื้นที่กางเต็นท์สำหรับคนที่เอาเต็นท์มาเองคือคนละ 70 บาท
พอกางเต็นท์เสร็จเรียบร้อยก็ออกตระเวนเที่ยวกัน โดยเย็นวันนั้นเราไปเที่ยวกันที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ค่าเข้าสำหรับคน 2 คน และรถ 1 คัน คือ 150 บาท
แปลงผักก็มี
ดอกไม้สวยๆ ก็มา
ตลาดเล็กๆ ที่ชาวเขาชาวดอยเอาของมาขายกัน
ใต้ต้นบ๊วย
พระอาทิตย์ตกไปแล้วก็ยังสวย
แลนด์มาร์กของเราที่ลานกางเต็นท์ม่อนสน
วันที่ 3
เช้านี้เราตื่นมารับอากาศดีๆ ชมวิวสวยๆ บริเวณจุดชมวิวม่อนสน แล้วตระเวนเที่ยวดอยอ่างขางกันต่อ
ฐานปฏิบัติการบ้านนอแล ชายแดนไทย-พม่า หนาวและหมอกหนามาก
กราฟิตี้ที่บ้านนอแล ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคนที่นี่ก็รักในหลวงมากเช่นกัน
เด็กๆ ที่นี่ให้ถ่ายรูปได้ฟรี
ไร่สตอเบอร์รี่ขั้นบันไดบ้านนอแล
ยังไม่แดง แต่หวานกรอบเชียวล่ะ
ไร่ชา 2000
เที่ยวเสร็จก็กลับมาเก็บเต็นท์และสัมภาระแล้วออกเดินทางเข้าตัวเมืองเชียงใหม่กัน
คืนนี้เราแพลนกันว่าจะนอนในตัวเมืองเชียงใหม่ เพื่อแวะพักอาบน้ำอุ่นสบายๆ หลังจากหนาวเหน็บกันมา 2 วันแล้ว โดยเน้นเป็นโรงแรมราคาประหยัดแต่ดี เราจอง B2 สันติธรรม (วัดเจ็ดยอด) ผ่านเว็บไซต์ B2 ได้ในราคา 629 บาท
เราไม่ได้เที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่เลย เพราะมาเที่ยวกันค่อนข้างบ่อยแล้ว แต่สำหรับเพื่อนๆ ที่จะเอาแพลนของเราไปปรับใช้ ก็ลองเผื่อเวลาให้ดีแล้วตระเวนเที่ยวใกล้ๆ ตัวเมืองเชียงใหม่อย่างดอยสุเทพหรือม่อนแจ่มกันก็ได้นะคะ
วันที่ 4
จากตัวเมืองเชียงใหม่เรามุ่งหน้าสู่แม่กำปอง หมู่บ้านสุดชิกคูลที่กำลังฮอตฮิต แล้วก็ฮอตฮิตตามคาดจริงๆ เพราะคนเยอะ รถเยอะ คงเพราะวันนี้เป็นวันหยุดด้วย
น้ำพุร้อนดอยสะเก็ด ระหว่างทางไปแม่กำปอง
โครงการหลวงตีนตก ระหว่างทางไปแม่กำปองเช่นกัน
ตอนแรกเราตั้งใจจะจองโฮมสเตย์แล้วพักที่แม่กำปองในคืนนี้ รู้สึกดีที่เปลี่ยนใจ เพราะคนเยอะ ไม่เงียบสงบอย่างที่คิด แต่ต้องยอมรับว่าที่นี่บรรยากาศดีจริงๆ เหมือนอยู่ในหุบเขา ต้นไม้เขียวครึ้มเต็มไปหมด มีลำธารไหลขนาบหมู่บ้าน ได้ยินเสียงน้ำไหลตลอด บ้านเรือนก็ดูคลาสสิก
ปัญหาหลักๆ ของการมาเที่ยวแม่กำปองในวันหยุดคือรถเยอะ ไม่มีที่จอด (มีบริการที่จอดรถแต่ไม่เพียงพอ) เราโชคดีที่หาที่จอดจนได้ ก็เลยได้แวะเดินเที่ยว กินข้าว ชมบรรยากาศ
จากแม่กำปองเราก็มุ่งหน้าสู่อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ลำปาง หนทางคดเคี้ยวใช้ได้เลย ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
จุดชมวิวกิ่วฝิ่น ระหว่างทางไปแจ้ซ้อน สวยแต่คุ่นเยอะ ระวังกันด้วยนะคะ
มาถึงแจ้ซ้อนก็เย็นย่ำแล้ว เรารีบจัดแจงกางเต็นท์กัน โดยค่าพื้นที่กางเต็นท์สำหรับคนที่เอาเต็นท์มาเองคือคนละ 30 บาท
วันที่ 5
เช้าวันสุดท้ายกับบรรยากาศชิลๆ ที่แจ้ซ้อน
ตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้นเหนือบ่อน้ำพุร้อน
ต้มไข่ออนเซ็นกินเป็นมื้อเช้า
แช่น้ำร้อนยามเช้า โดยมีให้เลือกแช่หลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นบ่อธรรมชาติ บ่อรวมแยกชายหญิง หรือบ่อส่วนตัว แต่ถ้ามาเช้าๆ แบบนี้ บ่อรวมก็กลายเป็นบ่อส่วนตัวไปโดยปริยาย ค่าบริการแค่คนละ 20 บาทเอง
อาบน้ำและกินมื้อเช้าเรียบร้อยแล้วก็เก็บข้าวของเดินทางกลับบ้านกันยาวๆ ค่ะ
สำหรับค่าใช้จ่ายที่หนักที่สุดของทริปนี้คือค่าน้ำมัน เราใช้จ่ายไปทั้งหมด 4,200 บาท (แพงเพราะเราใช้รถกระบะ เนื่องจากสัมภาระค่อนข้างเยอะ)
จบทริปแบบแฮปปี้ ขอบคุณที่อ่านกันจนจบจ้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้